6 พ.ย. เวลา 12:48 • ศิลปะ & ออกแบบ

เพลินตาเพลินใจกับสมบัติผู้วางวาย ชาวอิทรัสกัน

คราวนี้จะแนะนำให้รู้จักชนชาติที่สร้างอารยธรรมมาก่อนหน้าโรมัน โดยพาพวกท่านมุดเข้าไปในสุสาน เพลินเพลินไปกับโลงศพน่ารักๆ พร้อมกันสมบัติสารพัดประดามีของชาวอิทรัสกัน
อารยธรรมอิทรัสกัน (Etruscan) เป็นอะไรที่น่าสนใจ เพราะคนส่วนใหญ่ไม่รู้จักกัน ทั้งที่จริงแล้วงานช่างอิทรัสกันมีอยู่ในพิพิธภัณฑ์ยุโรปหลายประเทศ นี่คืออารยธรรมโบราณที่มีการเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปในพื้นที่ของประเทศอิตาลีนี้ มีความเก่าแก่ก่อนยุคโรมันเสียอีก
ชาวอิทรัสกันมาจากไหนยังไม่แน่ชัดครับ แต่พวกเขาได้ก็ตั้งอาณาจักรอยู่ตรงที่เป็นประเทศอิตาลีตอนนี้ สะสมอารยธรรมมาหลายยุค โดยได้รับอิทธิพลกรีกมาอย่างสูง มิน่าละเวลาดูผลงานของพวกนี้บางชิ้นก็ดูเป็นเหมือนของกรีกมาก แม้ว่าจะฝีมือบ้านๆแต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างเชื่อมต่อกัน
เรื่องราวของชาวอิทรัสกันยังคงมีความลึกลับอยู่มากเนื่องจากไม่มีการเขียนประวัติศาสตร์และวรรณกรรมของตนเอง เลยต้องใช้บันทึกของชาติอื่นๆ และใช้งานศิลปะในการทำความรู้จักพวกเขา โดยขุมทรัพย์ชั้นดีของชาวนี้ก็คือหลุมฝังศพนี่เอง ช่วยให้เรารู้จักพวกเขามากเลยทีเดียว เพราะชาวอิทรัสกันจะเอาข้าวของเครื่องใช้ต่างๆฝังลงไปให้คนตายได้ใช้ไปโลกหน้า เป็นการบอกว่าคนที่ยังมีชีวิตเขาอยู่กันยังไงนี่เอง ผนังหลุมศพบางหลุมก็มีจิตรกรรมฝาผนังงามๆอยู่หลายชิ้น
https://en.m.wikipedia.org/
ภาพนักดนตรี https://www.worldhistory.org/
ภาพการต่อสู่ https://www.worldhistory.org/
สิ่งน่าสนใจมากที่สุดที่พิพิธภัณฑ์ไหนได้มาก็แสนจะภูมิใจ และที่วาติกันก็มีหลายชิ้นซะด้วย สิ่งนั้นก็คือ โลงศพ
ต้องขอบอกซะหน่อยว่างานช่างพวกนี้ทำจากดินเผามากกว่าจะแกะจากหินอ่อนแบบที่โรมันชอบทำ หลายชิ้นก็งามนักแต่หลายชิ้นดูแล้วเหมือนชาวบ้านทำกันเองในครัวเรือนซึ่งก็น่ารักดี จุดเด่นอยู่ตรงฝาโลงด้านบนมักทำเป็นรูปบุคคลสวยบ้างเศร้าบ้างน่ารักน่าชังบ้างก็แล้วแต่ ลองดูตัวอย่างบางชิ้นดังนี้
โลงแรก ชายคนหนึ่งนอนเอนกายสบายใจในมือถือจอกเหล้า แสดงให้เห็นว่าคนทำอยากให้เจ้าของโลงยังมีชีวิตนั่งกินนอนกิน มีการเลี้ยงฉลองตลอดเวลาหลังจากจบชีวิตลง
https://www.museivaticani.va/
อันนี้ทำมาจากดินเผา นอนหงายร่างถือพวงหรีดอยู่ดูชวนเศร้าใจ
https://www.museivaticani.va/
https://www.museivaticani.va/
ส่วนใบนี้ ความงามโดดเด่นอยู่มีภาพสลักด้านข้างที่เป็นรูปขบวนแห่ มีนักดินตรีเล่นขลุ่ยและพิณ นักเต้นรำ นักบวช และภาพผู้ตายบนรถม้า มีภรรยายืนอยู่ข้างหน้า
ส่วนฝาโลงเป็นชายที่สวมชุดเต็มยศมีทั้งเสื้อคลุมและมงกุฎมวนอยู่และจอก Patera สำหรับดื่มสุราวางบนลำตัว ขอให้มึนเมาสมใจในสวรรค์นะ
1
https://www.museivaticani.va/
และนี่คืองานชิ้นสำคัญมาก เป็นเกียรติต่อพิพิธภัณฑ์วาติกันยิ่งนัก นี่คือเทพอะโดนิส (Adonis) ที่กำลังจะตาย
แต่ก่อนจะถึงอะโดนิส จะขอเท้าความไปไกลก่อน กล่าวถึงนางไมยรา (Myrrha) ซึ่งคุณแม่ของเธอโดนนางวีนัสขี้อิจฉาหลอกให้มีการสัมพันธ์กับผู้น้องร่วมสายเลือด พอคุณพ่อของเธอคือเทพเธอีส (Theis) รู้เข้าก็โกรธไล่ฆ่าจะยิงธนูใส่ วีนัสก็เลยซ้ำโดยสาบให้นางไมยราที่กำลังวิ่งหนีอยู่กลายเป็นต้นไมยา (ต้น myrrh เป็นไม้พุ่มแบบหน้าโลง) พอเป็นดังนั้น คุณพ่อเธอีสก็เลยวิ่งตามทันแล้วยิงธนูเข้าใส่ ยางไม้ก็เลยไหลออกมาเกิดเป็นหนูน้อยอโดนิส ขึ้นมา
แล้วสิ่งร้ายๆทั้งหลายก็เกิดขึ้นกับอโดนิสครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งเป็นเพราะคุณสมบัติเด่นของเขาคือความหล่อนั่นเอง ความหล่อของอิทรัสกันทำให้ผู้หญิงทั้งหลายอิจฉาตบดียื้อแย่งกันจนเป็นตำนานได้อีกเล่มนึงเลยนะ (อยากฟังไหม เดี๋ยวเล่า)
แต่นางตัวร้ายคนเดิมคือวีนัส ก็อยากจะกินอโดนิสอีก เลยเข้ามายั่วยวนจนอโดนิสแล้วเสร็จกลายเป็นของนาง
ภาพวาดบนแจกันด้านซ้ายคือวีนัส ขวาคือคนรับใช้  https://en.wikipedia.org/wiki/Adonis
แต่นางก็ไม่กล้าจะเก็บไว้เพราะเธอมีสามีแล้ว ซึ่งก็คือเทพเจ้ามาร์ผู้ดุดันมาก ก็เลยแอบอิทรัสกันซ่อนไว้ โดยฝากไว้กับแม่นางเพอร์ซีโฟนี่ (Persephone) ซึ่งแบบนี้ก็คือการฝากปลาย่างไว้กับแมวนะสิเพคะ
ผลที่เกิดก็คือเพอร์ซิโฟนี่ ก็จับอิทรัสกันไว้เป็นของตัวเองไม่ยอมคืนให้วีนัส จนวีนัสต้องวิ่งไปให้เทพซีอุสมาช่วยตัดสิน ซึ่งซีอุสก็ใช้วิธีแบ่งอิทรัสกันให้กับนางทั้งสองคนแหละ แต่เอาไปคนละครึ่ง กล่าวคือให้อิทรัสกันไปอยู่กับเพอร์ซิโฟนี่ 4 เดือน ไปอยู่กับวีนัส 4 เดือน และอีก 4 เดือนก็อยู่ตามลำพัง แต่จริงๆนางวีนัสก็แอบโกงโดยแอบไปอยู่กับอิทรัสกันในช่วงเวลาที่ไม่ใช่ของเธออีก
คราวนี้สามีของวีนัส พอรู้ข่าวก็เลยแปลงร่างเป็นหมูป่าเข้าไปขวิดอโดนิส และขณะที่เขากำลังจากตายก็ส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดให้วีนัสได้ยิน เธอเลยวิ่งเข้ามากอดร่างหนุ่มน้อยจนขาดใจตายในอ้อมกอด
The Death of Adonis  by Giuseppe https://en.wikipedia.org/wiki/Adonis
เฮ้อ เล่ามาถึงตอนนี้ก็เหนื่อยแล้ว คิดว่าเรื่องจะจบลงแล้วแต่ก็ยังไม่จบ
วีนัสไม่ยอมให้อิทรัสกันตายก็เลยโรยผงวิเศษลงทำให้หยดเลือดของอิทรัสกันกลายมาเป็นต้น Anemone สีแดง ส่วนเลือดที่ยังเหลืออยู่ก็ไหลไปยังแม่น้ำ Adonis ซึ่งตอนนี้อยู่ในประเทศเลบานอน (มีนามใหม่ว่าแม่น้ำ Nahr Zbrahly)
แต่แล้วอโดนิสก็ตาย
เรื่องยังไม่จบ เพราะเมื่ออโดนิสตายไปวิญญาณก็เลยต้องไปอยู่ในยมโลก ซึ่งแม่นางเพอร์ซีโฟนี่เป็นเทพีอยู่ที่นั่น วีนัสก็เลยต้องไปอ้อนวอนแม่นางอีก สุดท้ายก็ยอมตกลงกัน โดยแบ่งให้อโดนิสไปอยู่กับนาง 6 เดือนในโลกมนุษย์แล้วลงไปอยู่กับนางเพอร์ซีโฟนี่อีก 6 เดือน ดังนั้นในช่วง 6 เดือนแรกแม่น้ำแห่งนี้จะมีสีแดงและดอก Anemone สีแดงก็จะเบ่งบานในบริเวณเดียวกันด้วย ใครที่อยากไปชื่นชมกับตำนานแห่งเทพก็ไปเที่ยวเลบานอนได้ โชคดีอาจได้พบเจออโดนิส แต่ก็อย่าไปหลงรักเขาละ เดี๋ยวจะเกิดตำนานใหม่ให้เล่าอีกไม่จบสิ้น
ลืมไปเลยว่าเรากำลังเขียนถึงประติมากรรมฝีมืออิทรัสกัน รูปพ่อหนุ่มนอนตายคนนี้จริงๆก็ไม่มีป้ายบอกหรอกว่าเป็นอโดนิส แต่พวกนักประวัติศาสตร์ศิลปะเข้าไปพิสูจน์แล้วคิดว่าคงเป็นเช่นนั้น โดยอาจถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ในงานศพและประติมากรรมดินเผานี้ก็ถูกทำขึ้นในเวลานั้น โลงอิทรัสกันใบนี้มีชื่อเสียงมาก เพราะแสดงคนตายได้อย่างแบบเหมือนผู้ตายกำลังจะกลายเป็นวิญญาณออกจากร่างจริงๆ ใครที่ได้ไปวาติกันก็อย่าลืมมาคารวะ
ชิ้นต่อไป ไม่ได้อยู่ในพิพิธภัณฑ์วาติกันหรอกนะ แต่ก็ต้องเอามาให้ดู เพราะเป็นโลงที่สวยและมีชื่อเสียงที่สุด ไม่ได้ดูนี่เสียดายแย่เลย โลงนี้มีชื่อว่า Sarcophagus of the Spouses เก็บไว้ที่ National Etruscan Museum กรุงโรม ถ้ามีโอกาสลองไปแวะเยี่ยมชม คนที่ชอบสมบัติอิทรัสกันน่าจะสะใจ
1
https://en.wikipedia.org/
ที่อยู่แห่งสุดท้ายของผู้วายชนม์คนนี้ แสดงถึงความคำนึงหลงไหลในคนรัก ซึ่งก็คงจะได้อยู่ด้วยกันชั่วนิรันดร์ไปแล้ว ที่ใดที่หนึ่งหรืออาจเป็นที่นี่ก็ได้ อ้อ ไม่ได้มีใบเดียวนะ ที่ลุฟวร์ก็มี อาจเป็นงานที่นิยมทำกันในสมัยหนึ่ง
ดูโลงศพมาเยอะแล้ว ตามมาดูงานอีกประเภทดีกว่า นั่นก็คือแจกันที่มีรูปภาพอยู่ เห็นแล้วก็คิดเลยว่านี้มันแจกันกรีกชัดๆ ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นแหละ เพราะอิทรัสกันได้รับอิทธิพลทั้งเรื่องเทพเจ้าและงานช่างมาจากกรีก แจกันพวกนี้บางใบก็แยกไม่ออกว่าของใคร อย่างเช่นชิ้นงามๆในวาติกันก็มีรูปนักรบเล่นหมากรุก
อีกใบเป็นรูปเทพเจ้าอคลี่ลิส (Acilleus) เทพสงครามในตำนานสงครามเมืองทรอย ไว้มีโอกาสจะให้รู้จักกันไว้
อีกอันเป็นแบบจำลอง บ้านเรือนของอิทรัสกัน จะเห็นได้ว่าดูเป็นกระท่อมกระจอกหลังหนึ่ง แต่ว่าบ้านของเขาก็มีหลายแบบและในสมัยหลังๆพอเขามีเทคโนโลยีและเศรษฐกิจดีขึ้นบ้านแบบคนรวยๆก็มีตามมา
กล่องเก็บอัฐิ รูปกระท่อม https://www.museivaticani.va/
ประติมากรรมชื่อ Mars of Tooh ซึ่งยิ่งใหญ่มีชื่อเสียงมากเพราะทำจากสำริดที่มีค่า แถมมีขนาดเท่าคนคนจริงอีก คาดว่าคงใช้สำหรับพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์บางอย่าง ลักษณะแต่งกายก็จะดูคล้ายๆกรีก แต่หมวกโลหะของเขาหายไปเหลือแต่ใบหน้า ซึ่งแลดูมีชีวิตและความรู้สึกมาก คาดว่ามือซ้ายเดิมคงถือหอก ส่วนมือขวาถือจอก petera สำหรับดื่มสุราตอนก่อนออกรบเพื่ออ้อนวอนเทพเจ้า
https://www.museivaticani.va/
อารยธรรมของ อิทรัสกัน เกิดขึ้นประมาณ 900 ปีก่อนคริสตกาลแสดงว่าคงได้รับอิทธิพลจากกรีกอยู่มาก นอกจากนั้นก็มีอิทธิพลอียิปต์ หลังจากนั้นก็สิ้นสุดลงจากการยึดครองของพวกโรมันในสงครามปลายศตวรรษ 3 ก่อนปี ค.ศ. แต่อารยธรรมของเขาก็ถูกสืบทอดมายังโรมันหลายด้านต่อมา เนื่องจากชาวอิทรัสกัน ได้เข้าไปเป็นชนชั้นสูงพวกปุโรหิตในกรุงโรมซึ่งยังคงเป็นผู้ให้คำปรึกษากษัตริย์ในเรื่องต่างๆ อยู่
เราพอจะรู้จักพวกเขามากขึ้นแล้วนะครับ ต่อไปเมื่อได้ไปถึง Sector ของอิทรัสกันซึ่งอาจจะมีอยู่ในพิพิธภัณฑ์อื่นก็น่าจะพอเข้าใจ ถ้าเจอโลงดินเผา ประติมากรรมดินเผาใบบางสวย แจกันประติมากรรมก็หน้าตาคล้ายกรีก ก็อาจจะพอนึกออกว่านี้คือชาวอิทรัสกันผู้ซึ่งมาถึงอิตาลีก่อนชาวโรมัน และรุ่งเรืองมีอารยธรรมรุ่งเรืองมาก่อนหน้านี้นานแล้ว

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา