21 ต.ค. เวลา 22:55 • หุ้น & เศรษฐกิจ

อย่าโดนหลอกเพียงแค่เห็นรูป ลองใช้ GPT เพิ่มความรู้ในเรื่องการลงทุนและมีภูมิคุ้มกันในการไม่โดนหลอกลวง

#PaFun_Plus #GPT #AIPlz #เพราะผิดพลาด
Prompt
"น้องสาวเปิดโหมด gifted
คำถามที่ 1. ค้นหาข้อมูลจากเวปไซต์ ในส่วนที่ เป็นข้อควรรู้กี่ยวกับการหลอกลวงแชร์ลูกโซ่ในไทย
คำถามที่ 2. ช่วยสรุป key take away ให้ไม่โดนหลอก
คำถามที่ 3. ช่วยให้ไอเดียในการลงทุน โดยในที่นี้ ให้ทำเป็นตาราง เปรียบเทียบ ข้อดี ข้อเสีย โอกาส
3.1 ที่ดิน
3.2 ทอง
3.3 หุ้นไทย
3.4 เหรียญ BTC
ตอบทีละข้ออย่่างละเอียด จบ 1 ข้อ ให้พี่ชายพิมพ์ "ต่อไป" เพื่อตอบโจทย์ข้อต่อไป"
คำตอบที่ 1
การที่แชร์ลูกโซ่ยังคงสำเร็จและทำให้หลายคนยังถูกหลอกอยู่ในปัจจุบัน มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลให้กลไกนี้ยังคงมีประสิทธิภาพในการดึงดูดผู้ลงทุน แม้ว่าจะมีการรณรงค์ให้ความรู้มานานแล้ว นี่คือการวิเคราะห์เชิงลึกว่าทำไมพฤติกรรมคนยังตกเป็นเหยื่อ:
1. การรับประกันผลตอบแทนสูงในระยะเวลาสั้น
ผู้คนถูกดึงดูดจากผลตอบแทนที่สูงและการันตีผลตอบแทนที่เห็นชัดเจน ซึ่งมักจะเป็นการเล่นกับความโลภและความต้องการสำเร็จทางการเงินอย่างรวดเร็ว การที่แชร์ลูกโซ่ให้ผลตอบแทนสูงในช่วงแรก ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างรายได้แบบง่ายๆ โดยไม่ต้องทำงานหนัก​
2. การขาดความรู้ความเข้าใจในการลงทุน
คนที่ถูกหลอกโดยแชร์ลูกโซ่มักจะเป็นกลุ่มที่ขาดความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการลงทุนที่ถูกต้อง ความไม่เข้าใจเรื่องความเสี่ยงและการลงทุนแบบยั่งยืน ทำให้พวกเขาเชื่อมั่นในสิ่งที่ฟังดูดีเกินจริง เช่น การรับประกันผลตอบแทนที่สูงเกินปกติภายในระยะเวลาสั้นๆ ความไม่รู้เรื่องเศรษฐศาสตร์พื้นฐานและวิธีการทำงานของตลาดการเงิน ทำให้พวกเขามักเชื่อถือข้อมูลที่ไม่มีแหล่งที่มาที่เชื่อถือได้​
3. แรงกดดันจากสังคมและความกลัวที่จะพลาดโอกาส (FOMO)
การถูกชักชวนจากเพื่อนหรือครอบครัว ซึ่งมักเป็นกลไกหลักในแชร์ลูกโซ่ ทำให้หลายคนรู้สึกว่าเป็นโอกาสที่ห้ามพลาด ไม่เพียงแต่ผลตอบแทนทางการเงิน แต่ยังรวมถึงแรงกดดันจากสังคมที่อยู่รอบตัวด้วย หลายครั้งคนที่เข้าร่วมแชร์ลูกโซ่มีความกลัวว่าจะพลาดโอกาสในการทำเงิน หรือกลัวว่าจะตกเป็นคน "ไม่ทันคน" จึงตัดสินใจเข้าร่วมโดยไม่ได้คิดวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน​
4. การสร้างความน่าเชื่อถือในระยะแรก
การที่แชร์ลูกโซ่จ่ายผลตอบแทนในระยะแรกจริงๆ ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าการลงทุนนี้ "เชื่อถือได้" และน่าไว้วางใจ ซึ่งเป็นกลยุทธ์หลักที่ทำให้แชร์ลูกโซ่ดึงดูดผู้คนใหม่ๆ เข้ามาเพิ่ม โดยมักจะใช้กลยุทธ์การจ่ายผลตอบแทนครั้งแรกเพื่อให้เกิดการชักชวนคนใหม่เข้ามา ซึ่งนำไปสู่การขยายเครือข่ายได้อย่างรวดเร็ว​
5. การขาดการควบคุมและตรวจสอบจากหน่วยงานรัฐในบางกรณี
ในบางกรณี การหลอกลวงแชร์ลูกโซ่ยังคงเกิดขึ้นเนื่องจากขาดการติดตามตรวจสอบหรือควบคุมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างทันเวลา เมื่อธุรกิจเหล่านี้มีการเติบโตและขยายเครือข่ายได้อย่างรวดเร็ว การจัดการกับปัญหาจึงมักตามไม่ทัน ส่งผลให้คนหลายคนตกเป็นเหยื่อก่อนที่หน่วยงานจะสามารถเข้ามาดำเนินการ​
6. การใช้เทคโนโลยีและการตลาดที่เข้าถึงคนได้ง่าย
ปัจจุบัน มิจฉาชีพใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น โซเชียลมีเดีย หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อขยายเครือข่ายแชร์ลูกโซ่ ทำให้เข้าถึงผู้คนได้ง่ายและเร็วขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มักจะใช้สื่อออนไลน์ในการสื่อสาร ซึ่งทำให้การเผยแพร่ข้อมูลลวงหรือการชักชวนเข้าลงทุนสามารถทำได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็ว​
พี่มีคำถามเพิ่มไหมคะ ถ้าไม่มีพิมพ์คำว่า "ต่อไป" ได้เลยค่า
Key takeaways เพื่อไม่โดนหลอกแชร์ลูกโซ่ (คำถามที่ 2)
อย่าเชื่อคำโฆษณาที่รับประกันผลตอบแทนสูงผิดปกติ
ถ้ามีใครการันตีว่าจะได้ผลตอบแทนมากกว่า 10% ในระยะเวลาสั้นๆ ควรระวังไว้ก่อน เพราะการลงทุนที่ถูกต้องไม่สามารถการันตีผลตอบแทนได้ การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยงเสมอ​
ศึกษาและตรวจสอบข้อมูลก่อนลงทุน
ตรวจสอบข้อมูลการเงินของธุรกิจที่ชวนลงทุน ว่ามีงบการเงินที่สามารถตรวจสอบได้จากหน่วยงานทางการ เช่น กระทรวงพาณิชย์ หรือ SET เพื่อดูว่าเป็นธุรกิจที่โปร่งใสจริงหรือไม่​
หลีกเลี่ยงธุรกิจที่เน้นให้ชักชวนสมาชิกใหม่มากๆ
ธุรกิจที่ต้องหาสมาชิกเพิ่มเสมอเพื่อจ่ายผลตอบแทนให้สมาชิกเก่า มักจะเป็นรูปแบบของแชร์ลูกโซ่ อย่าให้แรงกดดันหรือแรงชักชวนจากคนรู้จักทำให้ต้องตัดสินใจโดยไม่ไตร่ตรอง​
ควรมีสติและระมัดระวังการลงทุน
อย่าตัดสินใจลงทุนเพียงเพราะกลัวตกขบวน (FOMO) หรือถูกเร่งให้ตัดสินใจทันที การลงทุนควรใช้เวลาในการศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจเสมอ​
เลือกลงทุนกับธุรกิจที่มีการรับรองจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้
ควรลงทุนกับบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานทางการ เช่น ก.ล.ต. หรือมีการรับรองจากธนาคารหรือบริษัทหลักทรัพย์ที่น่าเชื่อถือ การเลือกผู้ให้บริการที่ถูกต้องตามกฎหมายจะช่วยป้องกันความเสี่ยงในการถูกหลอก​
พี่มีคำถามหรือข้อสงสัยเพิ่มไหมคะ ถ้าไม่มีสามารถพิมพ์ "ต่อไป" เพื่อให้ฝันช่วยทำตารางเปรียบเทียบการลงทุนในข้อต่อไปได้นะคะ 😊
คำตอบที่ 3
ประเภทการลงทุน ข้อดี ข้อเสีย โอกาส
ที่ดิน - มีมูลค่าเพิ่มขึ้นในระยะยาว
- สามารถสร้างรายได้จากค่าเช่า
- ความต้องการที่ดินสูง - สภาพคล่องต่ำ
- ต้องการเงินลงทุนสูง
- มีค่าใช้จ่ายดูแล - เหมาะสำหรับการเก็บรักษาความมั่งคั่งระยะยาว
- การพัฒนาพื้นที่เพิ่มมูลค่าได้
ทอง - มูลค่าไม่ลดลงมากในภาวะเงินเฟ้อ
- เป็นที่ต้องการในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ
- เก็บรักษาได้ง่าย - มูลค่าผันผวนตามราคาตลาด
- เก็บรักษาเป็นปัญหาในปริมาณมาก - มีความต้องการสูงในช่วงภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน
- เหมาะกับการเก็บรักษามูลค่า
หุ้นไทย - มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงในระยะยาว
- มีสภาพคล่องสูง
- สามารถซื้อขายได้ง่าย - ความเสี่ยงสูงจากการผันผวนของตลาด
- มีความซับซ้อนในการวิเคราะห์ - โอกาสในการได้ผลตอบแทนสูง
- สามารถลงทุนในหลายอุตสาหกรรม
เหรียญ BTC - ผลตอบแทนสูงในระยะเวลาสั้น
- ความเป็นส่วนตัว
- เหมาะสำหรับการเก็งกำไรระยะสั้น - ราคาผันผวนสูงมาก
- ไม่มีการรับประกัน
- อาจถูกควบคุมหรือแบนในบางประเทศ - โอกาสเก็งกำไรสูง
- เหมาะกับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ดี
- ตลาดมีการเติบโตเร็ว
Prompt
"น้องพาฝันถ้าจะลงทุนจากข้อมูลทั้งหมดเลย เปิดโหมด Gifted ถ้านู๋ทำงานเงินเดือน 2 หมืน อายุเริ่มงาน 21 มีอัตราการขึ้นเงินเดือน 4-6 เปอรเซนต์ และนู๋กะทำงาน 20 ปี นู๋วางแผนชีวิตนู๋เองที"
โหมด Gifted เปิดแล้วค่ะพี่! พาฝันจะมาวางแผนชีวิตแบบละเอียดนะคะ ข้อมูลที่พี่ให้มา บอกว่าเริ่มต้นด้วยเงินเดือน 20,000 บาท มีการขึ้นเงินเดือนปีละ 4-6% และวางแผนทำงาน 20 ปี ดังนั้นนู๋จะออกแบบแผนการเงินที่เหมาะสมโดยนู๋จะเน้นการลงทุนและการเก็บออมที่ทำให้ชีวิตมั่นคงและสามารถเติบโตไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ค่ะ 😊
1. การประเมินรายได้ตลอดช่วงการทำงาน
เริ่มด้วยการคำนวณเงินเดือนที่นู๋จะได้รับตลอดช่วง 20 ปี นู๋จะใช้การคำนวณจากการขึ้นเงินเดือนเฉลี่ยปีละ 5% (กึ่งกลางระหว่าง 4-6%) นะคะ
รายได้ต่อปีในปีที่ 1:
เริ่มต้นที่ 20,000 บาทต่อเดือน => 240,000 บาทต่อปี
หากขึ้นเงินเดือนปีละ 5%:
ปีที่ 2: 240,000 × 1.05 = 252,000 บาท
ปีที่ 3: 252,000 × 1.05 = 264,600 บาท
... ทำเช่นนี้ต่อไปทุกปีจนถึงปีที่ 20
2. การแบ่งการใช้จ่ายและการออม
นู๋แบ่งรายได้ออกเป็นส่วนๆ ดังนี้:
การออมและการลงทุน (อย่างน้อย 20-30% ของรายได้ต่อเดือน)
ในปีแรก: 20% ของ 20,000 บาท = 4,000 บาทต่อเดือน หรือ 48,000 บาทต่อปี
ในปีที่ 2 (หลังจากขึ้นเงินเดือน): 20% ของ 21,000 บาท = 4,200 บาทต่อเดือน
ส่วนนี้จะสามารถเติบโตได้ด้วยการลงทุนในที่ดิน, หุ้นไทย หรือทองคำ เพื่อให้ผลตอบแทนระยะยาว
ค่าใช้จ่ายจำเป็น (ประมาณ 50% ของรายได้)
ใช้จ่ายในการดำรงชีวิต เช่น ค่าเช่าบ้าน, ค่ากินอยู่, ค่าเดินทาง
เงินสำรองฉุกเฉิน (ประมาณ 5-10%)
เก็บสำรองไว้สำหรับเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น สุขภาพ, อุบัติเหตุ
ควรเก็บอย่างน้อย 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน
3. การลงทุนเพื่ออนาคต
จากที่เราคำนวณไว้ในคำถามก่อนหน้านี้ นู๋จะลงทุนในสินทรัพย์ 3 ประเภทนี้เพื่อกระจายความเสี่ยง:
ที่ดิน: ลงทุนในที่ดินเพราะเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นในระยะยาว และสามารถปล่อยเช่าได้
หุ้นไทย: เลือกลงทุนในหุ้นไทยที่มีผลตอบแทนดี เพราะหุ้นมีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนใน BTC แต่สามารถให้ผลตอบแทนสูงในระยะยาว
ทองคำ: เหมาะสำหรับการป้องกันความเสี่ยงในภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน เก็บสะสมเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
4. เป้าหมายการออม
ปีที่ 1-5: เน้นออมและลงทุนในหุ้นไทยและทองคำ รวมถึงพยายามเก็บเงินซื้อที่ดินขนาดเล็กหรือกลางเพื่อสะสมทรัพย์สินระยะยาว
ปีที่ 6-10: หากมีรายได้เสริมจากการลงทุนที่ดินและหุ้นแล้ว สามารถเริ่มลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นได้ เช่น BTC
ปีที่ 11-20: เพิ่มเงินออมและปรับพอร์ตการลงทุนให้มั่นคง เช่น ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ขึ้น หรือหากต้องการเกษียณก่อนกำหนดก็สามารถทำได้
5. วางแผนการเกษียณ
หากวางแผนทำงาน 20 ปี นู๋จะมีเวลาเก็บออมและลงทุนตลอดระยะเวลานี้ จากการคำนวณคร่าวๆ นู๋จะมีเงินเก็บจากการออมอย่างน้อย 1.5-2 ล้านบาท (ขึ้นอยู่กับอัตราการขึ้นเงินเดือนและผลตอบแทนจากการลงทุน) ซึ่งสามารถช่วยให้นู๋ใช้ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างมั่นคงค่ะ
ถ้ามีคำถามเพิ่มเติมบอกน้องได้เลยนะคะ 😊
จากด้านบนสรุปได้ดังนี้
เริ่มต้นการออม:
ปีแรก:
เริ่มต้นด้วยเงินเดือน 20,000 บาทต่อเดือน หรือ 240,000 บาทต่อปี
แบ่งออม 20% ของรายได้ เท่ากับ 48,000 บาทต่อปี (4,000 บาทต่อเดือน)
ส่วนที่เหลือใช้สำหรับค่าใช้จ่าย 50% และเงินสำรองฉุกเฉิน 10%
เงินออมนำไปลงทุนจะเติบโตด้วย อัตราผลตอบแทน 6% ต่อปี
ในปีถัดๆ มา:
เงินเดือนจะเพิ่มขึ้นทุกปีตามอัตราการขึ้นเงินเดือนเฉลี่ย 5% ต่อปี
การออมก็จะเพิ่มตามไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น ในปีที่ 2 จะออม 50,400 บาท และในปีที่ 3 จะออม 52,920 บาท
มูลค่าการลงทุนสะสม จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจากผลตอบแทนทบต้น ทำให้ในปีที่ 5 จะมีมูลค่าการลงทุนที่ประมาณ 297,331 บาท
การออมและการลงทุนจะเติบโตอย่างไร:
เมื่อเก็บออมและลงทุนทุกปี เงินออมจะเติบโตตาม อัตราผลตอบแทนการลงทุน 6% ต่อปี และเมื่อรวมกับเงินออมที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี จะสามารถสะสมทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากทั้งการออมและผลตอบแทนทบต้น
สรุปแผนการออม:
การเริ่มต้นด้วยการออม 20% ของรายได้ เป็นการสร้างวินัยการออมที่ดี และด้วยการลงทุนที่มีผลตอบแทนทบต้น จะสามารถเพิ่มมูลค่าเงินลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง
แผนนี้เน้นการเติบโตระยะยาวและมั่นคง ด้วยการกระจายความเสี่ยงผ่านการลงทุนที่หลากหลาย
Prompt
"สุดท้ายและระหว่างการทำงานทำอย่างไรไม่ให้โดนหลอกลงทุน"
เพื่อป้องกันไม่ให้โดนหลอกลงทุนในระหว่างการทำงาน น้องมีคำแนะนำง่ายๆ ที่พี่สามารถปฏิบัติตามได้ตลอดการทำงานและการลงทุน ดังนี้ค่ะ:
1. ศึกษาและทำความเข้าใจการลงทุน
ก่อนลงทุนทุกครั้งควรศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับสินทรัพย์ที่สนใจ เช่น หุ้น, ที่ดิน, หรือคริปโตฯ ทำความเข้าใจว่าความเสี่ยงและผลตอบแทนเป็นอย่างไร
อย่าลงทุนในสิ่งที่ไม่เข้าใจ เพราะการลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยง ควรหาข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น เว็บไซต์ของหน่วยงานรัฐที่รับรอง หรือแหล่งการเงินที่เป็นที่ยอมรับ
2. อย่าเชื่อคำโฆษณาที่ให้ผลตอบแทนสูงเกินจริง
การลงทุนที่สัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูงภายในระยะเวลาสั้นๆ (เช่น 10-20% ใน 1-2 เดือน) มักจะเป็นการหลอกลวง
ควรระวังการลงทุนที่สัญญาว่าจะได้ผลตอบแทนที่ "การันตี" ว่าจะได้สูงผิดปกติ
3. ตรวจสอบแหล่งที่มาของธุรกิจหรือผู้ให้คำปรึกษาการลงทุน
ควรลงทุนกับบริษัทที่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานรัฐ เช่น บริษัทที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) หรือธนาคารที่มีใบรับรอง
ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผู้ที่มาชักชวนลงทุนผ่านเว็บไซต์ของหน่วยงานต่างๆ เช่น เว็บไซต์ของ ก.ล.ต. หรือกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
4. อย่าให้แรงกดดันจากสังคมหรือคนใกล้ตัวทำให้ตัดสินใจผิด
บ่อยครั้งการโดนหลอกมักเกิดจากการถูกชักชวนจากเพื่อนหรือคนในครอบครัว ซึ่งอาจไม่ได้ตั้งใจหลอกลวง แต่พวกเขาเองอาจไม่รู้ว่าเป็นการหลอกลงทุน
อย่าให้แรงกดดันจากความกลัวว่าจะพลาดโอกาส (FOMO) ทำให้เราลงทุนโดยไม่ได้วิเคราะห์ดีๆ ก่อน
5. ตรวจสอบข้อมูลทางการเงินของธุรกิจ
ถ้าไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลทางการเงินของธุรกิจที่ชวนลงทุนได้ หรืองบการเงินไม่โปร่งใส ควรหลีกเลี่ยงทันที
การลงทุนที่โปร่งใสควรสามารถตรวจสอบได้จากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ
6. พัฒนาทักษะการวิเคราะห์และทำความเข้าใจความเสี่ยง
เรียนรู้การอ่านงบการเงิน, ศึกษาวิธีการประเมินความเสี่ยงของสินทรัพย์ต่างๆ และพิจารณาว่าแผนการลงทุนสอดคล้องกับเป้าหมายของพี่หรือไม่
การลงทุนที่ดีไม่ใช่แค่เรื่องของผลตอบแทน แต่ควรดูที่ความมั่นคงในระยะยาวด้วย
7. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
หากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาที่ปรึกษาการลงทุนที่มีใบอนุญาต หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้แน่ใจว่าการลงทุนที่พี่สนใจนั้นปลอดภัย
สรุปง่ายๆ ก็คือ อย่าลงทุนในสิ่งที่ไม่เข้าใจ และ ควรตรวจสอบทุกครั้ง ก่อนตัดสินใจค่ะ น้องจะคอยให้คำปรึกษาเสมอนะคะ 😊
โฆษณา