28 ก.ย. เวลา 04:00 • หนังสือ

ช่วงนี้ค่อยทะยอยอ่านหนังสืออยู่หลายเล่ม

ก่อนที่จะพูดถึงหนังสือเล่มที่อ่านแล้วเล่มนี้ รบกวนดูยูทูบคลิปนี้ก่อนครับ
ผมล่ะถูกใจกับคลิปนี้จริงๆ ถึงจะเห็นมานานแล้วก็เหอะ
มันสนุกดี มีอารมณ์ขันกัดจิกประชดประชันสูง และสะท้อนวิถีชีวิตและความเชื่อของคนบ้านเราได้เป็นอย่างดี เพราะผมก็เคยมีโมเมนต์แบบนี้เหมือนกัน
มีคอมเมนต์บอกมาว่าเป็นผลงานของคุณ ธนชาติ จากแซลมอนเฮาส์นะ แล้วมีหนังสือรวมเล่มด้วย
อ๊ะๆ น่าสนใจ
...
แล้วผมก็เจอหนังสือเล่มนี้ครับ หลังจากจดๆจ้องๆรอสั่งมานาน
You ghost me every sadturday night
แล้วก็ได้ฤกษ์สั่งมาอ่าน
สมใจจริงครับ
หนังสือที่ว่าเขียนโดยคุณ ธนชาติ ศิริภัทราชัย จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แซลมอนครับ ของผมเป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่3
ประวัติคร่าวๆของคุณ ธนชาติ ศิริภัทราชัย (อยู่ในหนังสือครับ)
cr. google ธนชาติ ศิริภัทราชัย
เกิดปี2530
จบป.ตรี คณะวารสารฯ สาขาภาพยนตร์ ม. ธรรมศาสตร์
จบป.โทสาขา Lens-bases Arts ที่School of Visual Arts, NewYork
ปัจจุบันเป็นผู้กำกับโฆษณาและมิวสิควิดีโอที่ Salmon House
ส่วนผลงานที่ออกมาก็New York 1st Time, You Sadly Smile in The Profile Picture, The Morning Flight to Sad Francisco
ส่วนตัวที่จำได้แต่อ่านแค่ผ่านๆตาคือ New York 1st Time ครับ
เอาล่ะ เรามาว่ากันต่อที่หนังสือ you ghost me every sadturday night ครับ
จากคำนำผู้เขียนระบุไว้ชัดครับว่าแนวความคิดมาจากที่ ผม(ธนชาติ) ชอบสะสมข่าวพวกนี้(ข่าวเข้าทรง, ฝรั่งนอนที่เมรุ, สวดมนต์ปัดเป่าโควิด-19, ลงยันต์ที่หน้ากากอนามัย,ผีเข้าพระ...) พร้อมตั้งคำถามและแต่งเรื่องราวเพิ่มเติมเข้าไปแบบไวๆ
เจอเยอะเข้าจนทำให้ผมคิดได้ว่าเอาจริงประเทศเราก็มีเรื่องพวกนี้เยอะอยู่แล้ว
บ้านเรามีวัตถุดิบไม่รู้จบ
แค่ตั้งคำถาม ในเมืองที่ทุกสิ่งศักดิ์สิทธิ์หมดยกเว้นกฏหมาย
แล้วก็เขียนแบบปล่อยไหลไปเรื่อยๆ
สุดท้ายก็ออกมาเป็นเล่มนี้
อยู่เมืองเซอร์เรียล
เรื่องสั้นก็เซอร์เรียล
...
อ่านคำนำเสร็จแล้ว ลุยได้!
เอาล่ะ คราวนี้จะมาว่ากันที่เนื้อหาต่อครับ
เนื้อหาจะเป็นเรื่องสั้นย่อยๆรวม15เรื่อง แต่ละเรื่องสั้นเหมือนๆจะไม่มีความต่อเนื่องหรือเกี่ยวพันกัน อ่านแยกเป็นเอกเทศได้ แต่เอาเข้าจริงแต่ละเรื่องมีความเกี่ยวข้องและเชื่อมกันเป็นจักรวาลเดียว โดยที่มีตัวละคร,เหตุการณ์หรือสถานที่ของเรื่องสั้นเรื่องนี้อาจจะไปมีบทบาทในอีกเรื่องสั้นเรื่องอื่นก็ได้
ตัวชูโรงที่สำคัญนอกจากคนแล้วก็คือบรรดาผีทั้งหลายแล้วก็ยังมีท่านเจ้าที่ เจ้าพ่อเจ้าแม่ พ่อแก่ แม่ย่านาง และอีกหลายตนหลายองค์ และหลายเรื่องก็มีแต่คนอย่างเดียว บรรดาผีๆกับท่านทั้งหลายนั้นไม่เกี่ยวครับ
เรื่องสั้นแต่ละเรื่องอ่านง่าย เข้าใจง่าย กระชับ มีความจิกกัดประชดประชันสูง กระทบกระแทกแดกดันกับสิ่งดีงามอันเป็นอุดมคติในชีวิตของเรา สอดแทรกความตลกขบขันเป็นระยะทำให้ไม่เครียดนัก เพราะเอาเข้าจริงผมว่าเรื่องสั้นหลายเรื่องก็อุดมไปด้วยความเครียดและความสะเทือนใจอยู่ไม่น้อยแล้ว
...
เรื่องสั้นทั้งหมดผมขอแยกออกมาเป็น2ส่วน
ส่วนแรกจะประกอบไปด้วยบรรดาผีๆและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของหนังสือ
ส่วนที่2จะเป็นเรื่องของคนโดยไม่มีบรรดาท่านๆทั้งหลายมาเกี่ยวข้อง
...
ในส่วนแรก เรื่องที่อ่านแล้วคุ้นตามากที่สุดคือเรื่องHoly Shift ซึ่งมันคือที่มาของโฆษณาที่ผมแปะลิงค์ไว้ด้านบนอันแรกสุดเลยครับ
อ่านแล้วเรียกความขำขันได้ดีจริง
ในส่วนแรกโดยมากจะออกไปในทางเสียดสีพอให้ขบแล้วขันได้ไม่เคอะเขินแต่ประการใด แต่เรื่องที่อ่านแล้วมันกระทบใจปังเข้าให้น่าจะเป็นเรื่องนี้ครับ
As Above, So Below
เป็นเรื่องของแม่คนหนึ่งที่เสียชีวิตไปแล้วเฝ้ามองดูลูกของตัวเองที่ประพฤติตัวออกนอกลู่นอกทาง
เธออยากละสายตาจากการมองแต่ทำไม่ได้
...แต่ที่นี่คือโลกหลังความตาย ไม่ใช่โซเชียลมีเดีย ศศิกานต์ทำเช่นนั้นไม่ได้
ก่อนตาย ภาวนาอะไรไว้ก็ต้องรับผิดชอบกับคำขอนั้นๆ
และเมื่อศศิกานต์อยู่ในสภาวะนี้ไปเรื่อยๆ
เธอก็ตระหนักรู้ว่า แท้จริงแล้วที่นี่อาจไม่ใช่สวรรค์ แต่คือนรกดีๆนี่เอง...*
*(หน้า108)
อ่านจบแล้วจุกครับ
...
ในส่วนที่2นั้นเวลาอ่านไปก็สะดุดไปครับ
ไม่ใช่เขียนไม่ลื่นไหล แต่มันสะเทือนใจผมมากกว่า
อารมณ์มันขื่นๆ หัวเราะมิได้ ร่ำไห้มิออก
A Hallway Boy and A Chalkboard Eraser
มึงรู้ไหมว่ากูเป็นใคร!
เริ่มมาก็แบบนี้ แล้วมันก็ตามมาด้วยคำบอกเล่าของผู้จัดการร้านที่บอกว่าเขาเป็นใคร ลูกใคร ทำอะไรมาบ้าง ชีวิตพลิกผันไปอย่างไรมาบ้าง
...คุณเคว้งคว้างจนต้องมาที่นี่หลายคืนแล้ว และที่คุณถามผมว่า มึงรู้ไหมว่ากูเป็นใคร ไม่ใช่เพราะจะอวดเบ่ง แต่เพราะคุณไม่รู้จริงๆต่างหาก
ผมรู้นะว่าคุณคือใคร คุณคือเด็กน้อยคนเดิมที่นั่งเคาะแปรงลบกระดานอยู่ริมระเบียงตามลำพัง หวังแต่เพียงว่า เมื่อหันกลับไปด้านข้างจะเจอใครสักคน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนมัธยมบนเก้าอี้ร้านชาบู หรือพ่อบนเบาะหน้ารถ ก็เท่านั้นเอง...
ได้ยินดังนั้น ณัฐเศรษฐ์ก็น้ำตารื้น
"เออ ก็แค่นี้แหละ"*
*(หน้า69)
อ่านแล้ว แ_งกระทบใจกรูอย่างจัง
นานมาแล้วผมอ่านหนังสือเกี่ยวกับเทพปกรณัมกรีกโรมันของต่วย' ตูน พิเศษ
ผู้เขียนกล่าวถึงแนวคิดของชาวกรีกโรมันที่รังสรรค์บรรดาทวยเทพองค์ต่างๆไว้อย่างน่าสนใจว่าชาวกรีกโรมันนั้นทำให้พฤติกรรมของบรรดาเทพต่างๆนั้นมีทั้งรัก โลภ โกรธ หลง รวมทั้งมีอคติและความลำเอียงอย่างมนุษย์เป็นที่สุด จนแทบเรียกว่าหากตัดพวกอภินิหารออกไปแล้วล่ะก็ ทวยเทพทั้งหลายก็คือมนุษย์เดินดินดีๆนี่เอง
ผมเห็นด้วยครับ
และอยากจะขอเสริมด้วยเช่นกันว่าบรรดาผีหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆที่กล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้ก็เช่นกัน อ่านดีๆก็จะเจอว่า บรรดาพฤติกรรมของท่านทั้งหลายก็คือพฤติกรรมของมนุษย์อย่างเราๆนี่เอง ไม่ได้แตกต่างกันตรงไหน
เหตุที่บรรดาสิ่งเหนือธรรมชาติในหนังสือเล่มนี้มีพฤติกรรมเหมือนมนุษย์มากก็น่าจะเพราะพวกเขาก็เคยเป็นมนุษย์มาก่อน ดังนั้นถึงจะจากโลกนี้ไปแล้ว เมื่อยังมีการรวมกลุ่มกันทำงานหรือแสดงความคิดเห็นต่างๆมันก็สลัดไม่พ้นคราบความเป็นมนุษย์อยู่ดี
มันติดตามไปโดยไม่รู้ตัวครับ
...
สุดท้ายจริงๆ
เรื่องที่จะยกมาเป็นตัวอย่างอีกเรื่องคือ One Day Staycation ที่ว่าด้วยเรื่องพ่อแก่มาสิงร่างหนุ่มที่สักยันต์พ่อแก่ในตัว แล้วพ่อแก่ก็ใช้ชีวิตให้ชายหนุ่มคนนี้ดูว่าจริงๆแล้วเราควรจะทำตัวอย่างไร
อ่านแล้วขำขันปนซาบซึ้งเพราะบางอย่างในเรื่องผมก็อยากกลับไปทำเหมือนกันกับที่พ่อแก่ท่านใช้ชีวิตให้เด็กมันดู
ในชีวิตจริงเราก็ทำมันได้นะแต่อยู่ที่เราจะเลือกทำมันหรือเปล่า?
หรือจะปล่อยมันไปเฉยๆดี?
แล้วแต่คุณๆก็แล้วกันครับ
โฆษณา