7 ส.ค. เวลา 01:22 • ความคิดเห็น
เรื่องของตาหูจมูกลิ้นกายใจ ที่เค้าเรียกว่า วิญญาณทั้งหกนี้ มันช่างจดจำ จำเก่ง ..สิ่งที่ว่า ตาบันทึกภาพ หูบันทึกเสียง ..มันก็บันทึกยึดเข้ามาอัตโนมัติ ..เก็บไว้ที่ธาตุทั้งสี่ที่ประกอบเรือนกายให้จิตอาศัย สิ่่งที่ไปสัมผัสเห็นได้ยิน มันก็มีไหลเข้ามาไปสะกิด ..อารมณ์จิตใต้สำนึก หรือ ธาตุทั้งสี่ เหมือนไปสะกิต หรือ เขย่าขวดน้ำ ที่มีฝุ่นตะกอนเก่านอนก้นขวด
..พอเห็นภาพอย่างนี้ ข้อความแบบนี้ ..อารมณ์นึกคิดเก่า ..ตะกอนเก่า ก็ลอยขึ้นมา .เป็นความรู้สึกกลัว ไม่อยากเห็น รังเกียจ .. อะไรมากมาย จิตของเรามาก็ถูกอารมณ์นึกคิดอย่างนั้นปกคลุมไป ..ความรู้สึกแบบนี้ มันไม่ความสุข มันเป็นทุกข์เป็นกรรม
การที่จะแก้ไข เรื่องราวแบบนี้ เราก็เอาสิ่งดี ทำสิ่งดีๆขึ้นมา ทำบุญ สวดมนต์ให้หูเราได้ยินเสียงตัวเราเอง คำสวดมนต์ นั้นเป็นคำสูง ที่มีความหมายที่ดีๆ เราสวดบูชาคุณพระพุทธ พระสงฆ์ พระธรรม สวดให้หูเราได้ยิน ..เป็นเสียงคำที่เป็นปิยะวาจาของเราเอง
จิตของเรานั้นอาศัยอยู่ในกาย ต้องพูดเอาเสียงดีของเรา ส่งผ่านหูส่งไปให้จิตเรารับรู้ จิตก็ส่งลงไปที่ธาตุทั้งสี่ ..ก็จะไปช่วยชะล้าง ฝุนตะกอนนั้นออกไป .ที่เค้าว่าเอาน้ำดีไปไล่น้ำเสีย ต้องค่อยๆ ฝึกหัดทำ แล้วเราจะค่อยเห็นการเปลี่ยนแปลง ในอารมณ์ของเราเอง .
เรื่องของจิตใจนั้น บางคนก็อ่อนไหวง่าย บางคนด่าพ่อด่าแม่ ก็ไม่รู้สึก ไม่รับรู้ดีชั่วอะไรได้เลย มันมีความแตกต่างกัน ในเรื่องความยึดถืออารมณ์นึกคิด ที่เค้าว่าคนดีคนชั่ว ..นี่ก็ดีอย่างที่เรารู้จักอารมณ์อย่างนี้ความรู้สึกแบบนี้ได้
..เพียงแต่เราค่อยๆตั้งสติ..อยู่นิ่ง เฉยๆ คอยทบทวน สลัดอารมณ์นั้นออก .อารมณ์นั้นเป็นของคนอื่น แล้วอารมณ์ของเราอีกนั่นแหละ ไปยึดไปคล้องเกี่ยวเอาอารมณ์กรรมของเค้าเข้ามา ..เอาความนึกคิดวาจาที่เร่าร้อนเข้ามา ตาเราก็ยึดหูเราก็ยึด ..จับของร้อน .มันก็ร้อนไปไฟเผาเราเอง ..มันเกิดขึ้นที่เรา ..ที่เค้าว่า ไปเอาคำพูดของเค้าที่พูดด้วยอารมณ์ทิฐิไม่พอใจ เอามายึด มันก็เป็นอย่างนี้ มันเร่าร้อนไม่มีความสุข
เรื่องราวทำนองนี้ ..มันเกิดขึ้นได้กับทุกคน ..ที่มีวิญญาณทั้งหก .ไปสัมผัสไปยึดถือ ในการใช้ชีวิต ตื่นขึ้นมา ก็ออกทำมาหากิน แหวกว่ายไป แหวกว่าย ไปในสิ่งที่เค้าว่า รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆ ลมที่เข้าออก มันก็มีแต่ของบูดของเน่าที่จะเข้ามาในกายในจิต ..แต่เราก็ไม่เคยที่จะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ แล้วหาทางสลัดมันทิ้งไป ..มันก็สะสมไปเรื่อย นานไปกายมันก็แย่ อ่อนเปลี้ย เจ็บป่วย จิตก็พลอยป่วยไปด้วย ..วิตกกังวล หวาดระแวง..เรื่องเหล่านี้ มันเป็นเรื่องจองกายใครกายมัน จิตใครจิตมัน .ต้องแก้ไขช่วยเหลือจิตขิงเราเอง
เราไปดูคนป่วย คนร่ำรวยเจ็บป่วย ..เค้ามีคนนั้นคนนี้ให้ยารักษา นอนเจ็บอยู่ในเตียงแคบๆ คนอื่นเค้าให้ยาป้อนข้าวป้อนน้ำให้ คนอื่นเข้าช่วยข้างนอก แต่ข้างในมันเจ็บทุกข์ทรมาน .เรื่องทุกข์ของจิต..ใครจะช่วยได้ นั้นเป็นเรื่องจิตที่อาศัยกายต้องช่วยเหลือจิตของตัวเราเอง หนทางไหนที่จะช่วยเหลือจิตเราเอง ให้เข้มแข็ง ต่ออารมณ์กรรมของตัวเราเอง เข้มแข็งไม่ใช่เพื่อชนะคนอื่น เข้มแข็งเพื่อชนะอารมณ์กรรมของตัวเราเอง
โฆษณา