Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
PPTV Wealth
•
ติดตาม
เมื่อวาน เวลา 10:45 • หุ้น & เศรษฐกิจ
“Ferrero Rocher” ช็อกโกแลตเลอค่า ต้นกำเนิดมาจาก “พระแม่มารี”
ย้อนต้นกำเนิดที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ของ “Ferrero Rocher” ช็อกโกแลตผสมเฮเซลนัต ของขวัญยอดนิยมในช่วงปีใหม่ ได้แรงบันดาลใจมาจาก “พระแม่มารี”
หากพูดถึงของขวัญยอดนิยมในช่วงเทศกาลปีใหม่ เชื่อว่า “ช็อกโกแลต” คงเป็นหนึ่งในตัวเลือกแรก ๆ ของหลายคน โดยเฉพาะช็อกโกแลตที่ห่อด้วยกระดาษสีทองดูแพงหรูหรา เจ้าของสโลแกน “ล้ำค่าดังคนที่เรารัก”
เรากำลังพูดถึง “Ferrero Rocher” (เฟอเรโร รอชเชอร์) แบรนด์ช็อกโกแลตผสมเฮเซลนัตสัญชาติอิตาลีที่ครองใจผู้บริโภคทั่วโลกมานานกว่า 40 ปี ด้วยรสชาติและรสสัมผัสอันเป็นเอกลักษณ์ที่เกิดจากการรังสรรค์ช็อกโกแลตที่มีหลายเลเยอร์
Ferrero Rocher ของขวัญยอดนิยมช่วงปีใหม่
Ferrero Rocher นั้นได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในของขวัญยอดนิยมช่วงเทศกาลสำคัญ โดยเฉพาะคริสต์มาสและปีใหม่ โดยยอดขายแต่ละปีของ Ferrero Rocher นั้น ประมาณ 61% หรือเกือบ 2 ใน 3 จะเกิดขึ้นในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี
Ferrero Rocher หนึ่งลูกประกอบด้วย ผลเฮเซลนัตคั่ว เคลือบด้วยช็อกโกแลตที่ทำจากเฮเซลนัต จากนั้นหุ้มด้วยเวเฟอร์บาง ๆ หนึ่งชั้น แล้วเคลือบด้วยช็อกโกแลตนมผสมเฮเซลนัตบด ก่อนห่อด้วยกระดาษสีทองเป็นชั้นสุดท้าย
นั่นทำให้เมื่อแกะห่อออกมาเราจะได้เห็นลูกบอลช็อกโกแลตที่พื้นผิวอัดแน่นไปด้วยถั่วเฮเซลนัต เมื่อกัดลงไปจะสัมผัสได้ทั้งความกรุบกรอบของเฮเซลนัตและความความหอมหวานของช็อกโกแลต
อย่างไรก็ตาม บริษัท Ferrero SpA ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ Ferrero Rocher ไม่เคยเปิดเผยกระบวนการผลิตขนมช็อกโกแลตของพวกเขาเลย และยังคงเป็นความลับอยู่จนถึงทุกวันนี้
แต่ความลับหนึ่งที่มีการเปิดเผยออกมาคือ ต้นกำเนิดของ Ferrero Rocher นั้น ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก “พระแม่มารี” ในศาสนาคริสต์
สูตรช็อกโกแลตผสมเฮเซลนัต เกิดจากสงคราม?
แต่ก่อนจะไปดูจุดเริ่มต้นของ Ferrero Rocher เราต้องทำความรู้จักตระกูล “เฟอร์เรโร” ซึ่งเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในอิตาลีในปัจจุบัน
โดยที่ "โจวานนี เฟอร์เรโร" ทายาทรุ่น 3 และประธานบริหาร Ferrero คนปัจจุบันรวยเป็นเป็นอันดับ 26 ของโลกตามการจัดอันดับของ Forbes ปี 2024 มีทรัพย์สินมูลค่ารวม 4.38 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.49 ล้านล้านบาท)
ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า ตระกูล “เฟอร์เรโร” เป็นช่างทำขนมมาตั้งแต่รุ่นไหน หรือเพิ่งมาเพิ่งมาเริ่มในรุ่นของ “เปียโตร เฟอร์เรโร” ซึ่งได้เปิดร้านขนมขึ้นที่เมืองตูริน เมืองหลวงของแคว้นเพียมอนเตหรือพีดมอนต์ ในปี 1940 แต่ช่วงเวลานั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 อุบัติขึ้นพอดี ทำให้กิจการของเขาเจ๊งไม่เป็นท่า
เปียโตรจึงย้ายไปตั้งหลักที่เมืองอัลบา ซึ่งอยู่ห่างจากตูรินประมาณ 60 กิโลเมตร และตั้ง “ห้องทดลอง” ขึ้นที่นั่น
แต่ห้องทดลองที่ว่านี้ไม่ใช่ห้องทดลองสารเคมีหรืออะไรเทือกนั้น แต่เป็นห้องทดลองทำขนมหวานต่างหาก โดยเปียโตรได้แรงบันดาลใจจากความอัตคัดในช่วงสงคราม และตั้งเป้าหมายที่จะคิดค้นขนมหวานที่แปลกใหม่แต่ราคาถูก
เมื่อมีคีย์เวิร์ดคำว่า “ราคาถูก” วัตถุดิบหนึ่งที่แวบเข้ามาในหัวของเปียโตรคือ “เฮเซลนัต” ซึ่งในแคว้นพีดมอนต์ถือเป็นของที่มีอยู่มาก หาได้ง่าย และราคาถูก
เขาจึงริเริ่มทดลองทำช็อกโกแลตมาผสมกับเฮเซลนัต เพื่อหาสูตรที่เหมาะสมที่สุด เพราะสำหรับของกินแล้วจะถูกอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องมีรสชาติอร่อยด้วย
เปียโตรทำงานแบบไม่หยุดหย่อนแม้กระทั่งในตอนกลางคืน เพื่อลองสูตรต่าง ๆ บางครั้งเขายังปลุกภรรยาของเขามาให้ช่วยชิมด้วยซ้ำ
ร้าน Ferrero Rocher ในช่วงแรก
“โจวานนี เฟอร์เรโร” หลานชายและประธานบริหารคนปัจจุบันของ Ferrero เล่าว่า “ปู่ของผมมีชีวิตอยู่เพื่อค้นพบสูตรขนมนี้ เขาหลงใหลในสูตรนี้มาก ปลุกคุณยายของผมตอนเที่ยงคืนแม้เธอจะกำลังนอนหลับอยู่ และเขาใช้ช้อนป้อนให้คุณยายชิมขนมนี้ แล้วถามว่าเป็นยังไงบ้าง”
หลังจากลองผิดลองถูกอยู่กว่า 4 ปี ในที่สุดปี 1946 เปียโตรก็เปิดตัวครีมที่ทำจากช็อกโกแลตผสมเฮเซลนัตออกสู่ตลาด และตั้งชื่อในตอนแรกว่า “Pasta Gianduja” และต่อมาเรียกสั้น ๆ ว่า “Giandujot”
ครีม Giandujot ถูกบรรจุในกระดาษฟอยล์อลูมิเนียมซึ่งสามารถขนส่ง ตัด และทาบนขนมปังได้ง่าย ออกแบบมาเพื่อแรงงานที่กำลังไปทำงานโดยเฉพาะ
ครีมนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากในหมู่ผู้บริโภค แม้แต่ในกลุ่มคนอายุน้อยซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่เปียโตรไม่เคยคำนึงถึงในตอนแรก แต่กลับกลายเป็นว่าครีมของเขาเป็นของหวานราคาถูกที่เด็ก ๆ ชอบมาก
ความนิยมที่พุ่งสูงทำให้เปียโตรต้องจ้างพนักงานเพิ่มเป็น 50 คน และเพิ่มเป็น 100 คนในเวลาไม่นาน จนไปถึงจุดที่ความต้องการผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นมากจนไม่สามารถผลิตสินค้าด้วยมือได้อย่างเดียวอีกต่อไป เปียโตรและภรรยาจึงร่วมกันก่อตั้งบริษัท “Ferrero” ขึ้นมาในปี 1946 เพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าว
3 ปีต่อมา บริษัทต่อยอดด้วยการพัฒนา “ซูเปอร์ครีมา” (Supercrema) หรือ Giandujot เวอร์ชันที่มีความมันและครีมมีมากขึ้น และประสบความสำเร็จสูงมากเช่นกัน
โจวานนีเล่าว่า “ซูเปอร์ครีมาเป็นแบรนด์แรกที่ทำให้ผู้คนเพลิดเพลินกับขนมในราคาที่เอื้อมถึงได้ แม้ว่าจะไม่ใช่ขนมทั้งหมดก็ตาม นี่คือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง”
เขาบอกว่า การที่ทุกคนสามารถหาซื้อครีมช็อกโกแลตมาทาขนมปังแล้วรับประทานได้ ช่วยลบล้างความคิดที่ว่าช็อกโกแลตมีไว้แค่ในโอกาสพิเศษและงานเฉลิมฉลอง เช่น คริสต์มาสหรืออีสเตอร์ เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในปีเดียวกันนั้น เปียโตรกลับเสียชีวิตกะทันหันด้วยอายุเพียง 51 ปี ข้อมูลจากบางแหล่งที่มาระบุว่า เขาเสียชีวิตจากภาวะหัวใจวาย ซึ่งอาจเกิดจากการทำงานหนักเกินไป
โจวานนี เฟอร์เรโร ประธานบริหารคนปัจจุบันของ Ferrero
สายเลือดความคิดสร้างสรรค์
เมื่อสิ้นเปียโตร คนที่เข้ามารับช่วงต่อในตอนแรกคือน้องชายของเขา ซึ่งมุ่งเน้นการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศมากกว่าการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ส่วน “มิเกเล เฟอร์เรโร“ ลูกชายคนเดียวของเปียโตรนั้นเริ่มเข้ามาศึกษาธุรกิจของครอบครัว
ณ เวลานั้น Ferrero เติบโตจากแนวคิดของน้องชายเปียโตรที่ทำให้ซูเปอร์ครีมาเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ด้วยการบรรจุใส่ขวดโหล ให้ผู้บริโภคสามารถซื้อไปเก็บไว้ได้ และนำไปใช้ทาขนมปังได้ตามต้องการ โดยไม่จำเป็นจะต้องซื้อแบบขนมปังที่ทาแล้ว
จนเมื่ออาของเขาเสียชีวิต มิเกเลจึงเข้ามาบริหาร Ferrero เต็มตัวในปี 1957
มิเกเลนั้นสมกับที่เป็นลูกชายของเปียโตร เพราะเขามีพลังในด้านความคิดสร้างสรรค์ไม่แพ้ผู้เป็นพ่อ โดยมีความคิดที่จะต่อยอดซูเปอร์ครีมาของพ่อให้ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเดิม
โจวานนี ซึ่งเป็นลูกชายของมิเกเล เล่าว่า “พ่อของผมพูดว่า เราสามารถพัฒนาได้ไกลกว่านี้ มีเทคโนโลยีใหม่ ๆ มีวิธีใหม่ ๆ ในการผสมผสานสูตรแห่งชัยชนะนี้”
และด้วยการเข้าถึงส่วนผสมที่หลากหลายในช่วงเศรษฐกิจเฟื่องฟูต่างจากความลำบากในช่วงสงครามโลก มิเกเลจึงพัฒนาซูเปอร์ครีมาสูตรใหม่ขึ้นมาได้สำเร็จในปี 1964 และเปลี่ยนชื่อเป็น “นูเทลลา” (Nutella) ซึ่งขายดีไปทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน
ความคิดสร้างสรรค์ของเขาทำให้มิเกเลคิดค้นผลิตภัณฑ์และแบรนด์ใหม่ ๆ ที่ประสบความสำเร็จออกมาต่อเนื่อง ทั้ง Kinder ในปี 1968, Tic-tac ในปี 1969 และ Ferrero Rocher ในปี 1982
Ferrero Rocher ได้แรงบันดาลใจจาก “พระแม่มารี”
มิเกเล เฟอร์เรโร นั้นเป็นคาทอลิกที่ค่อนข้างเคร่งศาสนา และเขาต้องการเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทเข้ากับพระแม่มารี โดยยังคงไว้ซึ่งรากฐานที่พ่อของเขาคิดค้นไว้ ด้วยเหตุนี้ ช็อกโกแลตผสมเฮเซลนัตที่ห่อด้วยกระดาษสีทองจึงถูกตั้งชื่อว่า Ferrero Rocher
คำว่า “Rocher” นั้นแปลว่า “หิน” ในภาษาฝรั่งเศส สื่อถึงถ้ำ “รอเชเดอมาซาบีแยล” (Rocher de Massabielle) ที่เมืองลูร์ด (Lourdes) ประเทศฝรั่งเศส อันเป็นสถานที่เกิดการประจักษ์ของพระแม่มารีต่อเด็กหญิงแบร์นาแด็ต ซูบีรู
การประจักษ์ครั้งนี้ทำให้คริสตจักรโรมันคาทอลิกถวายสมัญญาแด่พระนางมารีพรหมจารีว่าแม่พระแห่งลูร์ด (Our Lady of Lourdes)
Rocher นั้น ถ้าในภาษาฝรั่งเศสจะอ่านว่า รอเช แต่หากเป็นภาษาอังกฤษจะออกเสียงว่า รอชเชอร์ จึงกลายเป็น เฟอร์เรโร รอชเชอร์ ที่เราคุ้นหูกันนั่นเอง
การที่ชื่อของ Ferrero Rocher มีที่มาจากพระนางมารีทำให้มีการคาดเดากันว่า รูปลักษณ์ของช็อกโกแลตที่ห่อด้วยกระดาษสีทองอาจเพื่อต้องการสื่อถึงความศักดิ์สิทธิ์หรือคุณค่าบางอย่างหรือไม่ บางคนบอกว่ามิเกเลได้รับแรงบันดาลใจจากผนังหินและโพรงต่าง ๆ ในการออกแบบ
นอกจากนี้ รูปร่างของ Ferrero Rocher ที่แกะห่อออกมาแล้วยังดูคล้ายกับก้อนหินด้วย ซึ่งเข้ากับชื่อ Rocher พอดี
มีรายงานว่า มิเกเลศรัทธาในพระแม่มารีแห่งลูร์ดมาก ถึงขนาดที่ทุกปีเขาจะต้องเดินทางไปเยือนวิหารแห่งนี้พร้อมกับพนักงานของเขา และจัดทัวร์แสวงบุญให้กับพนักงาน และเขายังนำรูปพระแม่มารีไปวางไว้ในโรงงานและสำนักงานทุกแห่งของ Ferrero ด้วย
มิเกเลเคยกล่าวสรรเสริญพระแม่มารีในข้อความเนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีของบริษัทว่า “ความสำเร็จของ Ferrero เป็นหนี้บุญคุณต่อพระแม่มารีแห่งเมืองลูร์ด ถ้าไม่มีเธอ เราก็ทำอะไรได้น้อยมาก”
Our Lady of Lourdes หรือพระแม่มารี แรงบันดาลใจการสร้างสรรค์ Ferrero Rocher ของ มิเกเล เฟอร์เรโร
ช็อกโกแลตเลอค่าที่อัดแน่นไปด้วยความลับ
Ferrero Rocher เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จที่ทำให้ Ferrero ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในแต่ละปี โดยในปีงบประมาณ 2022/2023 ซึ่งสิ้นสุดในวันที่ 31 ส.ค. 2023 บริษัทมียอดขายรวม 1.7 หมื่นล้านยูโร (ราว 6 แสนล้านบาท) โตขึ้น 20.7% เมื่อเทียบกับยอดขาย 1.4 หมื่นล้านยูโร (ราว 4.9 แสนล้านบาท) ในปีก่อนหน้า
นอกจากนี้ โรงงานผลิตของ Ferrero ทั่วโลกยังเพิ่มขึ้นขึ้นจาก 32 แห่งเป็น 37 แห่ง ในขณะที่พนักงานทั่วโลกของกลุ่มบริษัท ณ วันที่ 31 ส.ค. 2023 มีจำนวน 47,212 คน เพิ่มขึ้นมากกว่า 6,000 คนจากปีก่อนหน้า
Ferrero เติบโตอย่างมากหลังจากเข้าซื้อกิจการส่วนขนมและของหวานของ Nestle ในปี 2018 และปีต่อมาซื้อกิจการขนม คุกกี้ และไอศกรีมของ Kellogg's และขยายกิจการต่อเนื่องเรื่อยมา
ปัจจุบัน มีผู้คนในมากกว่า 140 ประเทศทั่วโลกที่ได้ลิ้มลอง Ferrero Rocher แต่มีน้อยคนมากที่จะรู้ว่ามันถูกผลิตขึ้นมาอย่างไร
โรงงานของ Ferrero ที่เมืองอัลบา ประเทศอิตาลี ถือเป็นโรงงานหลักของบริษัท โดยเมื่อปี 2015 มีรายงานว่า โรงงานแห่งนี้สามารถผลิต Ferrero Rocher ได้มากถึง “24 ล้านชิ้นต่อวัน”
การผลิต Ferrero Rocher ส่วนใหญ่จะใช้เครื่องจักรไฮเทค โดยจากพนักงาน 6,000-7,000 คนที่ประจำอยู่ที่นี่ มีเพียง 64 คนเท่านั้นที่ทำงานในสายการผลิต Ferrero Rocher
เทคโนโลยีการผลิต Ferrero Rocher นั้นเป็นความลับมากถึงขนาดที่ว่านักข่าวไม่สามารถนำสมาร์ตโฟนเข้าไปในโรงงานได้ และมีนักข่าวเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับเชิญเข้าไปข้างใน แม้แต่สมุดบันทึกก็ต้องทิ้งไว้ที่ประตู
กระบวนการผลิต Ferrero Rocher เต็มไปด้วยความลับ
อาจไม่น่าแปลกใจที่ Ferrero จะเก็บความลับไว้อย่างแน่นหนาขนาดนี้ เพราะมิเกเลใช้เวลาถึง 5 ปีในการคิดค้นวิธีสร้างเวเฟอร์ทรงกลมที่เป็นองค์ประกอบใจกลางของ Rocher
จากคำบรรยายของนักข่าวที่ได้เข้าไปในโรงงานอัลบา เครื่องจักรที่สร้าง Rocher เหล่านี้ถือเป็นงานศิลปะ แผ่นเวเฟอร์หลายสิบชิ้นถูกกดออกด้วยชุดขากรรไกรที่หมุนอยู่ แผ่นเวเฟอร์จะโค้งงอบนตะแกรงเพื่อให้เย็นลง จากนั้นจึงค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปตามสายพานลำเลียงที่ทำจากเชือกยางยืดสีแดงสดไปยังสายการผลิตหลักซึ่งเวเฟอร์จะถูกตัดออก เติมแป้ง และเฮเซลนัตทั้งลูก แล้วปั้นเป็นลูกกลม ๆ
ที่เรียกว่า “พิคพอค” จากนั้นพิคพอคแต่ละชิ้นจะถูกตีผ่านช็อกโกแลตที่ไหลเป็น
ชั้น ๆ แล้วกลิ้งไปบนกองเฮเซลนัตสับเพื่อให้ได้รูปลักษณ์อย่างที่เราเห็น
หลายคนอาจสงสัยว่า การผลิต Ferrero Rocher จำนวนมากหลายสิบล้านชิ้นต่อวันแบบนี้จะต้องใช้วัตถุดิบมากขนาดไหน
คำตอบคือ ในปัจจุบัน การผลิต Ferrero Rocher ใช้เฮเซลนัตมากถึง 1 ใน 3 ของเฮเซเลนัตที่มีการผลิตอยู่ทั้งโลก!
โดยเพื่อรักษาความมั่นคงของวัตถุดิบ บริษัทได้ซื้อกิจการผู้ค้าเฮเซลนัตรายใหญ่ที่สุด 2 รายของโลก ได้แก่ Oltan Group ในตุรกีและ Stelliferi Group ในอิตาลี และลงทุนเพิ่มเติมในไร่เฮเซลนัทในออสเตรเลีย บอลข่าน และอเมริกาใต้ เพื่อเพิ่มผลผลิตและความพร้อมจำหน่ายตลอดทั้งปี
ด้วยรากฐานที่สืบทอดมาตั้งแต่รุ่นของเปียโตร ผู้ต้องการทำขนมหวานที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ในราคาไม่แพง ต่อยอดด้วยความสร้างสรรค์ในยุคของมิเกเล จนมาถึงรุ่นของโจวานนี จึงเป็นเหตุผลของความสำเร็จที่ส่งให้ “เฟอร์เรโร” เป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในอิตาลี
ประวัติธุรกิจ Ferrero Rocher
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ :
https://www.pptvhd36.com/wealth/trick-trend/238557
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์
https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
Facebook PPTV Wealth :
https://www.facebook.com/PPTVWealth/
YouTube Wealth :
www.youtube.com/@PPTVWealth
ขนม
ธุรกิจ
ข่าวรอบโลก
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย