4 ต.ค. เวลา 01:00 • หนังสือ

สรุปหนังสือ 📚 The Power of Input ศิลปะของการเลือก + รับ * รู้

ผู้เขียน ✏️ คะบะซะวะ ชิออน
เนื้อหา ⭐⭐⭐⭐⭐
อ่านง่าย ⭐⭐⭐⭐⭐
คุ้มเวลา ⭐⭐⭐⭐
CHAPTER 1: กฎพื้นฐานของ Input
"IN" คือ การใส่ข้อมูลเข้าไป
"PUT" คือ การวางไว้ในสมอง
ข้อมูลที่ถูกนำเข้า ต้องถูกบันทึกลงสมองก่อน
ถึงจะถูกเรียกว่าเราได้ทำการ INPUT เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับกฎพื้นฐาน มีดังนี้
1. ห้ามอ่าน ฟัง หรือดูแบบผ่านๆ
ต้องทำอย่างตั้งใจ จดจ่อ จะทำให้เก็บรายละเอียดข้อมูล
และนำไปต่อยอดได้ดีกว่าการรับข้อมูลเข้ามาแบบผ่านๆ
2. กำหนดเป้าหมายของการ Input
เราอยากได้ประโยชน์อะไรจากการ Input ในครั้งนี้
ยิ่งกำหนดทิศทางและระยะเวลาชัดเจน
ก็มีโอกาสที่เป้าหมายจะสำเร็จได้มากขึ้น เช่น
Input ตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษ เพื่อเรียนต่อต่างประเทศ
Output เรียนถึงเดือน xx เพื่อสอบ TOEIC ได้ 450 คะแนน
3. ทำ Input และ Output ควบคู่กันไปเสมอ
จะทำให้จดจำและเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยให้ตั้ง Output ไว้ล่วงหน้า ⏰
การกดดันตัวเองนิดๆ จะช่วยให้สารนอร์อะดรีนาลินหลั่ง
เพิ่มความสามารถในการจดจ่อ จำ คิด และพิจารณา
เช่น ถ้าดูหนังจบจะเขียนบทวิจารณ์ลงบล็อก
CHAPTER 2: วิธีอ่านให้จำได้ตามหลักวิทยาศาสตร์
1. การเรียนรู้มีขั้นตอนของมัน หากอยากรู้เรื่องอะไร
ให้เริ่มจากซื้อหนังสือมาอ่านเรื่องพื้นฐานก่อน
พูดให้เห็นภาพมากขึ้นคือ หากอยากเรียนภาษาอังกฤษ
ก็ควรมีความรู้เรื่องศัพท์พื้นฐานพอสมควร
ก่อนที่จะไปเรียนคอร์สแบบตัวต่อตัวที่มีราคาสูง
2. เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ
อ่านโดยทำ Output ด้วยเสมอ เช่น
✅ เขียน สิ่งที่ค้นพบ, To do หรือ เขียนรีวิว
✅ พูด ข้อดีของหนังสือให้คนอื่นฟัง หรืออธิบายได้
✅ ทำ นำสิ่งที่อยากทำตามหนังสือไปลงมือทำจริง
พอได้ความรู้ติดตัวแล้ว ค่อยทำ Input เล่มถัดไป
3. อ่านโดยคิดว่าจะเขียนรีวิว
เพิ่มความกดดันนิดๆ จะช่วยให้เรารู้สึกอ่านจนถึงระดับที่
เราสามารถไปแนะนำหนังสือกับคนอื่นต่อได้
3. เลือกหนังสือตามผู้เชี่ยวชาญหรือคนแนะนำ
มือใหม่อาจจะยังเลือกเองไม่ค่อยถูก
นอกจากจะเสียเงินแล้ว ยังเสียเวลาและความรู้สึกมาก
การอ่านหนังสือที่มีผู้เชี่ยวชาญแนะนำมีข้อดี
เพราะเขาอ่านเรื่องคล้ายกันมาหลายเล่ม
หากเขาแนะนำเล่มไหน
ก็มีโอกาสสูงที่จะเป็นหนังสือที่ดีที่เราตามหาเช่นกัน
4. อ่านแบบเป็นกลาง
"ความลำเอียงเพื่อยืนยัน" เป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้
หากเรามีความเชื่อบางอย่างอยู่ก่อนแล้ว
เราจะเลือกแค่ข้อมูลที่สนับสนุนความเชื่อเรา
แล้วตัดข้อมูลที่ต่อต้านความเชื่อเราออก
การทำ Input แบบนี้ ทำให้เราตัดสินใจหรือคิดพลาดได้
5. อ่านให้สมดุล หรือการทำ Input แบบ 3 จุด เช่น
อยากรู้วิธีการ Diet ด้วยการงดแป้ง
ให้ลองอ่านเล่มที่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย และเป็นกลาง
จะช่วยให้เราเห็นข้อดี ข้อเสีย
และลดการเอียงเอนเข้าหาความเชื่อด้านใดด้านหนึ่ง
6. อ่านแบบข้ามไปมา
✅ ตั้งเป้าหมายของการซื้อหนังสือเล่มนั้นให้ชัด
✅ เลือก 3 หัวข้อที่สนใจจากสารบัญ
✅ ค้นหาเนื้อหาจาก 3 ข้อ โดยอ่านข้ามไปมา
✅ เน้นบทสรุปท้ายบท เพื่อจับใจความทั้งหมด
ช่วยให้เราอ่านได้ละเอียดและเร็วขึ้น 2 เท่า
เป็นการทำความเข้าใจภาพรวมก่อนลงรายละเอียด
7. อ่านเพื่อแก้ปัญหา
95% ของปัญหาบนโลกนี้มีทางแก้อยู่ในหนังสือ
แค่รู้วิธีแก้ แม้ยังไม่ทันลงมือทำ ก็ช่วยให้สบายใจขึ้น
CHAPTER 3: ฟังเพื่อเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง
1. ฟังการบรรยายหรือสัมมนาแบบสด
การได้เห็นภาษากาย สีหน้า ท่าทางประกอบการพูด
ช่วยกระตุ้นอารมณ์ ทำให้จำเนื้อหาได้ง่ายขึ้น
ยิ่งฟังแถวหน้าสุด ยิ่งทำให้เห็นสีหน้าผู้พูดชัดเจน
บวกความตื่นเต้นนิดๆ ที่อาจจะโดนเรียกตอบคำถาม
ทำให้จดจ่อกับการฟังมากขึ้น เก็บรายละเอียดได้ดีขึ้น
2. ฟังอย่างมีเป้าหมาย
การฟังในครั้งนี้ ต้องได้ 3 สิ่งนี้กลับบ้าน
3. เตรียมคำถามสัก 3 ข้อก่อนฟัง
ช่วยให้โฟกัสสิ่งที่อยากรู้ได้ดีขึ้น ตั้งใจฟัง
และเข้าใจเนื้อหาได้มากขึ้นอีกด้วย
4. ฟังไปด้วยจดโน๊ตไปด้วย
จดเฉพาะใจความสำคัญ เรื่องที่ค้นพบ
จะช่วยเสริมสมาธิและกระตุ้นสมองได้ดี
CHAPTER 4: ดูสิ่งต่างๆ เพื่อพัฒนาตนเอง
1. ดูภาพยนตร์
ยิ่งการดูในโรง จะทำให้สังเกตเห็นรายละเอียด
องค์ประกอบของฉาก สีหน้าที่ถ่ายทอดอารมณ์ได้ชัด
ทำให้ฝึกวิเคราะห์และจำรายละเอียดต่างๆ ได้ดีขึ้น
หลังจากนั้นให้ลองหาสิ่งที่ไม่เข้าใจในหนังอ่านในเน็ต
ซึ่งจะช่วยคลายข้อสงสัยและต่อยอดความรู้ให้เราได้
2. ดูงานศิลปะ 🎨
วิจัยพบว่าแค่ชมงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์เพียง 2 ชม.
ก็สามารถลดฮอร์โมนความเครียดได้ 60 - 90%
ซึ่งมือใหม่สามารถสนุกกับการดูงานศิลปะได้ง่ายๆ
แค่เริ่มจากดูผลงานของศิลปินชื่อดังก่อน
แล้วเช่า Audio guide ฟังเพื่อให้เข้าใจชีวิตศิลปิน
เบื้องหลังแนวคิด หรือรายละเอียดของภาพได้มากขึ้น
3. ไม่ดู
การดู Smartphone เป็นการพักผ่อนที่แย่ที่สุด
เพราะสมองจัดการข้อมูลด้วยตากว่า 80 - 90%
จึงทำให้สมองเหนื่อยล้า
การหลับตาแล้วอยู่นิ่งๆ โดยไม่คิดอะไร
จึงเป็นการพักผ่อนที่ให้ผลดีและทำง่ายที่สุด
นอกจากนี้ยังมีวิธีการ Input ที่ละเอียดยิบ
เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกด้านของชีวิตจริงๆ
แต่เราขอสรุปเป็นการเรียนรู้หลักๆ
ที่หลายคนน่าจะนำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวันได้
แนะนำว่าหากสนใจที่จะอ่านเล่มนี้
ให้เลือกเปิดสารบัญดูวิธี Input ด้านที่อยากรู้
รับรองว่ามีทุกเรื่องที่กำลังตามหาแน่นอน
หลังจากรู้วิธีการทำ Input แล้ว
อยากรู้ว่าต้องทำ Output อย่างไร
อ่านกันต่อได้ที่นี่เลยค่ะ
โฆษณา