24 พ.ค. เวลา 06:06 • ประวัติศาสตร์

ประวัติศาสตร์ย่อโลก บทที่ 2 ฉากที่ 4

เทวสิทธิ์และพละกำลัง คือ อำนาจโดยชอบธรรมที่ผู้ปกครองในอดีตกาลนั้นใช้ หรือแม้แต่ในปัจจุบันก็ยังพบเจอได้อยู่ หากคุณถามว่า ทฤษฎีเทวสิทธิ์กับทฤษฎีพละกำลัง แนวคิดการกำเนิดรัฐและอำนาจความชอบธรรมใดสำคัญกว่ากันนั้น คงเป็นคำถามที่ไม่ต่างอะไรกับคำถาม ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน เพราะมันตอบได้ยากและไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลย
เนื่องจากแนวคิดทั้งสองนั้นมีความสำคัญเสมอกันเลย โดยอำนาจตามแนวคิดทั้งสองเป็นอำนาจที่แยกออกจากกันไม่ได้ เนื่องจากแนวคิดทั้งสองมอบอำนาจความชอบธรรมที่แตกต่างกัน โดยอำนาจตามแนวคิดพละกำลังมอบอำนาจที่ชอบธรรมในการปกครองดินแดนที่ตนได้ใช้พละกำลังในการยึดครอง ในขณะที่แนวคิดเทวสิทธิ์ได้ให้อำนาจความชอบธรรมในการปกครองผู้คนที่ศรัทธาในพระเจ้า
แต่หากคุณถามว่า ทฤษฎีใดเกิดก่อนกัน คำถามนี้มันตอบง่ายและคุณจะได้พบว่า มนุษย์ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเสือหรือสิงโตแม้แต่น้อย เพราะคำตอบของคำถามเราพบเจอมันอยู่เป็นประจำ กล่าวคือ การถือกำเนิดความคิดในการอยู่รวมตัวกันเมืองชุมชนเมืองหรือการเกิดขึ้นของรัฐในยุคแรกนั้น เราต้องหันไปมองถึงบริบทและสภาพแวดล้อมต่างๆของยุคนั้นหรือก็คือ ห้วงเวลาสุดท้ายของยุคน้ำแข็งซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อารยธรรมเบ่งบานและเป็นรอยต่อของศาสนาที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างเมื่อ 10,000-23,000 ปีที่แล้ว ณ งานเลี้ยงแห่งหนึ่งและอาหารที่มากมาย
จ่าฝูงของสัตว์ต่างๆได้รับเลือกจากการที่พวกมันมีพละกำลังที่มากที่สุดในฝูงและหาอาหารมาหล่อเลี้ยงฝูงของตน อาหารและพละกำลังจึงเป็นสิ่งที่มอบความชอบธรรมให้กับผู้นำ มนุษย์ในยุคแรกที่มีการตั้งชุมชนหรือเมืองในเขตอารยธรรมต่างๆของมุมโลกนั้น วิถีชีวิตหรือแนวคิดยังมีความเรียบง่ายและมีไม่ได้แตกต่างจากฝูงสัตว์อื่นๆ การปกครองในผู้คนในยุคแรกก็เช่นกัน
เนื่องจากด้วยสภาพแวดล้อมและภูมิอากาศในยุคน้ำแข็งหรือแม้กระทั่งในยุคที่อารยธรรมเพิ่งจะก่อร่างสร้างตัวนั้น เป็นช่วงเวลาที่โหดร้ายในการจัดหาอาหารหรือแม้กระทั่งในบริเวณที่อุดมสมบูรณ์ก็ยังมีปัญหาความขัดแย้งในการจัดการทรัพยากรที่จัดหามาได้ทำให้การเลือกผู้นำในช่วงแรกนั้น มักจะมีอาหาร ทรัพยากรและการบริหารจัดการเป็นคุณสมบัติที่ผู้นำในยุคนั้นจำเป็นต้องมี
อำนาจอันชอบธรรมในการปกครองผู้คนจึงเกิดจากผู้นำที่สามารถจัดหาอาหารและทรัพยากรได้มากที่สุดเพื่อใช้ในการหล่อเลี้ยงผู้คนในปกครองและสามารถบริหารจัดการผู้คนและทรัพยากรของตน ในขณะเดียวกันอำนาจอันชอบธรรมในการปกครองดินแดนของตนนั้นเกิดจากผู้นำที่มีพละกำลังหรือมีความแข็งแกร่งและเข็มแข็งกว่าผู้อื่น สามารถทำสงครามและยึดครองดินแดนต่างๆได้นั่นเอง
