29 ก.ย. เวลา 04:40 • ประวัติศาสตร์

นิ่งเพื่อรอคอยโอกาส

ราวปี ค.ศ. 227 ภายหลังกลับจากปราบเบ้งเฮ็กทางภาคใต้จนราบคาบได้แล้ว ‘จูกัดเหลียง’ มหาอุปราชแห่งจกก๊กได้ยินข่าวการเสียชีวิตของ ‘โจผี’ ปฐมจักรพรรดิของราชวงศ์เว่ย (วุยก๊ก) พวกเขาแต่งตั้ง ‘โจยอย’ พระราชโอรสขึ้นเป็นพระเจ้าไต้งุยฮ่องเต้ สืบราชสมบัติต่อไป
จูกัดเหลียงเห็นว่าวุยก๊กอยู่ในช่วงผลัดแผ่นดิน บ้านเมืองกำลังสับสนและอ่อนแอ จึงเป็นการดีที่จะยกพลขึ้นเหนือปราบวุยก๊กให้สิ้นซาก เพื่อเริ่มต้นปณิธานการรวมแผนดินให้เป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง ตามพระราชประสงค์ของ ‘พระเจ้าเล่าปี่’ ปฐมจักรพรรดิแห่งจกก๊กผู้ล่วงลับ
.
อีกหนึ่งประการคือจกก๊กเป็นรัฐที่เล็กกว่าวุยก๊กเป็นอย่างมาก หากเอาแต่นิ่งเฉยไม่ยอมทำอะไร ก็คงจะถูกวุยก๊กกลืนกินเข้าสักวัน
‘ม้าเจ๊ก’ ที่ปรึกษาคนสำคัญของจูกัดเหลียง เห็นว่ากองทัพเสฉวนพึ่งกลับมาถึง ‘เฉิงตู’ (เมืองหลวงจกก๊ก) ได้ไม่นาน พลทหารอ่อนล้าและอิดโรยอยู่ จึงได้กราบทูลมหาอุปราชจูกัดเหลียงไปว่า
.
“ซึ่งท่านจะยกพลไปตีเมืองฮูโต๋อันไกลห่างนั้น เห็นทหารทั้งปวงจะได้รับความลำบากนัก ขอให้งดอยู่ก่อนเถิด ข้าพเจ้าจะคิดกลอุบายให้โจยอยฆ่าสุมาอี้เสียจงได้”
จูกัดเหลียงว่าจึงถามว่า “ท่านจะทำกลอุบายประการใด”
.
ม้าเจ๊กจึงตอบว่า
.
“บัดนี้โจยอยให้สุมาอี้อยู่รักษาเมืองเสเหลียง จึงพอคาดเดาได้ว่าโจยอยคงไม่ไว้ใจสุมาอี้เป็นทุนเดิม ข้าพเจ้าคิดกลอุบายจะเขียนหนังสือให้ทหารลอบไปปิดประตูเมืองลกเอี๋ยงแลหัวเมืองทั้งปวง ว่าสุมาอี้คิดขบถ โจยอยรู้ก็จะฆ่าสุมาอี้เสีย”
จูกัดเหลียงได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วยกับความคิดของม้าเจ๊ก เนื่องจากสุมาอี้เป็นขุนพลเพียงคนเดียวในวุยก๊กที่มีสติปัญญาหลักแหลมมากพอจะต่อกรกับจูกัดเหลียงได้
.
สุมาอี้คนนี้ แม้จะเก็บตัวเงียบในยุคของโจโฉ (ค.ศ. 155 – 15 มีนาคม ค.ศ. 220) และพอจะมีผลงานอยู่บ้างในยุคของโจผี แต่ผู้คนใต้หล้าต่างรู้ดีว่าเขาเก็บซ่อนความสามารถไว้ในใต้ความสงบเงียบอย่างน่ากลัว
แต่ด้วยสถานการณ์ที่อาจถูกศัตรูจากก๊กอื่นโจมตีได้ทุกเวลา โจยอยจึงจำเป็นต้องใช้งานสุมาอี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
.
ทุกการเคลื่อนไหวของสุมาอี้จึงอยู่ในความสนใจของจูกัดเหลียงเสมอ ซึ่งด้วยเหตุนี้โจยอยซึ่งได้ให้สุมาอี้เป็นเจ้าเมืองเสเหลียง จูกัดเหลียงเห็นว่าหากสุมาอี้สามารถซ่องสุมทหารได้มากแล้ว ก็จะต้องยกพลมาโจมตีจกก๊กอย่างแน่นอน ดังนั้นจูกัดเหลียงจำต้องตัดกำลังสุมาอี้ให้ได้เสียก่อน เพราะหากวุยก๊กไม่มีสุมาอี้ การยกพลขึ้นเหนือเพื่อปราบวุยก๊กก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
อีกประการหนึ่งคือ การตัดกำลังสุมาอี้นอกจากจะทำให้วุยก๊กขาดขุนพลคนสำคัญแล้ว ยังเป็นการบีบบังคับให้สุมาอี้ไม่มีทางสู้ และเมื่ออับจนหนทาง สุมาอี้ก็จะไม่มีที่อยู่อาศัย จำต้องหันมาพึ่งจกก๊กอย่างแน่นอน
จูกัดเหลียงจึงเขียนหนังสือใจความว่า
“ตัวเราผู้ชื่อสุมาอี้ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่บอกมาให้ท่านทั้งปวงแจ้ง เดิมพระเจ้าวุยอ๋องคิดจะมอบสมบัติให้โจสิด แต่มีผู้ยุยงว่ากล่าวพระเจ้าโจผีจึงได้สมบัติ บัดนี้พระเจ้าโจผีมอบสมบัติให้โจยอยผู้บุตร โจยอยหนุ่มแก่ความ จะทำการสิ่งใดก็ไม่ปรานีราษฎร เห็นจะรักษาสมบัติไม่ได้ เราเป็นผู้ใหญ่จะนิ่งอยู่ให้แผ่นดินจลาจลก็ไม่ควร จึงซ่องสุมทหารไว้เป็นอันมาก คิดอ่านกำจัดโจยอยเสีย จะยกโจสิดขึ้นครองสมบัติตามดำริพระเจ้าวุยอ๋อง
แม้ท่านทั้งปวงยอมสมัครทำการด้วยเรา ก็ให้เร่งชักชวนพร้อมกัน หากผู้ใดเห็นหนังสือนี้ไม่ทำตามเรา เมื่อสำเร็จราชการจะตัดศีรษะเสียให้สิ้นทั้งโคตร”
เมื่อได้ใจความในจดหมายแล้ว จูกัดเหลียงจึงใช้ให้คนนำไปโปรยทิ้งไว้ที่เมืองลกเอี๋ยงรวมถึงตามหัวเมืองของวุยก๊ก เมื่อทหารเฝ้าหน้าประตูเห็นความในจดหมายจึงนำไปถวายพระเจ้าโจยอยให้ทราบ
.
ฝ่ายโจยอยเมื่อทราบความก็ตกใจ จึงได้ปรึกษาขุนนางทั้งปวงแล้วได้ข้อสรุปว่า ควรปลดสุมาอี้ออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองเสเหลียง แล้วให้ไปทำมาหากินอยู่ที่บ้านเกิด ณ เมืองเหอเน่ย (โห้ลาย) จากนั้นจึงตั้ง ‘โจหิว’ คุมทหารอยู่เฝ้ารักษาเมืองเสเหลียงแทน
การตัดกำลังสุมาอี้จึงเป็นผลตามแผนจูกัดเหลียงทุกประการ เพราะศัตรูเพียงคนเดียวที่จูกัดเหลียงหวั่นวิตกอย่างสุมาอี้ได้หมดสิ้นอำนาจตามแผนยืมดายฆ่าคนของม้าเจ๊กอย่างสมบูรณ์ จูกัดเหลียงจึงเตรียมการยกพลขึ้นเหนือเพื่อโจมตีวุยก๊กต่อไป
ฝ่ายสุมาอี้แม้จะต้องกลของจูกัดเหลียงจนถูกปลดเป็นเพียงสามัญชน แต่ก็ไม่มีท่าทีหวั่นวิตกแต่อย่างใด เขายังคงติดตามสถานการณ์บ้านเมืองอย่างใกล้ชิด และประเมินว่าอีกไม่ช้าจูกัดเหลียงจะต้องยกพลขึ้นเหนือเพื่อรบกับวุยก๊กอย่างแน่นอน ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง ขุนศึกเพียงคนเดียวที่พอจะสู้รบกับจูกัดเหลียงได้ คงมีเพียงเขาเท่านั้น
สุมาอี้จึงเฝ้ารอคอยโอกาสของตนอีกครั้งด้วยความอดทน แม้ว่าลมมรสุมครั้งนี้จะหนักหนาสำหรับเขาเพียงใด แต่สุมาอี้ก็รู้ดีว่าสักวันลมจะเปลี่ยนทิศ และเมื่อเวลานั้นมาถึง โอกาสที่จะได้สร้างผลงานของเขาก็จะกลับมาอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน
***โปรดติดตามตอนต่อไป***
.
ผู้เขียน: ณัฐพงศ์ อินต๊ะริด
Refer:
ราชบัณฑิตยสภา. (2471).สามก๊ก .กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนาก
เล่าชวนหัว. (2553).สามก๊กฉบับคนเดินดินเปิดหน้ากากจูกัดเหลียง .กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์เคล็ดไทย
Link:
.
#สำนักคิด #สามก๊ก #ปรัชญากลยุทธ์
#จีน #ประวัติศาสตร์ #ปรัชญาวาทะ
#somnakkid #ความอดทน #การรอคอยที่คุ้มค่า
โฆษณา