9 ม.ค. เวลา 23:00 • ธุรกิจ

Normal Curve มีประโยชน์ยังไง ?

เมื่อวานเขียนเรื่องไม่ควรใช้ Normal Curve แบบหาแพะไปแล้ว ก็เลยขอคุยต่อเรื่องประโยชน์ของ Normal Curve เลยครับ
ถ้าจะมีคนถามว่า “Normal Curve” มีประโยชน์อะไร ?
ผมก็จะตอบว่า “ใช้เป็นเครื่องมือตัวหนึ่งสำหรับควบคุมงบประมาณขึ้นเงินเดือนประจำปี หรือจ่ายโบนัสตามผลงาน” ครับ
หลักการของ Normal Curve ไม่ใช่การหวงเกรดนะครับ ต้องบอกเสียก่อนตรงนี้ เพราะถ้าใครไม่เคยต้องรับผิดชอบงบประมาณขึ้นเงินเดือนประจำปีนี่จะไม่มีวันเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้หรอกครับ
สมมุติบริษัทแห่งหนึ่งมีนโยบายที่ยังจะให้ให้ MD หรือให้เถ้าแก่เป็นคนขึ้นเงินเดือนคนทั้งบริษัทแล้วให้ Line Manager แต่ละหน่วยงานมีหน้าที่แค่เพียงประเมินผลการปฏิบัติงานของลูกน้องเท่านั้น
แล้ว Line Manager ก็ส่งผลประเมินทั้งหมดมาให้ HR กับ MD ร่วมกันทำหน้าที่ “หยอด” เปอร์เซ็นต์หรือเม็ดเงินให้กับพนักงานตามเกรดที่หัวหน้าประเมิน
โดยที่ Line Manager ไม่เคยจะต้องมายุ่งเกี่ยวกับการควบคุมงบประมาณขึ้นเงินเดือนประจำปีนี่จะเกิดปัญหาคับข้องใจกับ Normal Curve กันเยอะเลยครับ
ยกตัวอย่างง่าย ๆ ว่าถ้าฝ่ายบริหารอนุมัติลงมาว่าปีนี้ให้งบประมาณขึ้นเงินเดือนประจำปีมา 5% นั่นก็หมายความว่าถ้าสมมุติว่าทั้งบริษัทมี Total Payroll อยู่ 10 ล้านบาท ปีนี้บริษัทจะต้องคุมงบประมาณขึ้นเงินเดือนไม่ให้เกิน 500,000 บาท
นั่นแปลว่าคนที่มีผลงานในเกณฑ์เฉลี่ยมาตรฐานทั่วไปก็จะได้รับการขึ้นเงินเดือน 5% แต่ถ้าใครมีผลงานดีกว่าเกณฑ์เฉลี่ยก็อาจจะได้ 8% หรือดีเยี่ยมมาก ๆ ก็อาจจะได้ 10%
เท่า ๆ กับคนที่มีผลงานแย่กว่าเกณฑ์เฉลี่ยก็อาจจะได้ขึ้นเงินเดือน 2-3% และคนที่ไม่มีผลงานอะไรเลยก็อาจจะไม่ได้รับการขึ้นเงินเดือน !
จากแนวคิดนี้ก็จะนำมาสู่การกระจายของ Normal Curve โดยการขึ้นเงินเดือนตามผลการประเมิน เช่น....
A=10% B=8% C=5% D=3% E=0%
แล้วลองคิดดูสิครับว่า..ถ้า Line Manager ไม่ต้องรับผิดชอบการควบคุมงบประมาณขึ้นเงินเดือนประจำปีจะเกิดอะไรขึ้น ?
Line Manager บางคนก็ประเมินลูกน้องให้ได้เกรด A หมดทุกคนแล้วก็ส่งผลประเมินมาที่ HR
แน่นอนว่าพอ HR เห็นผลประเมินอย่างนี้มันเกินงบฯ ก็จะต้องส่งผลกลับไปให้ Line Manager ตัดเกรดใหม่โดยพูดถึง Normal Curve ว่าจะต้องให้คนส่วนใหญ่มีผลประเมินอยู่ในค่าเฉลี่ยคือ C
และต้องมีส่วนน้อยถูกประเมินในเกรด A หรือ B คือคนที่มีผลงานดีกว่าเกณฑ์เฉลี่ย และก็อาจจะมีพนักงานส่วนน้อยที่ถูกประเมินในเกรด D หรือ E คือคนที่มีผลงานต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย
แล้วถ้า Line Manager ไปบอกกับลูกน้องว่า “พี่ประเมินน้อง ๆ ของพี่ให้ได้ A หมดทุกคนแหละเพราะน้องพี่เก่งยอดเยี่ยมทุกคน แต่ HR บอกว่าเกินงบให้พี่ตัดเกรดน้องลงเป็น C เป็นส่วนใหญ่นะ พี่ก็ต้องทำตามนโยบาย ไม่รู้มันจะหวงเกรดอะไรกันนักหนา มีปัญหาอะไรก็ไปถาม HR เองก็แล้วกัน”
นี่คือปัญหาสำหรับองค์กรที่ยังไม่จัดสรรงบประมาณขึ้นเงินเดือนไปให้ Line Manager บริหารจัดการ แล้วยังคงให้ HR เป็นผู้รับผิดชอบควบคุมงบประมาณแบบนี้อยู่ก็คงจะต้องเจอปัญหาดราม่าแบบนี้ไปเรื่อย ๆ และ HR ก็จะถูกด่าเรื่องหวงเกรดอยู่ทุกปีแหละครับ
เพราะ Line Manager ไม่เคยต้องรับผิดชอบในการควบคุมงบประมาณขึ้นเงินเดือนนี่ครับถึงได้เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้น
เพราะฉะนั้นวิธีที่ควรทำคือจะต้องจัดสรรงบประมาณขึ้นเงินเดือนประจำปีไปให้แต่ละหน่วยงานรับผิดชอบและทำหน้าที่ทั้งประเมินผลการปฏิบัติงานพนักงานของตัวเอง แล้วก็เป็นคนใส่เงินเดือนให้กับลูกน้องของตัวเองตามผลการปฏิบัติงานที่ประเมินไป
และที่สำคัญคือต้องไม่เกินงบประมาณที่ให้ไป
หัวหน้าจึงควรจะต้องมีส่วนร่วมในการควบคุมงบประมาณขึ้นเงินเดือนและให้คุณให้โทษลูกน้องของตัวเอง ไม่ใช่ยกหน้าที่นี้ไปให้ HR หรือ MD เป็นคนไปตัดสินใจแทนหัวหน้า เพราะ HR หรือ MD ไม่มีทางไปรู้รายละเอียดการทำงานของพนักงานดีกว่าหัวหน้าโดยตรงหรอกครับ
ยกตัวอย่างเช่น ฝ่ายผลิตมีเงินเดือนของพนักงานในฝ่ายผลิตรวม 500,000 บาท ถ้าบริษัทบอกว่างบประมาณขึ้นเงินเดือนปีนี้ของบริษัทคือ 5%
ฝ่ายผลิตก็จะต้องไปประเมินผลการทำงานของพนักงานในฝ่ายผลิตแล้วหยอดเงินเดือนให้พนักงานในฝ่ายของตัวเองให้สัมพันธ์กับผลการประเมินแต่ต้องไม่เกินงบประมาณที่บริษัทจัดสรรไปให้คือ 25,000 บาท
ถ้าจะว่าไปแล้ว การจัดสรรงบประมาณประจำปี (ตามตัวอย่างข้างต้น) ให้กับหัวหน้าแต่ละหน่วยงานพิจารณาให้คุณให้โทษลูกน้องของตัวเอง ก็เป็นไปตามหลักเศรษฐศาสตร์แหละครับ
เพราะหลักเศรษฐศาสตร์จะบอกว่าทรัพยากรที่มีอยู่ในโลกนี้ล้วนมีอยู่อย่างจำกัด (งบประมาณขึ้นเงินเดือนก็เช่นกัน)
จึงจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่คงไม่สามารถทำให้คนทุกคนพึงพอใจมากที่สุดได้หรอก
Normal Curve จึงยังเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จำเป็นในการบริหารจัดการงบประมาณขึ้นเงินเดือนที่ต้องใช้ครับ
โฆษณา