การปกครองผู้คนด้วยกำปั้นและอาหารถูกใช้แพร่หลายในช่วงก่อกำเนิดอารยธรรมเรื่อยมา หลักฐานอันเด่นชัดที่สามารถแสดงให้เห็นถึงการปกครองด้วยพละกำลังนี้ นั่นคือเมื่อ 2334 ก่อนคริสต์ศักราช จักรวรรดิแห่งแรกของโลกได้ถือกำเนิดขึ้นและปกครองดินแดนพระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์และดินแดนตะวันออกกลางที่เต็มไปด้วยเมืองน้อยใหญ่และชนเผ่าต่างๆมากมายหรือก็คือ จักรวรรดิอัคคาเดียน (แต่ในบางครั้งเราก็จะเรียกว่าจักรวรรดิแอคแคด)
แผนที่ของจักรวรรดิอัคคาเดียนหรือจักรวรรดิแอคแคด ในอารธรรมเมโสโปเตเมีย
สิ่งที่แสดงถึงอำนาจในการจัดสรรทรัพยากรหรือการจัดหาอาหารเราสามารถสังเกตได้จากการจัดเลี้ยงสังสรรค์ซึ่งเต็มไปด้วยอาหารอันเลิศรสและหรูหรา ซึ่งแสดงถึงความมั่งคั่งทางทรัพยากร หลักฐานชิ้นสำคัญนั่นคือ การค้นพบเศษซากของอาหารที่กลายเป็นหินอายุประมาณ 23,000 ปี ที่อัลตามิรา (Altamira) มาถึงจุดนี้คุณอาจได้คำตอบแล้วว่า แนวคิดแรกที่มนุษย์ยุคโบราณใช้ในการก่อร่างสร้างตัวจนกลายเป็นรัฐและอาณาจักรต่างๆนั่นคือ ทฤษฎีพละกำลัง
การปกครองด้วยแนวคิดนี้มักยึดโยงอำนาจของผู้นำไว้กับความสามารถการจัดสรรและการบริหารทรัพยากรและพละกำลังในการปกครองดินแดน ทำให้ผู้นำถูกเลือกจากความสามารถโดยไม่ได้ยึดโยงกับสายเลือดหรือเชื้อสาย แนวคิดนี้ถูกใช้เรื่อยมาจนกระทั่งเมื่อมีคนตะโกนขึ้นมาว่า “นี่คือประสงค์ของบรรพบุรุษ”
การปกครองด้วยแนวคิดพละกำลังมันได้บ่งบอกถึงบนเรียนที่เราควรจะพินิจอยู่ นั่นคือ ความสามารถของคน ในสังคมที่มีผู้คนมากมายนั้น คุณค่าของผู้คนทั้งหลายไม่ได้ถูกตัดสินจากทางกายภาพ แต่ถูกตัดสินจากความสามารถของผู้คน ผู้คนทุกคนมีความสามารถและทักษะเฉพาะทางของคนนั้นๆ การพัฒนาสังคมและการขับเคลื่อนสังคมต่างๆทั่วทุกมุมโลกนั้นเกิดขึ้นได้จากผู้คนที่มีความสามารถที่แตกต่างกัน
หากกล่าวคือ ความสามารถเป็นสิ่งตัดสินว่า มนุษย์ทุกคนนั้นมีคุณค่าที่เท่าเทียมกัน เพราะทุกคนมีความสามารถที่ไม่อาจจะเทียบกันได้และต่างก็มีความสามารถกันทั้งนั้น หากมนุษย์พัฒนาความสามารถของตนเองให้สามารถพัฒนาสังคมที่ตนเองอาศัยอยู่หรือสังคมโลก ย่อมทำให้สังคมพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง
ในขณะเดียวกันสังคมก็ต้องส่งเสริมและกระตุ้นให้ผู้คนพัฒนาทักษะความสามารถของตนเอง เช่นนี้แล้วการพึ่งพาอาศัยกันระหว่างผู้คนกับสังคมย่อมเป็นไปได้ด้วยดี และเกิดความเท่าเทียมของผู้คนในสังคมโดยตัดสินคุณค่าจากความสามารถที่มีอยู่กับทุกคน
โฆษณา