30 ธ.ค. 2024 เวลา 10:47 • ศิลปะ & ออกแบบ
อิตาลี

หน้าสดน่ะของเก๊ หน้ากากนี่แหละของจริง (Procession des pénitents de Furnes , James Ensor)

ภาพนี้เป็นของศิลปินชื่อดังอีกคนคือ เจมส์ เอนเซอร์ (James Ensor) ชาวเบลเยี่ยม ลองดูภาพนี้ดี ๆ ท่านผู้อ่านเห็นอะไรบ้างฮะ รู้สึกอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบ
ขบวนแห่ที่มีผู้คนกำลังทำทุกรกิริยา เช่น แบกกางเขน ถูกตรึงการเขน ทำให้คิดถึงปรากฎการณ์ในสมัยยุคกลางซึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งเชื่อว่าเขาสามารถไถ่บาปของตัวเขาได้ด้วยการทรมานในแบบที่พระเยซูถูกกระทำ คือขอชดใช้กรรมด้วยการทรมานตนแบบนี้ และบางคนก็เชื่อว่าสามารถใช้วิธีนี้ไถ่บาปให้แก่คนอื่น ๆได้ด้วย อย่างเช่นพอมีโรคระบาดเกิดขึ้นก็จะมีคนทรมานตนเพื่อช่วยไถ่บาปให้แก่ผู้คนทั้งหลาย ด้วยความเชื่อว่าโรคระบาดเกิดจากพระเจ้าลงโทษมนุษย์ที่กระทำผิด
ชื่อภาษาอังกฤษของภาพนี้คือ Procession of Penitents of Veurne เป็นภาพขบวนแห่ทางศาสนาของเมือง Veurne ประเทศเบลเยียม ซึ่งได้กระทำมานานหลายปีแล้วจนปัจจุบันเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ในช่วงการตรึงกางเขนของพระเยซู ผู้เข้าร่วมจะแต่งกายในชุดที่เป็นบุคคลต่างๆในคัมภีร์ เช่น พระแม่มารี นักบุญต่าง ๆ รวมทั้งผู้ที่รับบทบาทเป็นพระเยซู แต่ในช่วงหลังจะมีคนมาเข้าขบวนแห่เพื่อทำการบนบาน แก้บน อย่างเช่น แก้บนที่เคยป่วย หรือแม้แต่พวกนักเรียนมาแก้บนหลังจากสอบผ่าน (ไม่ได้โม้เองนะ ไปอ่านเจอ เค้าบอกงั้นมาจริง ๆ)
ซึ่งในโลกจริงเป็นขบวนแห่ทางศาสนาของเมือง Veurne ประเทศเบลเยียม เป็นขบวนแห่ที่เกิดมานานหลายปีแล้วจนปัจจุบัน เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ในช่วงการตรึงกางเขนของพระเยซู ผู้เข้าร่วมจะแต่งกายในชุดที่เป็นบุคคลต่างๆในคัมภีร์ เช่น พระแม่มารี นักบุญต่าง ๆ รวมทั้งผู้ที่รับบทบาทเป็นพระเยซู
เขาบอกมาว่า ในช่วงหลัง ๆ ก็อาจมีคนมาเข้าขบวนแห่เพื่อทำการบน ทรงแก้บนก็ดี อย่างเช่น แก้บนที่เคยป่วย หรือแม้แต่พวกนักเรียนมาแก้บนหลังจากสอบผ่าน (คริ คริ อันนี้ผมไม่ได้โม้เองนะ ไปอ่านเจอ เค้าบอกงั้นมาจริง ๆ) ซึ่งในเบลเยี่ยมซึ่งเป็นบ้านเกิดศิลปินก็มีขบวนแห่นี้
1
ในรูปนี้มีพระเบซูตัวจริงปรากฎด้วยนะตรงหน้าขบวนด้วยนะเออ ลองดูตรงตำแหน่งมุมล่างขวาของภาพนั่นไง เห็นกันไหมฮะ
พระเยซูหน้าเปรอะ ดูเหมือนคนเมาเหล้าหลงมาในงาน  https://www.museivaticani.va/content/museivaticani/en/collezioni/musei/collezione-d_arte-contemporanea/sale-15-e-16--il-primo-novecento-in-germania/james-ensor--procession-des-penitents-de-furnes.html
นี่แหละพระเยซูองค์จริง สังเกตได้จากรัศมีสีเหลืองเรื่อเรืองนั่นไง ไม่รู้ว่าตอนเสด็จมาชมงานจะรู้สึกยังไง ชื่นชมหรือเศร้าหรือตลก อันนี้ก็เดาไปละกัน เขียนมาบอกกัน ได้นะ
ดูภาพนี้แล้วรู้สึกกันอย่างไรเอ่ย หลายคนอาจสงสัยว่ามันสวยมันดีตรงไหนอ่ะ นี่เหมือนภาพที่ให้เด็ก วาด แต่ก็ต้องเป็นเด็กเล็กด้วยนะ เพราะถ้าโตแล้วจะวาดเหมือนจริงกว่านี้และจะไม่สวยแล้ว และต้องเป็นเด็กประเภทวาดไม่เก่งแต่มีความพยายาม ยัดอะไรต่ออะไรที่ได้เห็นลงไป ใช้พู่กันป้าย ๆหยาบ ๆ (รูปนี้ดูเหมือนถ้าใช้สีเทียนก็ยิ่งดีนะ ยิ่งดูเด็ก) ภาพพระเยซูก็ยับเยินเหมือนผ่านการรุมสกรัมมานับพันปี
คนที่เพิ่งดูงานของ เจมส์ เอนเซอร์ ภาพนี้เป็นภาพแรก ก็อาจคิดแบบนี้แหละ แต่ถ้าเราอยากจะเข้าใจงานและแนวคิดของศิลปินประหลาดคนนี้ก็ต้องไปดูงานของเขาอีกหลาย ๆ งานน่าจะช่วยได้มากขึ้น ว่าแล้วก็ขอพาท่านเหาะออกจากวาติกันชั่วคราว ชมงานของ เจมส์ เอนเซอร์ ชิ้นเด่น ๆ ที่อื่นเพื่อจะได้รู้จักเขามากขึ้นบ้าง
ตัวอย่างงานของเขา จะเห็นว่านอกจาก painting แล้วยังมีงานภาพพิมพ์ etching  ด้วย ส่วนรูปล่างขวาคือ Self portrait ของเขา https://en.wikipedia.org/wiki/James_Ensor
พอจะดูออกขึ้นไหมฮะว่าเขาทำอะไร สไตส์ไหน
เราจะเห็นว่าภาพของเขาน่าเกลียดทั้งนั้นเลย ผู้คนที่หน้าเบี้ยว ๆ หรือ พูดง่าย ๆ ว่า “หน้าไม่เป็นหน้า” ดูจะเหมาะที่สุด
นี่แหละคือเอกลักษณ์ของงานเขา มีคนบอกว่าใบหน้าผู้คนของ เจมส์ เอนเซอร์ คือ หน้ากากแบบพิเศษที่แสดงตัวตนที่แท้จริงของผู้คน ในภาพเขียน ตรงกันข้ามกับหน้ากากแบบธรรมดาที่ปิดบังตัวตนไว้ แม้ว่าผู้คนจะดูดีมีเกียรติมีความสุขร่ำรวยสูงศักดิ์ แต่จริงๆเนื้อแท้แล้วพวกเขาไม่เป็นเช่นนั้น ภายในของเขาเป็นแบบที่ เจมส์ เอนเซอร์ วาดไว้ คือเป็นอมนุษย์ ดูขึ้นอืด ผิดเพี้ยน ป่วยพิกล มีเงาปิศาจ อะไรทำนองนี้แหละ ยิ่งเทคนิคฝีแปรงที่เขาชอบแปะโปะสีลงบนผ้าใบซ้ำๆหนาๆ (impasto) มันก็ยิ่งทำให้หน้าเหล่านั้นดูเปรอะช้ำไปกันใหญ่
ผู้อ่านน่าจะเดาได้นะว่า content งานของเขาก็คือการเสียดสีเปิดโปงสังคมว่าที่เราคิดว่าอยู่ดีมีสุขนั้นแท้จริงแล้วมันเป็นสังคมที่ป่วย จอมปลอม ไม่จริงใจ อะไรทำนองนี้ เป็นการมองโลกในแง่ร้ายซึ่งเป็นปรัชญาของงานศิลปะแนว Expressionism อยู่แล้ว
แนะนำนิดนึงสำหรับคนที่เพิ่งได้ยินคำนี้ คำว่าศิลปะแบบ Expressionism นี้เกิดจากยุคสมัยที่ศิลปินยุโรปได้เห็นภาพเลวร้ายของมนุษยชาติในช่วงสงครามโลก นำอารมณ์ที่บีบคั้นมาสร้างชิ้นงานที่สำแดง แต่เป็นพลังทางลบ เช่นความน่ากลัว เสียสติ วิปลาส วิกลจริต สยดสยอง น่าชัง อะไรทำนองนี้ และมันก็ไม่ใช่เกี่ยวกับการมองโลกจากสงครามเท่านั้น แต่เป็นการมองโลกทั้งใบ ทั้งสังคม ศาสนา ตัวบุคคล ผู้นำทางสังคม ว่าต่างก็แฝงความเลวร้ายอยู่
ศิลปินแต่ละคนอาจแสดงออกมาคนละอารมณ์คนละรูปแบบ ส่วนงานของ เจมส์ เอนเซอร์ จะเป็นลักษณะเสียดสี เป็นภาพล้อเลียนที่ไม่ตลก ดูแล้วสมเพชปวดใจ
นอกเหนือจากภาพ Procession des pénitents ชิ้นนี้แล้วยังมีงานชิ้นอื่นที่มีเรื่องราวทำนองเดียวกันนี้แหละแต่ฮิตมากกว่า ชื่อภาพ L'Entrée du Christ à Bruxelles ซึ่งพระเยซูปรากฏมากับฝูงชนเหมือนกัน
L'Entrée du Christ à Bruxelles จาก https://en.wikipedia.org/wiki/James_Ensor
ภาพนี้แสดงขบวนแห่ตอนพระเยซูขี่ลาเข้ามาในกรุงเยรูซาเล็ม ซี่งเป็นเรื่องที่มีอยู่ในพระคัมภีร์ จะเห็นว่ามีคนมากมายมาต้อนรับพระเยซูแต่ดูแล้วรู้สึกจอมปลอมยังไงก็ไม่รู้ แทนที่จะดูศักดิ์สิทธิ์ชวนศรัทธาแบบภาพเขียนแนวศาสนาอื่น ๆ พระเยซูในภาพแม้ว่ากำลังทำท่าอวยพรให้ผู้คนแต่ดูแล้วเหมือนเป็นใครคนหนึ่งมาแสดงละครให้เห็น แลดูเป็นอารมณ์ประมาณท่านปู่ฤาษีร่างทรงมาเสกน้ำมนต์ให้ลูกช้างลูกศิษย์มากกว่า แล้วอันที่จริงฝูงชนก็ไม่ได้สนใจพระเยซูเท่าไรด้วย แถมคุณพ่อบิชอบ (bishop) ข้างหน้าก็ดูเป็นตัวตลกหน้าตากำลังขำ ๆ
พระเยซูของเอนเซอร์
สรุปก็คือภาพรวมของงานนี้คือขบวนแห่หลอก ๆ เล่นเอาสนุก ไม่มีใครเห็นหัวพระเยซู แถมใบหน้าของแต่ละคนก็ดูไม่เป็นหน้า ซึ่งมันก็คงเป็นจุดประสงค์ของตัวศิลปินที่ต้องการสำแดงตัวตนจริงที่ไม่แยแสศรัทธาศาสนาหรือคุณธรรม มากไปกว่าแสดงตัวตนของพวกเขาเอง
เล่ามายืดยาวแล้วก็กลับมาที่ภาพเดิมอีกครั้ง เริ่มจะมองเห็นหรือยังว่า Procession des pénitents บอกอะไรเราบ้าง
ภาพนี้กับภาพก่อนนี้มันก็เล่นกับธีมเดียวกันซึ่งได้แก่มุมมองว่ากิจกรรมทางศาสนาที่เราเคยคิดว่าคือการเชิดชูความศรัทธาแท้จริงมันก็แค่งานแสดงการละเล่นของผู้คนในสังคมเท่านั้นเอง แม้จะมีภาพแบกกางเขน ตรึงการเขน แต่นี่ก็เป็นการแสดงหลอก ๆ เป็นโชว์ชิ้นหนึ่งในงานเทศกาลเท่านั้น หรือจะว่าให้แรงมันก็คืองานแฟนซีอย่างหนึ่ง ตัวตนของพระเยซูเองกลายเป็นแค่จุดเล็ก ๆ ไม่มีใครสนใจ สุดแสนจะสามัญชน ราวกับถูกปลอมตัวมาไม่ให้ใครเห็น
นี่คือสไตล์ของ เจมส์ เอนเซอร์ ที่ได้สร้างแนวคิดของการมองโลกด้วยสายตาร้าย ซึ่งทำให้สไตล์เอกซ์เพรสชันนิสม์เจริญเติบโตขึ้นมีศิลปินรุ่นหลังเดินขบวนกันตามมา นับว่าเป็นการกำเนิดลัทธิใหม่ของศิลปะที่มีความสำคัญมาก งานสไตล์นี้ยังมีอีกที่วาติกันมิวเซียมและโหดกว่านี้อีก เดี๋ยวเราจะได้ไปเห็นกัน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา