20 มิ.ย. เวลา 04:22 • สุขภาพ

อย่างนี้ก็ได้เหรอ ตอน คุณพ่ออารมณ์ไม่ดี

อาจจะเป็นการพูดต่ำกว่าความเป็นจริง ความจริงคือพ่ออาอารมณ์หงุดหงิดตลอดเวลา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ จะว่าเพราะเป็นวัยทองของผู้ชาย พ่อเราก็อายุ 70 กว่าแล้วมันเกินวัยทองไปแล้วไม่ใช่หรอ แต่ทำไมยังหงุดหงิดอยู่อีก
คิดได้อย่างเดียวว่าที่เค้าหงุดหงิดอารมณ์เสียง่าย พูดอะไรที่เค้าไม่ชอบใจนิดหน่อย เค้าก็ปรี๊ดแตกทันที อารมณ์เสียทันที ตวาดทันที เข้าใจว่าที่เป็นทั้งหมดนี้เป็นเพราะเค้ามี Self Esteem ต่ำมาก
คือคนอายุในวัยเค้าเนี่ยมันอยู่ในยุคเบบี้บูมเมอร์ ก็เลยมักจะมีความคิดแปลกๆ อยู่ในหัว เขาเสมอ อย่างเช่นให้อดทนไว้ เก็บอารมณ์ไว้ไม่แสดงออกเด็ดขาด ผู้ชายไม่ร้องไห้ ห้ามแสดงอารมณ์เศร้า เหงา โดดเดี่ยว ผิดหวัง เด็ดขาด แสดงได้แต่อารมณ์ดี เช่นมีความสุข หัวเราะเท่านั้น ทำให้คนรอบข้างรู้สึกดี ตัวเองจะเป็นยังไงก็ช่าง
พอคิดอย่างนี้มากๆ ประกอบกับความคิดที่ผิดเพี้ยนของเขาด้วยแหละมั้งเราว่านะ เพราะว่าเค้าจะดีกับคนอื่นทุกคนที่อยู่นอกบ้าน แสดงตัวเป็นคนมีเหตุผล เป็นสุภาพบุรุษบางทีก็เป็นเจ้ามือเลี้ยงคนอื่นๆ แต่พออยู่ในบ้าน เนี่ยหงุดหงิดอารมณ์เสียตลอด แถมไม่มีเหตุผล มันคนละคนกันเลย
การแสดงออกว่าต้องดีกว่าคนที่อยู่นอกบ้านแต่เลวร้ายกับคนที่อยู่ในบ้านเนี่ยเป็นความคิดที่ถูกต้องแล้วเหรอ
มันก็แค่การรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองให้คนอื่นมองตัวเองดีไม่ใช่เหรอ แต่คนในบ้านมองตัวเองแย่ยังไงก็ได้เหรอ ขอแค่คนนอกบ้านมองตัวเองดีก็พอ คิดได้อย่างงี้เหรอ ทำไมพ่อมีความคิดแบบนี้
แล้วในฐานะลูกจะให้เราไปป่าวประกาศกับคนภายนอกที่เขาพบเจอว่าตอนอยู่ในบ้านเค้าเป็นคนแย่มากนะ เค้าไม่ใช่คนอย่างที่แสดงออกให้คุณเห็นนะ เราก็พูดไม่ได้ เรารู้สึกผิดลึกๆ ในใจยังไงไม่รู้ ทำให้เราไม่ค่อยกล้าพูดทั้งๆ ที่เราอยากจะพูดเหลือเกินว่าพ่อเราหน้าอย่างหลังอย่าง
แล้วคงงงนะคะว่า ไม่กล้าพูดกับคนภายนอกแต่ทำไมถึงกล้าพูดกับคนในในโซเชียลเน็ตเวิร์ค
ง่ายๆ เลยค่ะ คำตอบคือผู้อ่านคงไม่รู้ว่าพ่อเราเป็นใคร คงไม่มีใครแปลงร่างเป็นโคนัน เราสามารถพูดได้อย่างอิสระ เราอาจจะไม่มีทางได้เจอกันหรือมีปฏิสัมพันธ์กับพ่อเราเลยก็ได้ค่ะ การที่คุณผู้อ่านไม่รู้จักพ่อเรา ทำให้เราสามารถพูดถึงพ่อได้อย่างสบายใจมากกว่า แล้วเราก็ไม่ได้บอกชื่อไม่ได้ให้เห็นรูปภาพอะไรด้วย
กลับมาที่เรื่องของพ่อต่อนะคะ ด้วยสถานการณ์ข้างต้น ประกอบกับการที่เขาเป็นลูกคนจีนเป็นลูกชายคนโตด้วยแหละเค้าก็เลยถูกเอาใจถูกเป่าหูว่าทำอะไรก็ถูกต้องทั้งหมด เพราะเขาเป็นผู้ชายเป็นลูกชายคนโตเค้าต้องเป็นผู้นำ (ถึงจะไม่มีคุณลักษณะนั้นก็ตาม)
แต่ในความเป็นจริงตั้งแต่หนุ่มๆแล้ว เค้าเสียนิสัยไปแล้ว เค้าตัดสินใจพลาดมาตลอดตั้งแต่หนุ่มๆ เสียเงินฟรีเพราะเสียรู้ไปก็ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ แล้วก็ไม่ปรึกษาใครเวลาจะใช้เงิน เพราะมีความคิดผิดๆ ว่าเค้าเป็นผู้นำ เค้าตัดสินใจเองคนเดียวได้ แต่จะมาปรึกษาคนอื่นตอนเดือดร้อนจากการตัดสินใจไปแล้เท่านั้น แล้วเค้าก็จะมีคำพูดว่า
“นี่ไงก็ปรึกษาแล้วไง”
มันใช่เหรอ มันประหลาดไหมกับตรรกะแบบนี้
แล้วพอตอนอายุมากขึ้นเค้าก็เลิกทำงานมาอยู่บ้านเลี้ยงหลาน เค้าไปอยู่ในบ้านน้องชายเราคือจะเรียกว่าเป็นบ้านน้องชายก็ไม่ถูก เพราะว่าเค้าก็ออกเงินส่วนใหญ่ด้วยแหละ แต่เค้าไปอยู่บ้านนั้นแบบสิ้นเนื้อประดาตัว
พอมาอยู่ในบ้านนั้น เค้าก็มีอารมณ์ที่เปลี่ยนไปเป็นแบบข้างต้นที่เราบอกไปนี่แหละ แต่ก่อนเขาอารมณ์ดีนะ
พอมาอยู่ในบ้านหลังใหม่ เค้าก็มีหน้าที่เลี้ยงหลาน ไปรับไปส่ง พยายามไม่มีปากมีเสียงกับลูกชายตัวเอง เพราะลูกชายตัวเองเป็นคนเลี้ยงดูตัวเองแล้วตอนนี้ มันกลับกันกับแต่ก่อนที่เค้าอยู่ในบทบาทพ่อที่หาเงินเลี้ยงลูก ตอนนี้ลูกต้องหาเงินเลี้ยงเขา
เหมือนเค้ารับไม่ได้ ก็ตอนที่เขามีเงินเค้าก็เอาเงินไปซื้อบ้านให้ลูกชายเค้าหมด ไม่ยอมเอาเงินไว้กับตัวเองเลย พอไม่มีเงินก็เหมือนเค้าคิดเองว่าไม่มีคุณค่า เค้าพูดอยู่เสมอว่าเงินไม่ใช่สิ่งสำคัญในชีวิตแต่ก็เป็นเค้านั่นแหละที่แสดงให้เห็นว่าเงินเป็นสิ่งสำคัญ
เพราะตอนนี้ตอนที่เค้าไม่มีเงินไม่มีรายได้ ต้องพึ่งพาลูกอยู่ฝ่ายเดียว เค้าไม่มีปากมีเสียงอะไรเลยนะกับคนให้เงิน จะไปอารมณ์เสียอาละวาดกับคนที่อ่อนแอกว่ามีอำนาจน้อยกว่า อย่างเช่นหลานชายตัวเล็ก หลานสาวตัวเล็ก คนที่มาช่วยทำงานบ้าน เค้าจะอาละวาดใส่คนพวกนี้อย่างไม่ยั้ง
แต่กลับภรรยาเขาหรือแม่เรานี่แหละ เค้าไม่กล้าหือกล้าเอื้ออะไรเลย แม่พูดคำไหนเค้าก็รีบกุลืกุจอทำให้ แต่เขาก็มาแอบบ่นก่นด่าลับหลังเหมือนกันแหละ แต่ต่อหน้าแม่เค้าไม่บ่นไงเก็บไว้ตลอดเก็บอารมณ์ตัวเองไว้ไม่ยอมบอกให้ใครรู้ แต่การกระทำของเขามาดูเหมือนขี้ขลาดอ่อนแอไม่กล้ามีความเห็นของตัวเองไม่กล้าพูดความเห็นของตัวเองออกไปมากกว่า
เค้ายอมกับแม่คนเดียวเพราะแม่คนบ่นเก่งมาก แถมยัง Guilt Trip มีวิธีการพูดให้เขารู้สึกผิดอีกด้วย บ่นเค้าจนเค้าต้องยอมฟังยอมทำตามอย่างที่แม่บงการ
แล้วเค้าก็ยอมกับลูกชายอีกคนเพราะลูกชายหาเงินเลี้ยงเขา แต่เขาก็ทำงานในบ้านให้เยอะแยะเลยนะ ทั้งไปรับไปส่งหลาน ดูแลความเป็นไปในบ้านเหมือนเป็น Butler ประจำบ้านไปเลย แถมตอนที่ยังไม่มีแม่บ้านมาช่วยงานบ้านเค้าก็ทำงานบ้านให้ด้วย
แต่เค้าก็ตีค่าตัวเองว่าเค้าไม่มีค่าอะไร เพราะเค้าไม่มีเงิน ไม่มีรายได้ เค้าพยายามทำตัวลีบเล็กกับลูกชาย
ไม่ยอมทำประกันชีวิตโดยอ้างว่าเสียดายเงิน อ้างว่าเค้าดูแลตัวเองอยู่โดยการซื้อถั่งเช่าและวิตามินอื่นๆ มากินไม่ยอมทำประกันรถดีๆ ด้วย ทำแค่ประกันชั้นต่ำสุดเท่าที่จะต่ำได้แล้วก็มีความคิดมีศักดิ์ศรีแบบผิดๆเพี้ยนเพี้ยนอีกว่าเค้าจะไม่เอาเงินสงเคราะห์คนชราจากรัฐบาลทั้งๆ ที่เค้าไม่มีเงินเลยเนี่ยนะ ในความที่เราพ่อนี่แหละที่เป็นคนที่ควรได้รับเงินสงเคราะห์มากที่สุด แต่เค้าจะคิดด้วยทิฐิแปลกๆ ว่าเค้าจะไม่เอาเงินเพราะเงินนั้นเค้าจะเอาให้หลวง
ตอนนั้นเป็นตอนที่มีข่าวการคอรัปชั่นในนักการเมืองเยอะมาก คำว่าหลวงของเค้าเราไม่รู้ว่าแปลว่าไปเข้ากระเป๋าใครหรือเปล่าเพราะข่าวคอรัปชั่นมันเยอะมากจริงๆ
แต่ที่เค้าหยิ่งไม่ยอมรับเงินสงเคราะห์คนชราจากรัฐบาลน่าจะเป็นเพราะว่าเค้าไปทำตามพี่เขยเค้า แต่พี่เขยคนนี้ของค้ามีฐานะดีมาก ดีจนไม่ต้องเอาเงินสงเคราะห์จากรัฐบาลก็ไม่เดือดร้อนเลย
แล้วพี่เขยก็เลยปฏิเสธไม่รับ เค้าก็เลยทำตามไม่รับเหมือนกัน แต่ต่างกันเพราะว่าพี่เขยรวยแต่เค้าจน แต่เค้าหน้าใหญ่ใจโตทำตัวเหมือนคนรวย ทำตามพี่เขย พยายามแสดงออกให้คนภายนอกรู้ว่าตัวเองรวยทั้งทั้งที่ความจริงเวลาอยู่ในบ้านสถานะเค้าต่ำมากเพราะว่าเค้าไม่ให้ค่าตัวเองเลย คนในบ้าน ไม่มีใครไปด้อยค่าเขานะแต่เค้าด้อยค่าตัวเอง คนในบ้านก็เลยไม่รู้ว่าจะให้ค่าเค้ายังไง เพราะตัวเค้าเองด้อยค่าตัวเองตลอดตลอดเวลา เค้าไม่เห็นว่าตัวเองมีคุณค่าแล้วคนอื่นจะมองว่าเค่ามีค่าได้ยังไง Get Real, People!!!
ไม่เข้าใจเลยทำไมพ่อกลายเป็นคนแบบนี้ เค้าเคยเป็นคนที่ร่าเริงอารมณ์ดีมีอารมณ์ขันมีคนรักเยอะแยะมากมาย สุขภาพร่างกายก็แข็งแรง แต่ตอนนี้มันกลับตาลปัดทุกอย่างเลย เค้ากลายเป็นคนแบบนี้ได้ไง
ถ้าชอบบทความแบบนี้ช่วยกดไลค์กดแชร์กันหน่อยนะคะ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา