4 พ.ย. เวลา 10:33 • นิยาย เรื่องสั้น

ปลายทางสุดท้ายอยู่ที่ร้านอาหารหลังเที่ยงคืน

เมื่อถึงเวลายามพระอาทิตย์เริ่มลาลับขอบฟ้า ค่ำคืนราตรีก็มาเยือนพร้อมกับฝูงชน ที่ค่อย ๆ เลือนหายไปตามถนนทางเดิน เพื่อกลับเข้าบ้านพักผ่อนเก็บเรี่ยวแรงในการทำงานวันพรุ่งนี้ จะมีสถานที่ไม่กี่แห่งที่ยังมีผู้คนเดินเพ่นพ่าน ส่วนใหญ่คงไม่พ้นสถานบันเทิง เสียงดนตรีดังระงมออกมาถึงด้านนอก
มันเสียงจนแม้แต่ หยางเสี่ยวฟง ที่กำลังเดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อยังได้ยิน เขาสั่นศีรษะน้อย ๆ และเดินเลี้ยวซ้ายตรงหัวมุมของร้าน บริเวณโดยรอบทั้งสองข้างทาง เริ่มไม่มีผู้คนเดินเพ่นพ่าน นอกจากเสาไฟที่ยังทำหน้าที่ให้แสงสว่างแก่คนที่ยังท่องราตรีอยู่ ผ่านไปได้สิบห้านาทีเขาก็มาถึงร้านอาหารแห่งหนึ่ง
ข้างในร้านส่องแสงสว่างท่ามกลางความเงียบสงบบริเวณโดยรอบ ทันใดนั้นเองหยางเสี่ยวฟงสัมผัสได้ถึงความเย็นเยือก ที่แผ่เข้ามาสัมผัสร่างกาย มันแทรกซึมเข้าผิวเนื้อไปจนถึงหลอดเลือด จนเขารู้สึกชาไปทั้งร่างกาย เด็กหนุ่มหันไปทางขวามือ ภาพที่เขาต้องเห็นคือหญิงสาวที่อายุประมาณยี่สิบปี เธออยู่ในสภาพมอมแมมดูไม่ได้
เสื้อผ้าที่หญิงสาวสวมใส่ก็ทั้งเก่าและขาดวิ่น ผมก็รกรุงรังราวกับเธอไม่เคยสระผมมาเป็นเวลานาน (หยางเสี่ยวฟงคิดว่าน่าจะไม่สระผมมาทศวรรษแล้วละมั่ง) อย่างไรก็ตามหญิงสาวคนนั้นก็ได้เดินหายเข้าไปในร้านอาหาร ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามและยังเป็นที่ที่หยางเสี่ยวฟง กำลังจะเดินเข้าไปเสียด้วย
เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ "มาทุกวันเลยสินะ" เขาพึมพำและเดินข้ามถนนมายังฝั่งร้านอาหาร หยางเสี่ยวฟงแหงนหน้ามองป้ายร้านอาหารตรงหน้า
.
ร้านอาหารอร่อยสามโลก
เรายินดีต้อนรับทุกท่าน
ทั้งยังมีลมหายใจและไร้ลมหายใจ
.
ร้านอาหารแห่งนี้ตามที่ผู้คนในย่านนี้เข้าใจ มันจะเปิดทำการในเวลาหลังเที่ยงคืน แต่ความเป็นจริงร้านมันเปิดนับตั้งแต่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วต่างหาก เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าที่กลายเป็นวิญญาณจนถึงเที่ยงคืน และหลังเที่ยงคืนก็จะบริการให้กับลูกค้าที่ยังเป็นคน
พอพระอาทิตย์โผล่พ้นขึ้นมาจากฟากฟ้า อันเป็นสัญญาณของเช้าวันใหม่ ร้านก็จะปิดให้บริการจนกว่าพระอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้าไป หยางเสี่ยวฟงรู้จักร้านนี้เมื่อสมัยเด็ก โดยคนที่พามาก็คือ คาร์เตอร์ นักรบผู้ครอบครองพลังยมทูตเหมือนกับเขา วัตถุประสงค์ของร้านนี้คือพยายามทำให้วิญญาณที่ยังคอยวนเวียนอยู่ ปลดปล่อยตนเองและเดินทางไปยังภพภูมิโลกหน้า มิฉะนั้นจะกลายเป็นวิญญาณร้ายในที่สุด
โดยหน้าที่ของผู้รับผิดชอบดูแลร้านอาหารแห่งนี้ ถูกมอบหมายให้กับ ตระกูลศรีสุขวงษ์ ลูกหลานของขุนนางชั้นสูงคนหนึ่ง ในตอนแรกอาหารในเมนูของพวกเขา มีเพียงอาหารสำหรับชาวตะวันออกเฉียงใต้ แต่กาลเวลาต่อมาพวกเขาก็เริ่มมีอาหารที่หลากหลายขึ้น เป็นเหตุให้ปัจจุบันมีวิญญาณมากมาย เข้ามาใช้บริการกันมากขึ้น
ผู้ที่ดูแลร้านอาหารแห่งนี้ในปัจจุบันคือ ชนกชนม์ ศรีสุขวงษ์ ซึ่งดูแลร้านนี้ในฐานะผู้จัดการรุ่นที่สามร้อยสามสิบหก เขากับลูกหลานรวมทั้งพนักงานที่เป็นวิญญาณ จะทำหน้าที่ทำอาหารมาเสิร์ฟให้กับลูกค้า นับว่าเติบโตรวดเร็วมากหาเทียบกับสมัยก่อน และแน่นอนว่าครอบครัวศรีสุขวงษ์ก็รู้จักหยางเสี่ยวฟง ในฐานะที่เขาเป็นผู้ถือครองพลังยมทูตเพชฌฆาต
"สวัสดีครับคุณฟง" พนักงานคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทาย "เถ้าแก่เตรียมที่นั่งไว้แล้วครับ"
"อืม" หยางเสี่ยวฟงรับคำและเดินทางพนักงานคนนั้น ไปยังชั้นสองซึ่งเป็นห้องอาหารที่เตรียมไว้สำหรับคนอย่างพวกเขาโดยเฉพาะ
ระหว่างที่กำลังจะเดินไปที่ชั้นสอง สายตาของหยางเสี่ยวฟงก็หันไปเห็น หญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่มุมซ้ายสุดของร้าน แม้จะเปลี่ยนไปแต่เจาก็จำได้ว่าเธอก็คือหญิงสาวที่เขาเจอก่อนหน้านี้ ความพิเศษของร้านนี้ก็คือ วิญญาณที่อยู่ด้านนอกแม้จะน่ากลัวแค่ไหนก็ตาม แต่เมื่อย่างเท้าเข้ามาในเขตร้านพวกเขาเหล่านั้น จะมีสภาพเหมือนคนปกติทุกอย่าง
หรือก็คือตัวตนของพวกเขาก่อนตายนั้นเอง หยางเสี่ยวฟงชำเหลืองดูหญิงสาว เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่เหมือนชุดนางรำ ใบหน้าเธอขาวนวลราวกับนางในวรรณกรรมย้อนยุคสักเรื่อง ใจของเด็กหนุ่มนึกสงสัยว่า สิ่งใดกันที่อำมหิตพรากลมหายใจสาวงามเยี่ยงนี้ได้ แถมอาหารบนโต๊ะเธอก็ไม่ค่อยแตะต้องมันเลย
"คุณฟงครับ เชิญทางนี้ครับ"
เสียงของพนักงานดึงสติของหยางเสี่ยวฟงกลับมา ทำให้เขาตัดสินใจเดินขึ้นไปข้างบน และปล่อยความสงสัยไว้เบื้องหลัง ห้องอาหารที่ทางร้านจัดเตรียมไว้จะมีโต๊ะตรงกลาง ที่สามารถนั่งกินได้มากกว่าหนึ่งคน เขาเดินมานั่งตรงเก้าอี้และจากนั้นพนักหน้างานร้านคนเดิม ก็ทำหน้าที่รับออเดอร์
"คุณฟงจะรับอาหารอะไรดีครับ" พนักงานถาม
"เหมือนเดิม" เขาตอบ
"ออ ข้าวมันไก่ต้มจานพิเศษขอหนังไก่เยอะ ๆ ไม่เอาแตงกวา ไม่เอาตับ ไม่เอาเครื่องในนะครับ" พนักงานทวนออเดอร์ "ส่วนเรื่องน้ำจิ่มตอนนี้น้ำปลาของร้านหมดนะครับคุณฟง ถ้าเปลี่ยนเป็นซีอิ้วขาวแทนได้ไหมครับ"
หยางเสี่ยวฟงตอบโดยไม่ต้องตรึงตรอง "ได้ แล้วเครื่องดื่ม ฉันขอโค้กนะ" พนักงานพยักหน้าและแจ้งเพิ่มเติมว่า ประมาณสามนาทีชนกชนม์ จะขึ้นมาพบเด็กหนุ่ม
นับตั้งแต่เขารู้จักกับร้านนี้มาก็มักมาใช้บริการอยู่เสมอ จนสนิทกับชนกชนม์ผู้เป็นเจ้าของร้าน บ่อเกิดกลายมาเป็นมิตรภาพต่างวัย ดังนั้นทุกครั้งที่หยางเสี่ยวฟงมาที่นี้ ชนกชนม์ก็มักจะขึ้นมาสนทนาด้วย เนื่องจากนาน ๆ ครั้งเขาถึงจะมา และก็ตรงตามที่พนักงานบอกไว้ไม่มีผิด ประตูห้องอาหารถูกเปิดออก เผยให้เห็นชายวัยกลางคนอายุสี่สิบถึงห้าสิบ
ชนกชนม์เป็นชายร่างสูงสันทัดกำยำ สวมชุดพ่อครัวที่มีรอยเปื้อนของซอสอาหารเล็กน้อย ผิวแขนทั้งสองมีรอยเเผลจาง ๆ อันเกิดจากน้ำมันกระเด็น ชนกชนม์เดินมานั่งตรงข้ามกับหยางเสี่ยวฟง ใบหน้าบ่งบอกว่ารู้สึกยินดีที่ได้เจอเขา ราวกับว่าเด็กหนุ่มคือสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว
"ไม่ได้เจอกันนานเลยนะฟง" ชนกชนม์เอ่ยทักทาย "สบายดีนะ"
"ผมสบายดีครับ" เขาตอบและหันไปมองรอบร้าน "ผมไม่ได้มาที่นี้นาน เปลี่ยนไปมากเลยครับ"
"โชคดีนะที่ลุงได้คนดี ๆ มาช่วย" ชนกชนม์พูด "ลูกค้าบางคนก็ไปสู่สุขคติได้เสียที"
แต่แล้วชนกชนม์ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ราวกับมีบางอย่างติดอยู่ในใจ และไม่สามารถระบายใฟ้ใครฟังได้ นาทีต่อมาไม่ต้องรอให้หยางเสี่ยวฟงเอ่ยปากถาม ชนกชนม์จึงเล่าให้ฟังว่าเมื่อสองปีก่อน มีลูกค้าวีไอพีหรือก็คือลูกค้าที่เป็นวิญญาณ เดินเข้ามาใช้บริการร้านเหมือนลูกค้าวีไอพีคนอื่น ๆ
แต่ที่ต่างออกไปคือเธอไม่ค่อยแตะอาหารเลย สาเหตุเป็นเพราะเธอต้องการให้ตัวเองได้รับความเป็นธรรมเสียก่อน ถึงจะยอมเเตะอาหารของร้านและยอมไปสู่สุขคติ หญิงสาวคนนี้มาจากต่างถิ่นมีชื่อว่า ส้มพุก อายุยี่สิบสองเป็นนักศึกษา และยังเป็นนางรำอันดับต้น ๆ ของมหาวิทยาลัย เนื่องเธอทั้งรำสวยและหน้าสวยราวกับหลุดมาจากวรรณคดี เป็นที่หมายปองของหนุ่ม ๆ มากมาย
และนำมาสู่ความอิจฉาริษยาในที่สุด ซึ่งรู้จักกับส้มพุกมานานแถมเป็นเพื่อนรักกันมาก แต่เมื่อโดนความอิจฉาริษยาครอบงำ เธอผู้นี้ก็ไม่สนใจต่อผลที่เธอกระทำแต่อย่างใด เพื่อนคนนี้ได้ส่งส้มพุกให้กับลูกชายคนมีอิทธิพล มันคนนั้นกระทำต่ำทรามกับส้มพุก ซ้ำร้ายยังพรากลมหายใจของเธอไปอีก ด้วยความที่เป็นลูกมีอิทธิพลจึงทำให้การสืบคดียังไม่คืบหน้า
ผู้ที่ยังยืนหยัดต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมก็คือมารดาของส้มพุก สิ่งเดียวที่ร้านอาหารของชนกชนม์จะทำได้คือ ยื้อเวลาไม่ให้เธอกลายสภาพเป็นวิญญาณร้าย ซึ่งก็ไม่อาจตอบได้ว่าจะยื้อได้นานแค่ไหน หยางเสี่ยวฟงที่นั่งฟังเรื่องราวได้สักพัก ก็เหมือนพึ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเขาเคยอ่านข่าวนี้มาก่อน ไม่นึกเลยว่าเธอจะมาไกลถึงเพียงนี้ เพื่อมาใช้บริการร้านอาหารแห่งนี้
ครู่ต่อมาอาจารของหยางเสี่ยวฟงก็ถูกเสิร์ฟมาถึงโต๊ะ ในระหว่างทางอาหารทั้งสองก็พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน จนกระทั่งสิบนาทีต่อมาพนักงานคนหนึ่ง เดินเข้ามาด้วยใบหน้าอึดอัดพอสมควร
"ไอ้เอี่ยม มึงมีอะไรหรือเปล่า" ชนกชนม์ถาม "ทำไมทำหน้าแบบนั้น ลูกค้าวีนใส่รึ"
พนักงานเจ้าของชื่อ เอี่ยม สั่นศีรษะและหันมาทางหยางเสี่ยวฟง "มีคนมาขอพบคุณฟงครับ" ประโยคทำให้สองเพื่อนต่างวัย พากันขมวดคิ้วโดยเฉพาะเด็กหนุ่มที่มั่นใจว่า ไม่ได้นัดใครมาร้านนี้เลย
"ใครกัน" หยางเสี่ยวฟงถาม "เขาได้บอกชื่อไหม"
"บอกครับ" เอี่ยมรีบตอบ "เห็นบอกว่าชื่อ เลียม ใส่แว่นดำสวมเสื้อฮู้ดมีหมวกสีแดงครับ" พนักงานหนุ่มอธิบายอย่างละเอียด
"เอ็งรู้จักไหม ฟง" ชนกชนม์หันมาถาม
หยางเสี่ยวฟงพยักหน้า
"ครับ รู้จักดีเลยล่ะ" เขาหันมาทางชนกชนม์ "ลุงแซน ผมขอคุยธุระส่วนตัวกับสหายคนนี้ของผมได้ไหมครับ"
ชนกชนม์เข้าใจและลุกขึ้นจากเก้าอี้ พร้อมกับสั่งเอี่ยมให้ไปตามแขกคนดังกล่าว แล้วจึงพากันเดินออกจากห้อง เวลาผ่านไปได้สิบห้านาทีหรืออาจเร็วกว่านั้น หยางเสี่ยวฟงได้ยินเสียงฝีเท้าเดินขึ้นบันไดมา และประตูก็เปิดออกเผยให้เห็นเด็กหนุ่มอายุรุ่นเดียวกับเขา อีกฝ่ายสวมแว่นตาดำและเสื้อฮู้ดสีแดงมีหมวก ตามที่เอี่ยมบอกไม่ผิด
และมันคือเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ เลียม นักรบผู้ได้รับประทานพรจากเทพแห่งกลุ่มดาวผู้พิษากษา หน้าที่ของเลียมที่นอกจากต้องรับใช้บ้านเมือง ยังต้องปฏิบัติหน้าที่อีกอย่าง นั้นคือการพิพากษาลงโทษเหล่าคนชั่ว ให้พวกมันได้รับผลกรรมที่กระทำไว้ เหยื่อส่วนใหญ่ที่เลียมตามล่า คือฆาตกรโรคจิตไซโคพาธเป็นหลัก
น่าแปลกดีที่ "นักล่า" อย่างเขาสองคนจะมาร่วมโต๊ะกินอาหารแบบนี้ แต่ที่แปลกและน่าสงสัยในเวลาเดียวกัน ทำไมเลียมถึงอยากมาขอพบกับเขา เวลาผ่านไปเนิ่นนานอยู่เหมือนกัน สุดท้ายเมื่อต่างคนต่างจัดการอาหารบนจานแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะเข้าสู่สนทนากิจธุระเสียที
"เลียม มึงมีธุระอะไรจะคุยกับกูรึ" หยางเสี่ยวฟงเอ่ยถาม "คงไม่ได้เกี่ยวกับแม่หญิงชื่อส้มพุกหรอกนะ"
เลียมยังเงียบไม่พูดอะไรจนเขาดื่มน้ำอัดลมไปหนึ่งอึก "มีอยู่นิดหน่อย แต่เรื่องที่กูมาหามึงจริง ๆ คือเรื่องเกี่ยวกับจอมมารที่ชื่อ ลินธอร์น ต่างหาก"
คิ้วของหยางเสี่ยวฟงขมวดชิดติดกันยิ่งกว่าเดิม
"ไอ้ห่านั้นมันตายไปแล้วนี่" เขาว่า
"เออ แต่เมล็ดพันธุ์มันยังอยู่นี่สิ" เลียมพูด "แถมยังมีเป็นร้อย ถ้าเปิดธุรกิจฟาร์มปศุสัตว์คงเจริญรุ่งเรืองเป็นกอบเป็นกำ"
"แล้วมึงรู้เรื่องนี้ได้ยังไง แหล่งข่าวน่าเชื่อถือแค่ไหน" หยางเสี่ยวฟงถามต่อ
"น่าเชื่อถือแน่เพราะมาจากพี่น้องนักรบของพวกเขา คงคาวินกับแม็คเครย์ มันยืนยันกับกูว่าไอ้จอมมารลินธอร์น มันวางไข่เมล็ดพันธุ์ไว้" เลียมอธิบายต่อ "กูเลยไปสืบมาเพิ่มเติม เลยได้ข้อมูลที่โคตรน่าสนใจเข้าน่ะ"
"ข้อมูลอะไรว่ามา กูฟังอยู่" หยางเสี่ยวฟงพูด
"มึงต้องชอบแน่รับรอง" เลียมพูดอย่างมั่นใจ
แต่หยางเสี่ยวฟงกลับรู้สึกหมั่นไส้ ซึ่งเลียมไม่มีท่าทางจะสนใจอยู่แล้ว
"กูไปตามสืบคนที่ทำเลวทรามกับส้มพุกมาแล้ว มันมีเชื้อสายของลินธอร์น ผู้ให้กำเนิดไอ้หมอนี้เป็นผู้ชายจากเผ่าโอเมก้า ที่แม่งก็โรคจิตเป็นไซโคพาธ มันให้กำเนิดปีศาจในคราบมนุษย์มาถึงสองคน"
"ลูกของลินธอร์นหมดเลยหรือ" หยางเสี่ยวฟงถามต่อ
"ใช่ และมีคนหนึ่งมีเลือดมารเข้มข้นกว่าคนอื่น ๆ แต่เป็นใบ้ลินธอร์นจึงมองว่า "ไร้คุณสมบัติ" แล้วก็ทิ้งไว้กับผู้ให้กำเนิดที่เป็นไซโคพาธ"
เลียมมองหน้าหยางเสี่ยวฟง
"มึงก็ลองคิดเอาเองว่า มันบันเทิงฉิบหายขนาดไหน ไอ้ลูกสวะนั้นมันชอบแต่งกายเป็นตัวตลก ไล่ฆ่าผู้บริสุทธ์ไปมากมายและเพราะมันมีเลือดของพ่อ มันเลยฆ่าไม่ตาย"
หยางเสี่ยวฟงเริ่มจะเข้าใจบางอย่างแล้ว เลียมกำลังต้องการให้เขาตามล่า เลือดเนื้อเชื้อไขของจอมมารลินธอร์น
"ไอ้ตัวตลกที่มึงพูดมา กูจะล่ามันเองไม่ต้องห่วงเพราะมันคือหน้าที่ของกู" หยางเสี่ยวฟงพูดขึ้น
"ดีเลย ! งั้นกูจะไปล่าน้องชายของมันกับโอเมก้าคนนั้น" เลียมพูดและทำท่าจะลุกเดินออกจากห้องอาหาร
"เดี๋ยวก่อนเลียม กูมีข้อสงสัยวะ"
เลียมหันมามองคู่สนทนา
"เรื่องอะไรล่ะ"
"มึงจะพิพากษาสองคนนั้นยังไง"
เกิดความเงียบปกคลุมชั่วครู่แต่สุดท้าย เลียมก็ไม่ได้ให้คำตอบใด ๆ นอกจากเดินออกจากร้านอาหารไป เหลือแค่หยางเสี่ยวฟงนั่งอยู่คนเดียวตามลำพัง เขาไม่รู้เลยว่าเวลามันผ่านไปนานแค่ไหน เพราะรู้อีกทีมันก็ใกล้จะเลยเวลาเที่ยงคืนแล้ว มันเป็นเวลาที่เหล่าลูกค้าวีไอพีจะต้องออกจากร้าน และรอเวลาให้ร้านเปิดให้บริการอีกครั้ง
หยางเสี่ยวฟงตัดสินใจเดินลงมาด้านล่าง เพื่อจะชำระค่าอาหาร แต่สายตาของเขาก็ไม่สามารถละจากส้มพุก ที่ยังนั่งเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง อาหารยังคงเหมือนเดิมไม่มีการแตะต้องใด ๆ มันอยู่แบบไหนก็อยู่เเบบเดิม หญิงสาวยังคงรอความยุติธรรมที่ไม่รู้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่
ทั้งที่ความจริงเด็กหนุ่มจะเข้าไปบอกเธอก็ได้ว่า อีกไม่นานความยุติธรรมที่เฝ้ารอจะเกิดผลแล้ว แต่หยางเสี่ยวฟงคิดว่าไม่พูดอาจจะส่งผลดีกว่าก็ได้ สักพักส้มพุกก็ลุกขึ้นจากโต๊ะและเดินออกจากประตู และหายไปต่อหน้าต่อตาเขาคาดว่าคงรอเวลาร้านเปิดใหม่
ชนกชนม์เดินออกจากห้องครัวมาสมกับหยางเสี่ยวฟง "เลียมพึ่งออกไปเมื่อกี้นี่เอง ดูหน้าเอ็งแล้วมีงานเข้ามาละสิท่า"
"ครับ คงไม่ได้มากินพักใหญ่ ๆ เลย"
"ไม่เป็นไรหรอก ขอให้โชคดีนะเจ้าฟง"
เด็กหนุ่มโค้งหัวให้ความเคารพต่อญาติผู้ใหญ่ และเดินออกมาจากร้านเห็นผู้คนมากมาย เริ่มเดินออกมาจากบ้าน เพื่อแวะเข้ามากินอาหารก่อนจะไปทำงานสมแล้วที่เป็นร้านอาหารอยู่กึ่งกลางระหว่างคนเป็นและวิญญาณ
ดั่งป้ายเขียนไว้ว่า
.
ร้านอาหารอร่อยสามโลก
ยินดีต้อนรับ
.
จบบริบูรณ์
👨‍🍳👨‍🍳👨‍🍳👨‍🍳
โฆษณา