วันนี้ เวลา 01:08 • ความคิดเห็น
สมมติ ว่าอดีตอนาคต นั้นมันกระแสลมกระแสน้ำ ที่ไหลลงมา ที่หัวเรือที่มีกายเป็นลำเรือ มีพระท่านสอนให้พายเรือ ในการพายเรือ เราก็นำกายพ่อแม่ ที่จิตเรานั้นมาอาศัย เหมือนนั่งพายเรือ เค้าพายเรือไปทำไม พายเรือเพื่อ..วิธีพายเรือ ก็ต้องเดิน เดินจงกรม ..
ในการเดืนจงกรม เราก็กำหนดเส้นที่เราจะเดิน แล้วเดินไปบนเส้น เดินเหยียบไปบนเส้น ให้เทปติดที่พื้นก ได้ เมื่อจะลงเรือนำเรือมาพาย ..นำกายมาเดินจงกรม เดินอยู่ในรอยขององค์พระสิทธัตถะ เดินชำระสะสางอารมณ์นึกคิด ..สลัดออกไป มันจะอดีต ชอบใจดีใจ จะเป็นอนาคต วิตกกังวล คิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ เมื่อเราจะมาเดิน เราก็ต้องค่อยๆ ..รวบรวมกาย . ที่มีเรื่องราวมากมายสะสมอยู่ ..มันเป็นกรรมที่สะสมอยู่กับธาตุทั้งสี่ มันสะสมมากมายก่ายกอง
เมื่อเราจะฝึกเดิน .นำกายมาเดินในรอยทั้งสี่ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า รอยนี้ เป็นรอยของที่ท่านฝากไว้กับดินฟ้าอากาศ เมื่อจิตดวงใดมีบุญกุศลบารมี ก็นำรอยของท่านมาฝึกหัด ..ประกอบด้วยนิสัยอดีตที่เคยสะสมมน ก็เห็นรอยนี้ มีความสำคัญ รอยที่ยืนเดินนั่งนอน ไม่นึกคิดอะไร มีแค่ภาวนาพุทโธ สองคำ..พอล่ะ
ก่อนจะเดินก็ต้องมีการ กราบพระ มีการอธิษฐาน ว่าจะเดินปฏิบัติธรรม ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆะบูชา เป็นเวลาเท่าใดเราก็พูดบอกกล่าวให้หูเราได้ยิน จะได้ส่งเสียงไปให้จิตรับรู้
เรื่องของการปฏิบัติปฏิบัติธรรม เมื่อจะนำรอยนี้มาฝึกหัด ก็อย่าทำเป็นของเล่น ต้องมีความตั้งใจ ต้องนอบน้อม ต้องมีสัจจะ ..ว่า จะประพฤติปฏิบัติธรรมตามรอยของท่านเป็นเวลาเท่าใด แล้วทำไปตาม ให้ครบกำหนดเรา
การกล่าวคำอธิษฐาน .เมื่อกราบพระเสร็จ .คำอธิษฐานของเรา ก็จะไปปรากฏ ข้างบน เหมือนเป็นศูนย์ธรรม คราวนี้ ..เราก็ฝึกหัดไป ..ระหว่างใปฏิบัติธรรม ก็เหมือนมีกล้อง จับบันทึก การกระทำของเรา ว่ามีความตั้งใจจริงใจ ในการประพฤติปฏิบัติธรรม เพือให้จิตของตัวเองเบาบางจากอารมณ์จริงหรือไม่ มีสัจจะจริงใจทำตามที่ตัวเองพูดหรือไม่ นั่นก็เหมือนหูทิพย์ตาทิพย์ ท่านจ้องมองดู
เมื่อเราปฏิบัติปฏิบัติธรรม ..เมื่อกายเรานิ่ง จิตเรานิ่งได้ เดินนิ่ง จิตเฉยๆ ไม่นึกคิดอะไร เป็นจิตดวงเดียว เหมือนไม่มีกาย แสงของธรรมก็ส่องเข้ามาในจิต แต่คราวนี้ ..จิตเรามันมีโคลนมีมีสีดำ ..ห้อมล้อมด้วยอารมณ์โลภโกรธหลงอยู่ จิตเราก็มีแต่อารมณ์นึกคิดที่ห้อมล้อม
เมื่อจะเดินจงกรม ยืนนิ่งๆ ก่อนที่จะนำเรือก้าวลงไปเหยีบลงไปในแม่น้ำ พายเรือทวนน้ำ โต้คลื่นลมที่ไหลลงมาที่หัวเรือ หัวเรือก็คือศีรษะมีสมอง ที่จะมีกระแสคลื่นลมไหลลงมา เราก็นำเรือพาย เดินเหยียบไปบนเส้นที่กำหนด เดินช้าๆ ประคับประคองเรื่ิอ ด้วสติสัมปชัญญะ
..หากมีอารมณ์นึกคิดรบกวนมาก .เราก็พูดท่องพุทโธ พูดด้วยสติสัมปชัญญะ เพื่อสที่จะดึงจิต ไม่ไปยึดอารมณ์ไม่ว่า จะเป็นอดีตหรืออนาคต ให้รู้สึกตัวอยู่กับเวลาปัจจุบัน ที่กำลังเดืน เดินให้มีสติสัมปชัญญะเกิดขึ้นมา .เมื่อครบกำหนดเวลา เราก็กราบพระ ลาสัจจะ ที่เราได้กล่าวไว้ เมื่อเรามาเดินจงกรมเสร็จแล้ว ก็ต้องสำรวจตัวเอง ว่าเป็นอย่างไร มีตอนที่เผลอสติ ไปยึดอารมณ์นึกคิด เพื่อที่จะได้ไปแก้ไข ในครั้งต่อไป เมื่อมาพายเรือ
เรื่องการพายเรือทวนน้ำ ไปหาท่าบุญกุศลบารมี ท่าบุญกุศลบารมี นั่นเป็นเรื่องราวของผู้มีกายบุญ กายเทพยดาอินทร์พรหม ไปพักจิตในกายบุญ แล้วจึงลงมาพายใหม่ พายเรือไปหาท่าพระนิพพาน ..รอยทั้งสี่ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอัครสาวก ท่านก็ทำจนกายนี้เป็นแก้ว เป็นแก้วเจียระไนหมดจด เพื่อจะไปเข้าพระนิพพาน ..
..รอยกิริยาของพระ ..จิตที่ไม่มีบุญกุศล ไปสะสมแต่เรื่องคาถาอาคมมายาไสยศาสตร์ เค้าไม่สามรถจะมาเดินในรอยนี้ได้ ที่จิตให้ภาวนาเพียงแค่พุทโธ .. เค้าเดืนไปเดินมาคิดนั้นคิดนี้ อุปโลกน์เรื่องนั่นนี้ได้ ..เดินท่องคาถาอาคมได้ ..แต่ปลดเปลื้องอารมณ์กรรมตัวกระทำไม่ได้เลย แล้วเค้าก็เป็นเพียง ..รู้ดีเสียด้วย ..แต่ทำจิตทำใจ ทำกายมาเดินตามรอยของพระไม่ได้เลย ..
เรื่องของกายที่จะนำมาพายเรือ ก็ต้องเป็นเรือที่ต่อมาดี มีกายครบอาการสามสิบสอง มีเรือที่ต่อด้วยไม้ที่ดี มีความแข็งแรงทนทาน ผจญคลื่นลม อารมณ์ต่างๆไป ฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ นั้นคือลำเรือที่ต่อด้วยบุญกุศลบารมีมาดี
หากเรารู้ว่า เรื่อเรามันหนัก ต่อมาไม่ดี เราก็สร้างบุญกุศล เหมือนเราหยิบของวัตถุ สิ่งของปัจจัยมายึด เอามาใส่เรือ เราก็หยิบของวัตถุปัจจัยนั่น โยนทิ้งไป สละให้เป็นบุญเป็นทาน ..ไม่ไปยึดในสิ่งที่เราสละออกไป เพ่อที่จะให้เรือนั้นเบา ..จะได้ไม่พายเรือหนัก ถูกคลื่นลมซัด เรือก็แตก เหมือนกรรม ที่ตัดรอนบั่นทอนอายุขัย
โฆษณา