16 ธ.ค. เวลา 00:13 • ธุรกิจ

ทำไมบางบริษัทถึงต้องการควบรวมกิจการ

การควบรวมกิจการ (Merger and Acquisition หรือบางครั้งก็จะเรียกกันแบบย่อๆว่า MA) คือกระบวนการที่บริษัทสองแห่งหรือมากกว่ามารวมตัวกัน หรือที่บริษัทหนึ่งเข้าซื้อกิจการของอีกบริษัทหนึ่ง เพื่อสร้างความได้เปรียบในด้านต่าง ๆ เช่น การแข่งขัน การตลาด หรือการลดต้นทุน อย่างไรก็ตาม การควบรวมกิจการย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณา ดังนี้
ผลดีของการควบรวมกิจการ
1. เพิ่มขนาดและส่วนแบ่งการตลาด
การรวมตัวกันช่วยเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดและความแข็งแกร่งของธุรกิจในอุตสาหกรรม ทำให้บริษัทมีอำนาจในการแข่งขันมากขึ้น เช่น การตั้งราคาหรือการขยายฐานลูกค้า
2. ประหยัดต้นทุน (Economies of Scale)
การควบรวมสามารถลดค่าใช้จ่าย เช่น การบริหารงาน การผลิต หรือการกระจายสินค้า เนื่องจากมีการรวมทรัพยากรและโครงสร้างที่ซ้ำซ้อน
3. เสริมสร้างความเชี่ยวชาญ
การรวมบริษัทที่มีความชำนาญในด้านต่าง ๆ เข้าด้วยกันช่วยให้เกิดความแข็งแกร่งในด้านผลิตภัณฑ์หรือบริการ เช่น การควบรวมบริษัทเทคโนโลยีกับบริษัทที่มีฐานลูกค้าแข็งแกร่ง
4. การเข้าถึงทรัพยากร
บริษัทที่ควบรวมกันอาจสามารถเข้าถึงทรัพยากรที่อีกบริษัทหนึ่งมีอยู่ เช่น เทคโนโลยี สิทธิบัตร หรือเครือข่ายการจัดจำหน่าย
5. ขยายธุรกิจในพื้นที่ใหม่
การควบรวมช่วยให้บริษัทเข้าสู่ตลาดใหม่หรือกลุ่มลูกค้าใหม่ได้ง่ายขึ้นโดยใช้เครือข่ายของอีกบริษัทหนึ่ง
ผลเสียของการควบรวมกิจการ
1. ต้นทุนการควบรวมที่สูง
การควบรวมต้องใช้เงินทุนมหาศาลสำหรับการประเมินมูลค่า การเจรจา และการปรับโครงสร้าง
2. ปัญหาการบริหารจัดการหลังควบรวม
การรวมตัวอาจทำให้เกิดความขัดแย้งด้านวัฒนธรรมองค์กร ระเบียบปฏิบัติ หรือวิธีการทำงาน ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่มีประสิทธิภาพ
3. ความเสี่ยงต่อการผูกขาด
การควบรวมอาจนำไปสู่การควบคุมตลาดโดยบริษัทใหญ่ ทำให้เกิดการผูกขาด ส่งผลเสียต่อตลาดและผู้บริโภคในระยะยาว
4. การสูญเสียพนักงานหรือความสามารถ
กระบวนการควบรวมมักทำให้มีการปรับลดพนักงานเพื่อประหยัดต้นทุน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการดำเนินงานในอนาคต
5. ความเสี่ยงด้านการเงิน
หากการควบรวมล้มเหลว อาจทำให้เกิดภาระหนี้สินหรือการขาดทุนอย่างหนัก โดยเฉพาะหากธุรกิจที่ควบรวมไม่สามารถสร้างรายได้ตามที่คาดหวัง
6. การลดการแข่งขันในตลาด
เมื่อบริษัทใหญ่สองแห่งควบรวมกัน อาจลดความหลากหลายของสินค้าและบริการ ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกน้อยลง
ตัวอย่างการควบรวมกิจการในอดีตและผลลัพธ์
1. Disney และ Pixar (2006)
รายละเอียด: บริษัท Walt Disney ได้เข้าซื้อ Pixar Animation Studios ด้วยมูลค่า 7.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเสริมสร้างอำนาจในตลาดภาพยนตร์แอนิเมชัน
ผลลัพธ์: Disney สามารถฟื้นฟูแบรนด์แอนิเมชันของตัวเองและเพิ่มความหลากหลายของเนื้อหา
Pixar ยังคงรักษาความเป็นตัวตนด้านความคิดสร้างสรรค์ และร่วมสร้างภาพยนตร์ยอดนิยม เช่น Toy Story 3, Inside Out, และ Frozen
ความสำเร็จทำให้ Disney กลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมแอนิเมชันระดับโลก
ข้อสังเกต: ความสำเร็จนี้เกิดจากการรักษาความเป็นอิสระของ Pixar ในการสร้างเนื้อหา ขณะเดียวกัน Disney ใช้จุดแข็งของตนในการตลาดและการจัดจำหน่าย
2. Exxon และ Mobil (1999)
รายละเอียด: บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่อย่าง Exxon และ Mobil ควบรวมกันในดีลมูลค่า 81 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็น ExxonMobil ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันและก๊าซที่ใหญ่ที่สุดในโลกในเวลานั้น
ผลลัพธ์: บริษัทสามารถลดต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมหาศาล
มีส่วนแบ่งตลาดที่ใหญ่ขึ้นในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ
แต่ในทางกลับกัน การควบรวมนี้ยังถูกวิจารณ์ในเรื่องการลดการแข่งขันในตลาดพลังงาน
ข้อสังเกต: การควบรวมครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงผลดีในเชิงเศรษฐกิจของบริษัท แต่ยังเป็นตัวอย่างของความกังวลเรื่องการผูกขาดตลาด
3. AOL และ Time Warner (2000)
รายละเอียด: บริษัท AOL (America Online) ควบรวมกับ Time Warner ด้วยมูลค่ากว่า 165 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อรวมบริการอินเทอร์เน็ตเข้ากับสื่อดั้งเดิม เช่น โทรทัศน์และภาพยนตร์
ผลลัพธ์: การควบรวมนี้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากการขาดการบูรณาการที่เหมาะสม
หลังจากเกิดภาวะฟองสบู่ดอทคอมแตก AOL สูญเสียความนิยมในฐานะแพลตฟอร์มออนไลน์
ในที่สุด Time Warner ต้องแยกตัวจาก AOL ในปี 2009
ข้อสังเกต: การควบรวมที่ไม่ได้คำนึงถึงความเหมาะสมของวัฒนธรรมองค์กรและความต้องการตลาดอาจนำไปสู่ความล้มเหลว
การควบรวมกิจการเป็นกลยุทธ์ที่สามารถสร้างโอกาสให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมหาศาล แต่ก็ต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น หากไม่มีการวางแผนและการประเมินผลกระทบอย่างรอบคอบ การควบรวมอาจส่งผลเสียทั้งต่อบริษัทเองและตลาดโดยรวม ดังนั้นการตัดสินใจควบรวมควรคำนึงถึงเป้าหมายระยะยาวและผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย
====ช่องทางติดตาม====
Line OA: @npmestory หรือคลิก https://bit.ly/NPmeLine

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา