Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
สารพันบันเทิงจีน
•
ติดตาม
29 ก.ค. เวลา 09:15 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
ห้วงคำนึงดวงใจนิรันดร์2
เขียนถึงภาคหนึ่งไปแล้ว จะไม่เขียนถึงภาคสองก็กระไรอยู่ ถึงจะงานหลักท่วมหัว ก็ต้องแอบหนีเดทไลน์มาเขียนถึงเสียหน่อย
ภาคนี้มีแค่ 23 ตอน จากที่อ่านข้อมูลคือ ซีรีส์ไม่ได้ตั้งใจทำเป็น 2 ภาค แต่ติดกฎกบว.จีนที่จำกัดละครชุดแต่ละเรื่องให้มีได้ไม่เกิน 40 ตอน ถ้าหัวหมอตัดแบ่งเป็น 2 ภาค ก็ต้องฉายห่างกัน 1 ปี
ภาคนี้เป็นเหตุการณ์ต่อจากเมื่อ ชางเสวียน ขึ้นครองราชย์ต่อจากท่านตา มีประเด็นเรื่องรวมแผ่นดิน การแต่งงานของเสียวเยา ซึ่งบทละครปรับให้ต่างจากนิยาย
เสียวเยา เกือบจะแต่งงานกับเฟิงหลง แต่มาโดนเซี่ยงหลิวชิงตัวไปกลางงานแต่ง (โดยมีจิ่งอยู่เบื้องหลัง และเซี่ยงหลิวก็เต็มใจทำให้)
จิ่งที่เคลียร์ตัวเองจากทฤษฎีสมคบคิดของย่าและพี่ชายตัวเองได้ แต่วิบากกรรมยังไม่หมด ต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัวสาหัสเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนสมหวังจูงมือไปอยู่ด้วยกันในที่สุด
เซี่ยงหลิว ยังไงก็ต้องตาย เพราะเลือกที่จะเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก
ภาคนี้ ชางเสวียน เป็นตัวละครเดียวที่ไม่เหมือนกับในนิยาย เพราะแทนที่จะเป็นคนวางแผนฆ่าจิ่ง เปลี่ยนเป็นมเหสีเป็นคนวางแผนฆ่าแทน ส่วนเหตุการณ์ที่เสียวเยาทะเลาะกับชางเสวียนถึงขั้นตัดเป็นตัดตายกัน กลายเป็นฉากที่ชางเสวียนนั่งไทม์แมชชีนไปในอนาคต แล้วเห็นว่าถ้าดึงดันปล่อยจิ่งตาย แล้วคิดว่าเสียวเยาจะกลับมารักตนเอง ก็จะกลายเป็นเสียวเยาตายไปด้วย ก็เลยเปลี่ยนใจเป็นพี่ชายและเป็นกษัตริย์ที่ดี
ในแง่บท คือส่งบทให้ #หยางจื่อ กับ #จางหว่านอี้ โดดเด่นกันอยู่สองคน โดยเฉพาะฉากตอนที่จะฆ่ากันในห้วงคำนึงแห่งอนาคต
ส่วน เซี่ยงหลิว ก็ตายแบบเท่ ๆ ไป กลายเป็นผู้ชายที่ทำเพื่อนางเอกสุด ๆ ถึงขนาดฆ่าไปสองชีวิต เพื่อให้นางเอกรอดจากหนอนผูกวิญญาณ (อันนี้มั่วเพราะจำชื่อไม่ได้) ซาบซึ้งกินใจกันไป
ผู้เขียนไม่ติดใจเรื่องการปรับบท เพราะนิยายกับละคร เป็นการนำเสนอในวิธีที่แตกต่างกัน ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันเป๊ะ และเข้าใจได้ว่าถ้าทำตามนิยายเป๊ะ สำนักตรวจสอบของจีนน่าจะไม่ให้ผ่าน เพราะชางเสวียนนั้นถึงกับวางแผนฆ่า แฟนของน้องสาว (ถึงจะเป็นลูกพี่ลูกน้อง แต่เคยอ่านเจอว่าธรรมเนียมจีนถือเป็นเหมือนพี่น้องกันจริง ๆ ) ซึ่งไม่ใช่ค่านิยมที่ทางการจีนส่งเสริมแน่นอน
เหตุผลอีกประการหนึ่ง(เดาเอง) เมื่อละครวางบทให้ชางเสวียนเป็นพระเอก เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ นำความสงบสุขมายังประชาชนต้าวาง ก็ไม่ควรจะอะไรที่ไม่สมควรทำ คือเผลอคิดได้ แต่ต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจเพราะมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ มันก็เป็นการวางวิธีคิดลงในใจของคนดู
ส่วนเซี่ยงหลิว ผู้เขียนไม่ประทับใจอะไรกับคาแรกเตอร์นี้มาตั้งแต่ภาคที่แล้ว ภาคนี้ก็ไม่มีส่วนไหนที่ทำให้รู้สึกชอบมากขึ้น
ผู้เขียนเห็นว่าการที่เซี่ยงหลิวรักเสียวเยามาก ยอมตายไม่ยอมบอกว่าตัวเองตายเพื่อนาง ไม่ใช่ความรักซาบซึ้งอะไรเลย ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง คือ เสียวเยาไม่ได้สำคัญกับเซี่ยงหลิง มากเท่ากับอีโก้ของตัวเอง ความยึดมั่นถือมั่นของตัวเอง ว่าจะต้องสู้ไปจนตัวเองตาย
ถ้ามองในแง่เอ็มพาทีตามความหมายที่แท้จริง ก็คือ เซี่ยงหลิวไม่คิดถึงใจเสียวเยาเลยว่านางต้องการอะไร ไม่เคยให้นางเลือก คือเลือกให้หมดว่า ไม่ต้องรู้อะไรหรอกว่าเขาทำอะไรเพื่อนางบ้าง ซึ่งทำให้เซี่ยงหลิวเหมือนวีรบุรุษในสายตาคนดู ในขณะที่เสียวเยาถูกตีความไปต่าง ๆ นานา คนเชียร์เซี่ยงหลิวก็สรรหาเหตุผลมาบอกว่าเสี่ยวเยารักเซี่ยงหลิวที่สุด
1
1
แต่ก็อาจเป็นความจงใจของผู้เขียนบท (ซึ่งเขียนนิยายเรื่องนี้ด้วย) เพราะยิ่งคนดูลงเรือของใครของมันมากเท่าไหร่ เชียร์เรือของตัวเองมากเท่าไหร่ ตีกันมากเท่าไหร่ ละครก็ยิ่งดังมากเท่านั้น มันก็เป็นวิถีทางธุรกิจแบบหนึ่งนั่นเอง
ในแง่บทผู้เขียนเสียดายอยู่เรื่องเดียวคือ บทของจิ่ง ทั้งที่จิ่งเป็นตัวละครที่สื่อสารแนวคิด คุณค่าของการมีชีวิตที่ดีที่สุดของเรื่อง แต่เนื่องจากไม่ใช่ตัวละครที่นักเขียนโปรดปราน ก็เลยเหมือนทำบทส่ง ๆ ไปให้ครบ โชคดีที่ #เติ้งเหวย เล่นบทจิ่งได้น่ารักกว่าที่ทีมคาดไว้ เรือจิ่งเยาก็มีสมาชิกมากพอสมควร ก็เลยได้จบแบบในหนังสือ
ภาคแรก ผู้เขียนรู้สึกว่าความรักของจิ่งมันท้วมท้นเกินไป เหมือนจะไม่ลืมหูลืมตา แต่ภาคสอง ได้เห็นมุมอื่น ๆ ของจิ่งมากขึ้น แต่กลายเป็นการฟังจากตัวละครอื่น จากการ “เล่าเรื่อง” ของจิ่ง แทนที่จะทำออกมาเป็น “ภาพ” ให้คนดูเห็น
ผู้เขียนชอบตัวละครจิ่งมากที่สุดในเรื่อง แต่ไม่ได้ชอบเพราะนักแสดงหล่อ หรือเพราะตัวละครรักเสียวเยาเหลือเกิน แต่ชอบนิสัยของจิ่ง เขาฉลาด องอาจ เข็มแข็ง และมีเอ็มพาทีต่อเสียวเยาที่สุด
1
1
แม้จะจำต้องแต่งงานไปแล้ว แต่ก็ยังหาทางพิสูจน์ว่าตนเองไม่ได้ผิดต่อเสียวเยา นั่นคือไม่เคยยอมแพ้ที่จะหาทางกลับไปใช้ชีวิตกับเสียวเยา เมื่อรู้แล้วว่ามันผิดปกติแน่ ๆ ก็พยายามหาทางแก้ปัญหา โดยไม่ทำให้ทุกคนรวมทั้งคนผิดที่เป็นพี่ชายพี่สะใภ้กระทบกระเทือน แต่เมื่อถึงเวลาต้องเด็ดขาดเขาจัดการตามนั้น
ตอนให้เซี่ยงหลิวไปชิงตัวเสียวเยาจากงานแต่งงาน ในนิยายมีเขียนอธิบายว่าเพราะเห็นว่าเสียวเยาไม่ได้อยากแต่งงานจริง ๆ แต่ในละครเหมือนจะไม่ได้อธิบายเหตุผลตรงนี้
ที่บอกว่าจิ่งเข็มแข็งที่สุด นอกจากเรื่องที่ไม่ว่าเขาจะถูกใครทำร้ายอย่างไร แต่จิ่งยังคงยืนหยัดที่จะทำเรื่องที่ไม่ผิดต่อใครเสมอมา ทั้งเรื่องพี่ชาย พี่สะใภ้ ที่พยายามช่วยครั้งแล้วครั้งเล่า แม้กระทั่งให้เซี่ยงหลิวไปชิงตัวเสียวเยามาแล้ว ก็ยังไม่คิดจะไปรับมาด้วยซ้ำ แต่ให้อยู่กับเซี่ยงหลิวไปก่อน เปิดทางให้นางเลือกเต็มที่ เพราะจิ่งรู้อยู่ว่าเสียวเยาก็มีความรู้สึกดี ๆ ให้เซี่ยงหลิว
ถ้าไม่เข้มแข็งจริงคงเอาชนะความเห็นแก่ตัวไม่ได้
ยังไม่นับเรื่องที่ช่วยชางเสวียนรวมแผ่นดินแบบเงียบ ๆ และไม่ใช่แค่เหตุผลว่าเพราะเสียวเยาต้องการช่วยพี่ชายเท่านั้น แต่มองว่าชางเสวียนน่าจะเป็นกษัตริย์ที่ดีที่สุดทำให้แผ่นสงบสุข
จิ่งไม่ได้เป็นสุภาพบุรุษเฉพาะกับเสียวเยาเท่านั้น แต่เป็นกับทุกคนด้วย
น่าเสียดายที่คนเขียนบทและทีมงานให้ความสำคัญกับดราม่ามากเกินไป จนลืมที่จะเน้นประเด็นนี้ มีแค่ฉากที่ท่านตาเอ่ยถึงจิ่ง กับตอนที่ชางเสวียนถามจิ่งเพราะเฟิงหลงบอกไว้ก่อนตายเท่านั้น
อีกประเด็นที่อยากพูดถึง(อาจไม่เกี่ยวกับเรื่องสักเท่าไหร่) คือเพิ่งรู้ว่านักเขียนนิยาย ได้แก้ไขข้อความบางอย่างในการพิมพ์หนังสือครั้งที่สอง แต่ไม่รู้ว่าเปลี่ยนอย่างไร เปลี่ยนแค่ไหน
นั่นทำให้คิดถึง กิมย้ง ที่หลังจากเลิกกับภรรรยาคนที่สอง ก็เอานิยายของตัวเองมาเขียนใหม่ แล้วเปลี่ยนบางเรื่องจากที่เคยเขียนไว้ ด้วยเหตุผลใดไม่รู้แน่ชัด จะด้วยว่าพออายุมากขึ้น ความเห็นต่อตัวละครเปลี่ยนไปก็เลยอยากแก้ไข หรือเปลี่ยนด้วยเหตุผลทางธุรกิจ เปลี่ยนตามที่คนอ่านอยากให้เป็น หรืออาจเปลี่ยนตามคำวิจารณ์
ผู้เขียนอ่านนิยายฉบับก่อนเปลี่ยนของกิมย้ง หลายเล่ม ที่ชอบมากที่สุดคือ ดาบมังกรหยก พอโตมาสักหน่อยก็ออกจากวงการนิยายจีนไประยะหนึ่ง กลับมาอีกที อ้าว...ดาบมังกรหยกถูกเปลี่ยนตอนจบไปแล้ว ก็งง ๆ ว่าทำแบบนี้ก็ได้เหรอ
งานเขียนตอนอายุ 20 กับงานเขียนตอนอายุ 50 มันต้องไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ทั้งเรื่องสำนวนภาษาและมุมมองต่อชีวิต เพราะมันก็คือการบันทึกความคิดของนักเขียนในเวลานั้น
เนื่องจากปัจจุบันมีเงื่อนไขและบริบทที่เปลี่ยนไป งานเขียนไม่ว่าจะเป็นนิยาย หรือบทละคร มันก็เป็นสินค้าชนิดนึง ถ้าจะนำมาปรับเปลี่ยนเพื่อให้ขายได้ แล้วคนอ่านก็ยอมรับ ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร หากมันยังคง “สื่อสาร” เรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อคนอ่าน
ว่าแล้วก็คิดถึงเหตุการณ์ในขณะที่ยังเป็นบก.บห.ขึ้นมาได้ วันหนึ่งมีนักศึกษาคนไทยที่กำลังทำปริญญาเอก ในมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ (จำชื่อมหาวิทยาลัยไม่ได้แล้ว) ติดต่อขอสัมภาษณ์
ผู้เขียนแปลกใจมาก แต่ด้วยความอยากรู้ว่าเขาจะถามอะไร และทำไมถึงเลือกมาสัมภาษณ์เรา ก็ยอมให้เขาสัมภาษณ์ ปรากฏว่าเขาทำปริญญาเอกด้านมนุษยวิทยา ตอนนั้นคงสนใจประเด็นเรื่องความเชื่อทางศาสนา เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีหนังสือแนวจิตวิญญาณ กึ่งไสยศาสตร์ ออกมาและโด่งดังมาก แต่ก็ก่อให้เกิดข้อถกเถียงว่าควรพิมพ์หนังสือแบบนี้หรือไม่
เป็นการสัมภาษณ์ที่ยาวเกือบสองชั่วโมง คุยกันสนุกมาก คำถามหนึ่งที่จำได้คือ
“ พี่คิดยังไงกับหนังสือเรื่อง....................”
“ ก็ไม่คิดอะไร คนทำหนังสือเล่มนี้ก็คงมีเหตุผลของเขา และทำออกมาแล้วขายได้ มีคนอ่าน เขาก็ทำ”
“ ถ้าเป็นพี่ ๆ จะทำไหม”
“ ไม่ทำ”
สำหรับข้อเขียนของภาคหนึ่งตามลิงค์นี้
https://www.blockdit.com/posts/64dbbabbc689950876d1d665
ซีรีส์จีน
1 บันทึก
2
3
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
แนะนำซีรีส์
1
2
3
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย