11 พ.ย. เวลา 11:48 • ปรัชญา
เรื่องการประพฤติปฏิบัติธรรม ควรเข้าใจ ว่า รอยสี่อย่าง ที่เราใช้กิริยา ยืน เดิน นั่งนอน ไปสร้างกรรม เช่น ยืนด่าเค้า ตีเค้า นั่งทำนั่นนี่ นั่งบ่น นั่งคิดนั่น คิดนี่ เดินก็ เดินไปหา กบหาปลา มาทุบมาแกง นอน..ก็นอนป่วย ..รอเมื่อไหร่ ..ใครจะช่วย จิตมันทุรนทุราย นอนรอความตาย....มันอยู่กับกรรมทั้งนั้น เป็นอารมณ์กรรม..ไปเสียทั้งหมด
คราวนี้ เราก็ทำความเข้าใจ ว่า กิริยา รอยทั้งสี่ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็บอกว่า ยืน เดิน นั่ง นอน ไม่ต้องไปนึกคิดอะไร ยังไม่ต้องไปพิจารณาอะไรเลย ..ปล่อยวางทั้งหมด เรื่องราวอารมณ์นึกคิด หยุดมันซะ เมื่อจะมากระทำในรอยทั้งสี่ .
เมื่อจะนำกายมากระทำ ก็ให้ระลึกพระคุณพ่อแม่ ที่ให้กายนี้มา จิตเรานั้นมันเป็นนามธรรม อาศัยอยู่ในกายของตุณบิดามารดา เวลาจะมาประพฤติปฏิบัติธรรม ในรอยทั้งสี่ ก็ต้องนอบน้อม นำกายพ่อแม่ มานอบน้อมกราบพระ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอัครสาวก (พระอรหันต์ อย่าไปนึกถึง เกจิอาจารย์ ท่องบ่นคาถาเครื่องรางของขลัง น้อมจ้ตไปหาพระ เอากายพ่อแม่ที่จิตเราอาศัยอยู่ มานอบน้อม ..พูด คำที่ดีๆ ให้หูเราได้ยิน ว่า เราจะใช้กายนี้มาทำอะไร . จิตของเรามัน ต้องบอกหู บอกให้ได้ยิน เพื่อส่งไปให้จิตที่อาศัยในกาย
เรามักได้ยินเสียงของคนอื่น แต่ไม่ค่อยพูดบอกให้วิญญาณหูเราได้ยินเสียงของตัวเอง ว่าจะใช้กายนี้ทำอะไร เราสักได้ยินเสียงของคนนั่นคนนี้บอกให้เราใช้กายทำอะไร . เมื่อเรานำกาย มานั่งหน้า พระ นั่งในอาสนะนี้ ..ไม่นึกคิกอะไรเลย มีแต่ภาวนา พุทโธขึ้นมา อารมณ์มันวุ่นวาย ก็พูดใหีหูเราได้ยิน ..ให้ปากเราพูดว่า พุทโธ ..
..เราไม่ได้ใช้วาจาไปติเตียน ด่าว่า โมโหโกรธ ใคร ไม่อิจฉาใคร ..ปากเราก็พูดไป คำสวดมนต์ ก็เป็นคำสูงๆ ทั้งนั้น เราก็เลือกเอา ..เอามาสวด ไม่ต้องไปวิตกกังวล คำแปล อยากรู้ว่า ว่าๆหมายถึงอะไร เอาไว้ เวลาอื่น เวลานี้ เราสวดมนต์ ให้จิตมาอยู่กับคำสวด.. ไม่มีอารมณ์ มาวุ่นวาย อารมณ์ที่ค้างคา ตัดมันให้หมด
หากเริ่มต้น ปฏิบัติ เราควร .เริ่มด้วยการเดินจงกรมทำทาง เป็นเส้นตรงแล้วก็ก้าวเหยียบไปบนเส้นนั้น เป็นเส้นสมมุติ ..ให้จิตเรา อาศัยกายพ่อแม่ มาเดินอยู่ในรอยของพระ เดินก็ดูที่ลมหาบใขเข้าออก ภาวนาพุทโธ อารมณ์มันกวน ก็พูดคำว่า พุทโธ เร็วๆ ..ทำอย่างนี้ไปก่อน เพื่อให้สติของจิต มันเกิดขึ้นมา แล้วเวลาทำ ก็ต้องมีสัจจะ กำหนดเวลาขึ้นมา ..ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราก็จะไม่ ออกจากจงกรม ทำไปจนครบกำหนดเวลาที่เราตั้งใจทำ
ครบกำหนดเวลา เราก็กราบรอยของพระ ฝากการกระทำนี้ไว้กับดินฟ้าอากาศ ที่บันทึกเรื่องราวการกระทพของเราเอง เรื่องรอยทั้งสี่นี้ หากเราทำน่ะ อย่าไปทำเล่นๆ ..เราจะไม่ได้อะไรเลย ..ธรรมนั้น ท่านบอกว่า ต้องการคนจริง ทำมันจริง ตามรอยของพระไป ท่านทำอย่างไร เราก็ฝึกหัดทำไป ท่านบอกนั่งกายนิ่ง จิตนิ่ง นั่งเป็นตุ๊กตา หากเราทำได้ ก็มีเรื่องราวให้เราได่เรียนรู้มากมาย ..ก่ายกอง เราทำไปถึงจุดนั้นได้ เราจะอัศจรรย์ใจ ในเรื่องธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ต้องรีบร้อน
เราฝึกหัดตัวเราเอง ค่อยๆฝึกหัด ..มันมีอุปสรรคมากมาย..ค่อยหัดทำ ..เวลาหมุนตัวเดินจงกรมเราหมุนซ้าย ทวนเข็มนาฬิกา .ไม่เดินตามคนเป็น เดินเหมือนคนที่ตายไป จะขึ้นเมรุ ไปเลย ไปคนเดียว ไม่มีใครตามไปด้วย
เรื่องกายทำบุญ เราก็ฝึกหัดขิงเราได้ ใช้ตัวค์บาทเดียวพอ ทำหน้าพระ .กรวดน้ำ อุทิศกุศล ขิงนำธาตุนะโม มาดระจายบุญกุศล ..เป็นคำที่สูงๆ ที่เราได่กายนี้มา
หากเราเริ่มต้น ตั้งแต่อายุยังน้อย ..ร่างกายแข็งแรง เราก็ใช้กายนี้ มาฝึกหัดได้เต็มกำลัง ในช่วงที่ร่างกายแข็งแรง พออายุมากขึ้น ..มันมีเหตุมากมายที่จะอ้างว่า ..ไม่มีเวลา ที่จะกระทำ ..มาเดินในรอยทั้งสี่นี้ ..รเยที่จะทำให้รู้จักทุกข์ อล้วมีสติปัญญา หมั่นเพียร ที่จะหนีทุกข์ แล้วเราก็จะรู้จักว่า กายกรรม กายบุญ นั่งแตกต่างกันอย่างไร
นั่นคือ เรื่องที่เราต้องสร้างบุญกุศลไปด้วย ให้บุญนั้นมาหนุนนำกาย และจิต ..เพื่อผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ แล้วก็ควรศึกษาดูรอยพระเวสสันดร พระสิทธัตถะ .คัดกรองเอาเหตุผล ..เพื่อที่เราจะได้ทำตามรอยของท่าน
เรื่องที่เค้าว่าวิปัสสนา อย่าเพิ่งไปทำเลย เพราะเรายังไม่รู้จักจิตของตัวเอง บางทีพระท่านบอกว่า จิตยังไม่แข็งต่ออารมณ์เลย ยังไม่จักจิตนิ่งเลย ก็ด่วนรีบร้อน ไปเรียดร้องอารมณ์มาคิดนั้นคืดนี่ มันเป็นอารมณ์ไปเสียทั้งหมด ต้องทำให้จิตเป็นจิตเสียก่อน เป็นจิตดวงเดียว .
เรื่องรอนยทั้งสี่นี้ เมื่อเราเป็นลูก เราอธิษฐาน นำกายพ่อแม่มากระทำ ..พ่อแม่ก็จะมีร่างกายแข็งแรงตามไปด้วย อารมณ์ก็ดีขึ้น ไม่หงุดหงิดง่าย ยิ่งเวลาพ่อแม่ เจ็บป่วย เราอธิษฐาน นำกายพ่อแม่มาเดินจงกรม ขอรับเวทนาพ่อแม่ที่เจ็บป่วย เราก็ทำ มีน้องที่พ่อเค้าจะล้างไต ..ก็กลับคืนมาไม่ต้องล้างไต หน้าตาเปลยีนไปมาก เห็นแล้วว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ ..แต่นั่นก็เป็นเรืรเงของการเรียนรู้ .. มันต้องฝึกหัดทำเอง
โฆษณา