26 พ.ย. 2024 เวลา 13:16 • ปรัชญา

หากคุณมีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนชีวิตใครสักคน คุณจะเลือกทำอย่างไร?

เด็กน้อยโตเข้าหาแสง
เมื่อปลายเดือนกันยายน 2558 ก่อนจะเดินทางไปยัง บ้านกาญจนาภิเษก ฉันมีโอกาสได้ไปร่วมสัมมนาที่ เดอะ รอยัล เจมส์ กอล์ฟ รีสอร์ท โรงแรมระดับสามดาวที่ตั้งอยู่ในเมือง... หากมองด้วยสายตาภายนอก สภาพของโรงแรมในปัจจุบันอาจไม่เหมือนในวันรุ่งโรจน์เมื่อหลายปีก่อน ที่นี่เคยได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่เมื่อสองสามปีก่อนจนท่วมมิดหลังคา ร่องรอยของความเสียหายยังคงปรากฏอยู่ ไม่ว่าจะเป็นพื้นกระเบื้องที่หลุดล่อนหรือซอกมุมของตัวอาคารที่ดูซีดจาง
แต่ถึงอย่างนั้น ที่นี่ก็ยังคงงดงามในแบบของมัน ฉันเปิดหน้าต่างออกจากห้องพัก สายตาสัมผัสกับลำธารสายเล็กที่คดเคี้ยวอยู่เบื้องล่าง ลำธารที่ฉันตั้งชื่อในใจว่า "ธารธารา" ด้วยความรู้สึกอ่อนโยนเหมือนกับชื่อ มันพาฉันเดินผ่านสะพานไม้เล็ก ๆ เพื่อข้ามไปยังห้องสัมมนา เสียงน้ำไหลคลอไปกับสายลมที่พัดผ่าน ทำให้การเดินทางในเช้าวันนั้นมีความหมายยิ่งขึ้น
รอบ ๆ รีสอร์ทยังคงมีพื้นที่ธรรมชาติอันเขียวขจี บวกกับสระว่ายน้ำที่ถึงแม้จะดูเก่าลงไปตามกาลเวลา แต่ก็ยังสะท้อนเงาท้องฟ้าใส และทำให้ที่นี่ดูเหมือนสถานที่หลบซ่อนตัวจากโลกภายนอก ฉันสูดลมหายใจลึก รับกลิ่นอายของธรรมชาติและความสงบก่อนเริ่มต้นวันสัมมนา
วันแรก ฉันได้พบกับ ดร.ดล บุนนาค ผู้พิพากษาที่ฉันแอบติดตามผลงานมานาน เขาเป็นบุคคลที่ฉันเคยได้ยินถึงความตั้งใจในการนำกฎหมายมาใช้ในเชิงสร้างสรรค์ และเมื่อได้ฟังเขาพูดตรงหน้า ฉันยิ่งทึ่งในมุมมองของเขา
ดร.ดลเล่าเรื่องการใช้กฎหมายเพื่อ "แก้ไข" มากกว่า "ลงโทษ" ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและแฝงด้วยความเมตตา เขาเน้นย้ำว่ากฎหมายไม่ใช่แค่เครื่องมือสำหรับการตัดสินความถูกผิด แต่เป็นสะพานที่ช่วยพาคนหลงทางกลับมายังเส้นทางที่ถูกต้อง ฉันนั่งฟังคำพูดของเขาอย่างตั้งใจ ราวกับว่าเขากำลังสะท้อนความคิดบางอย่างในใจฉันออกมา
ช่วงพักเบรก ฉันมีโอกาสได้พูดคุยกับเขาสั้น ๆ แม้จะเป็นการสนทนาธรรมดาเกี่ยวกับเรื่องงานและประสบการณ์ในวงการ แต่ความอบอุ่นและความจริงใจในคำพูดของเขาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกำลังพูดคุยกับครูคนหนึ่งที่กำลังชี้แนะทางให้ลูกศิษย์
หลังสัมมนาวันนั้น ฉันเดินกลับไปยังห้องพักพร้อมกับความคิดมากมายในหัว เหมือนทุกคำพูดของดร.ดลกลายเป็นเมล็ดพันธุ์เล็ก ๆ ที่เริ่มหยั่งรากในใจฉัน มันกระตุ้นให้ฉันมองโลกในมุมใหม่ และทำให้ฉันรู้สึกพร้อมสำหรับการเดินทางครั้งต่อไป
หลังสัมมนาสิ้นสุด ฉันออกเดินทางไปยัง บ้านกาญจนาภิเษก สถานที่ที่ฉันเฝ้ารอและตั้งคำถามในใจตลอดการเดินทางว่าฉันจะได้พบอะไรที่นั่น หรือบทเรียนใดที่จะเปลี่ยนแปลงมุมมองชีวิตของฉัน...
สถานที่ที่ฉันตั้งตารอคอย บ้านกาญจนาภิเษก ที่นี่เป็นเหมือนอีกโลกหนึ่งซึ่งต่างจากความสงบงามของรีสอร์ทที่ฉันเพิ่งจากมา
บ้านกาญจนาภิเษก เป็นสถานที่ที่ฉันเคยได้ยินชื่อมานาน แต่ไม่เคยสัมผัสหรือรู้รายละเอียดมาก่อน ฉันรู้เพียงแต่ว่าที่นี่ไม่ได้มีแค่ความสงบเหมือนสถานที่ปลีกวิเวกทั่วไป แต่กลับเต็มไปด้วยเรื่องราวของ "เด็กหลงทาง" ที่กำลังพยายามหาหนทางกลับสู่แสงสว่าง
เมื่อมาถึง ฉันได้รับการต้อนรับจากเจ้าหน้าที่ด้วยรอยยิ้มและความจริงใจ ก่อนจะพาไปพบกับ ป้ามล - ทิชา ณ นคร หญิงผู้เปรียบเสมือนแม่ของเด็กทุกคนที่นี่
ครั้งแรกที่ได้พบป้ามล ฉันสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ไม่เหมือนใคร เธอพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่หนักแน่น มีพลังที่บอกว่าผู้หญิงคนนี้ผ่านเรื่องราวมามากมาย และพร้อมจะแบ่งปันมันให้กับคนที่ตั้งใจรับฟัง ฉันนั่งพูดคุยกับเธอที่โต๊ะไม้ตัวเล็กใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวนหลังบ้านกาญจนาภิเษก
ป้ามลเล่าให้ฟังถึงการทำงานที่นี่ ความตั้งใจที่จะช่วยเหลือเด็ก ๆ ที่หลงทางในชีวิต เด็กที่หลายคนอาจเรียกเขาว่า "อาชญากร" หรือ "คนเลว" แต่สำหรับป้ามล พวกเขาคือ "ต้นอ่อน" ที่ต้องการแสงสว่างเพื่อเติบโต
"พวกเขาไม่ได้แย่ตั้งแต่เกิดหรอกค่ะ" ป้ามลกล่าวพร้อมมองออกไปยังสนามหญ้า ซึ่งมีเด็กชายสองสามคนกำลังเล่นฟุตบอลกันอยู่ "สิ่งแวดล้อม ความยากจน ความไม่เข้าใจ หรือบางครั้งก็แค่ความผิดพลาดในชีวิต มันพาให้พวกเขาหลงทาง แต่ถ้าเราช่วยพวกเขาได้ มันจะเปลี่ยนทั้งชีวิตเขาเลยนะ"
คำพูดของป้ามลทำให้ฉันสะท้อนใจ ฉันนึกถึงสิ่งที่ฉันเคยเชื่อมั่นมาเสมอว่าการลงโทษไม่ได้เป็นคำตอบของทุกอย่าง บางครั้งคนเราต้องการ "โอกาส" มากกว่าการพิพากษา
หลังพูดคุยกับป้ามล ฉันได้รับหนังสือเล่มหนึ่งติดมือกลับมาด้วย หนังสือที่ชื่อว่า "เด็กน้อยโตเข้าหาแสง" หนังสือเล่มนี้รวบรวมเรื่องราวของเด็กหลายคนในบ้านกาญจนาภิเษก บางคนมีอดีตที่หนักหนาเกินกว่าที่ฉันจะจินตนาการได้ แต่ทุกคนล้วนมีจุดเปลี่ยนที่ทำให้พวกเขาเลือกจะก้าวออกจากความมืด
ฉันเปิดอ่านหนังสือในคืนนั้นเอง หน้าหนึ่งของหนังสือสะท้อนแนวคิดผ่านลายมือของป้ามลว่า:
"เมื่อเราหยุดมองความผิดพลาดว่าเป็นความล้มเหลว และเริ่มมองว่ามันคือบทเรียน ชีวิตจะพาเราไปสู่โอกาสที่ซ่อนอยู่เสมอ"
ทุกหน้าของหนังสือเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ทั้งสะเทือนใจและสร้างแรงบันดาลใจ เด็กที่เคยใช้ชีวิตอยู่กับยาเสพติด เด็กที่เคยทำผิดกฎหมาย เด็กที่เคยถูกทอดทิ้ง ทุกคนมีเหตุผลเบื้องหลังที่ทำให้พวกเขาก้าวเข้าสู่ความมืด แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือพวกเขาทุกคนกำลังเดินออกจากมันด้วยหัวใจที่สู้และความหวัง
ฉันใช้เวลาหลายชั่วโมงนั่งอ่านและคิดตาม บางครั้งฉันรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหล เพราะเรื่องราวเหล่านี้มันไม่ได้มีแค่ความผิดพลาดของเด็ก แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงสังคมที่พาเด็กเหล่านี้มาถึงจุดนี้
"หน้าที่ของเราคืออะไร?" ฉันถามตัวเองในใจ คำตอบที่ผุดขึ้นมาคือ ฉันอยากเป็น "คนที่ช่วยแก้ไขและขัดเกลา" มากกว่า "คนที่ชี้ว่าใครถูกหรือผิด"
ก่อนจากบ้านกาญจนาภิเษก
ฉันเดินชมพื้นที่รอบ ๆ อีกครั้ง สายตาฉันมองเห็นเด็กชายคนหนึ่งกำลังนั่งขีดเขียนอะไรบางอย่างบนสมุด เขายกหัวขึ้นมาสบตาฉันแล้วยิ้ม ฉันยิ้มตอบกลับไป รู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างที่ทำให้ฉันเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ป้ามลและทุกคนทำอยู่ที่นี่มันมีค่าแค่ไหน
การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้เปลี่ยนแค่ความคิดของฉัน แต่มันทำให้ฉันมองคนรอบข้างในแง่มุมใหม่ ฉันกลับออกมาพร้อมกับความตั้งใจใหม่ในใจ และพร้อมจะใช้มันต่อไปในชีวิตของฉัน
เมื่อคุณมองคนรอบตัว คุณเคยสงสัยไหมว่า ใครบางคนที่คุณพบเจอในแต่ละวัน อาจจะเคยเป็น "เด็กหลงทาง" มาก่อน แล้ววันนี้ เขากำลังโตเข้าหาแสงเหมือนที่เด็ก ๆ เหล่านี้ทำอยู่?
เรื่องราวที่บ้านกาญจนาภิเษกจบลง แต่มันกลับเป็นจุดเริ่มต้นในความคิดและหัวใจของฉัน...
คุณล่ะ?..
คุณเคยสงสัยไหมว่า.การแก้ไขและขัดเกลาคนหนึ่งคน สำคัญกว่าการตัดสินพวกเขาหรือเปล่า?
และ
.
.
ในสายตาคุณ การให้ "โอกาสครั้งที่สอง" มีความหมายแค่ไหน?
ลองเปิดใจและร่วมค้นหาคำตอบไปด้วยกัน ผ่านเรื่องราวของ "บ้านกาญจนาภิเษก" สถานที่ที่ไม่ได้มีแค่การ "เปลี่ยนแปลงชีวิต" แต่ยัง "เปลี่ยนหัวใจ" ของคนที่ก้าวเข้าไป...
--ปลายดาวอินฟินิตี้--
โฆษณา