30 ม.ค. เวลา 02:35 • ประวัติศาสตร์

พ.ศ. ๒๓๖๙-๒๓๗๑ : สถานที่ตั้งทัพเจ้าพระยาบดินทรเดชา (๓)

สารบัญเรื่องในซีรีย์ เล่าเรื่องเมืองยโส
๑.เล่าเรื่องเมืองยโส
๒.พุทธศตวรรษที่ ๑๑ : ยโสธรกับอาณาจักรเจนละ
๓.พุทธศตวรรษที่ ๑๓ (พ.ศ.๑๒๑๘) : พระธาตุอานนท์ https://www.blockdit.com/posts/676816c2e89582687fd7fc6a
๔.พ.ศ. ๒๓๑๔ : ก่อร่างสร้างบ้านสิงห์ท่า
๕.พ.ศ. ๒๓๓๔ : เจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์
๖.พ.ศ. ๒๓๖๙-๒๓๗๑ : สถานที่ตั้งทัพเจ้าพระยาบดินทรเดชา ตอนที่ ๑
๗. พ.ศ. ๒๓๖๙-๒๓๗๑ : สถานที่ตั้งทัพเจ้าพระยาบดินทรเดชา (๒)
เรื่องที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ในช่วงสงครามเจ้าอนุวงศ์ของเมืองยโสธรเรื่องที่สาม คือ เรื่องที่มาของพระพุทธบุษยรัตน์ และปืนนางป้อง
พระพุทธบุษยรัตน์ พระประจำจังหวัดยโสธร เป็นพระประจำจังหวัดองค์เล็กที่สุดในประเทศไทย
ในหนังสือต่างๆ ของจังหวัดยโสธรจะกล่าวถึงประวัติ พระพุทธบุษยรัตน์ หรือ พระแก้วหยดน้ำค้างพระประจำเมืองยโสธร และปืนนางป้องว่าได้รับพระราชทานจากรัชกาลที่ ๓ เนื่องจากความดีความชอบในการร่วมรบในสงครามเจ้าอนุวงศ์
นอกจากหนังสือต่างๆ ของจังหวัดยโสธรแล้วพบเอกสารที่กล่าวถึงเรื่องนี้ ในหนังสือ ประวัติศาสตร์อีสาน (เติม วิภาคย์พจนกิจ หน้า ๑๐๒) ได้เขียนไว้ว่ารัชกาลที่ ๓ ทรงทราบเรื่อง “... พระสุนทรราชวงศา (บุต) จึงพระราชดำริว่า เท่าที่ประทานให้สิ่งของและทรงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองเท่านั้นยังไม่พอแก่ความชอบ จึงโปรดฯ พระราชทาน ปืนนางป้องใหญ่ ๑ กระบอก วัดโดยรอบ ๗๙ ซม. ยาว ๙๔ ซม...”
อีกฉบับพบในหนังสือพงศาวดารเมืองยโสธร ฉบับเรียบเรียงโดย พระญาณรักขิต (ใจ ยโสธรัตน์ :๒๔๙๑ หน้า ๖๕) โดยในส่วนของประวัติวัดมหาธาตุ ได้กล่าวถึง “พระบุษยรัตน์” หรือ พระแก้วสีน้ำค้าง ว่ามีหลักฐานของพระแก้วนี้ ๒ นัย คือ
นัยแรก พระแก้วนี้เป็นสมบัติของเจ้าพระยาวิชัยราชขัตติยะวงศาฯ เก็บรักษาไว้แต่ครั้งท่านได้เป็นเจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์ ชะรอยว่าจะได้รับมรดกสืบต่อมาจากบรรพบุรุษแต่ครั้งอพยพจากเมืองเวียงจันทน์
และนัยที่สอง หลังสงครามเจ้าอนุวงศ์เสร็จสิ้น ท้าวฝ่ายบุตรและพระครูหลักคำได้ไปเข้าเฝ้ารัชกาลที่ ๓ และได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ท้าวฝ่ายบุตรเป็นพระสุนทรราชวงศา พระครูหลักคำ (กุ) เป็นพระครูวชิรปัญญา และพระราชทานปืนนางป้อง ๑ กระบอก และพระแก้วบุษยรัตน์ ๑ องค์ เพื่อให้เป็นสิริมงคลแก่เมืองยโสธร
พระพุทธบุษยรัตน์ ประดิษฐานอยู่ที่วัดมหาธาตุ มีขนาดหน้าตักกว้างเพียง ๑.๙ นิ้ว (เชิงอรรถ ๑) เท่านั้น ส่วนปืนนางป้องจะตั้งอยู่ที่ศาลหลักเมือง
ปืนนางป้อง อยู่ที่ศาลหลักเมืองยโสธร
เกี่ยวกับประวัติพระพุทธบุษยรัตน์ มีประเด็นที่จะกล่าวถึงสักเล็กน้อย เนื่องจากได้เคยอ่านพบในอินเตอร์เนตมีการกล่าวถึงประวัติพระพุทธบุษยรัตน์ ยโสธร ไปโยงกับประวัติ พระพุทธบุษยรัตน์ ที่ปรากฎในพงศาวดารรัชกาลที่ ๒ และ ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๗๐ เรื่อง เมืองนครจำปาศักดิ์ ซึ่งพระพุทธบุษยรัตน์ หรือ พระแก้วขาวองค์นี้ ได้ถูกอัญเชิญมายังกรุงเทพในสมัยรัชกาลที่ ๒ ต่อมาได้รับพระราชทานนามจากรัชกาลที่ ๔ ว่า “พระพุทธบุษยรัตน์จักรพรรดิพิมมณีมัย” ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่พระที่นั่งอัมพรสถาน
ตำนานของพระพุทธบุษยรัตน์องค์นี้กล่าวว่า มีผู้พาหนีภยันตรายไปซ่อนไว้ในถ้ำเขาส้มป่อยนายอน เมืองนครจำปาศักดิ์ ต่อมามีพราน ๒ คน ชื่อ พรานทึง และพรานเทิงไปพบพระแก้วนี้อยู่ในถ้ำ ต่อมาเจ้าไชยกุมาร เจ้านครจำปาศักดิ์ได้นำพระแก้วมาประดิษฐานในวิหารเป็นที่สักการะบูชาของคนในนครจำปาศักดิ์
จนกระทั่งในปี พ.ศ.๒๓๕๔ เมื่อรัชกาลที่ ๒ ได้โปรดให้ข้าหลวงไปปลงศพ เจ้าพระยาวิชัยราชขัตติยะวงศาฯ (ท้าวฝ่ายหน้า) เจ้านครจำปาศักดิ์ ข้าหลวงได้เห็นพระแก้วขาวองค์นี้ ท้าวพระยาเมืองนครจำปาศักดิ์จึงกราบบังคมทูลฯ ถวายพระพุทธแก้วผลึกนี้
พระพุทธบุษยรัตน์ วัดมหาธาตุ ยโสธร และปืนนางป้อง จึงมีประวัติเพียงสั้นๆ ว่าได้รับพระราชทานจากรัชกาลที่ ๓ เนื่องจากความดีความชอบในการร่วมรบในสงครามเจ้าอนุวงศ์
เรื่องสุดท้ายเรื่องที่สี่ คือ เรื่องเจ้าเมืองนครพนม และเจ้าเมืองหนองคาย
ภายหลังจากการสู้รบในสงครามเจ้าอนุวงศ์แล้ว มีผู้เข้าร่วมการสู้รับที่เป็นคนเมืองยโสธร ได้รับความดีความชอบให้ไปเป็นเจ้าเมืองถึง ๒ แห่งด้วยกัน คือ เมืองนครพนม และเมืองหนองคาย โดยท้าวฝ่ายบุตร นอกจากจะได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระสุนทรราชวงศา เจ้าเมืองยโสธรแล้วยังได้ให้ไปเป็นเจ้าเมืองนครพนม พร้อมกันอีกแห่งหนึ่ง ดังปรากฎใน พงศาวดารเมืองยโสธร ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๗๐ ได้ บันทึกไว้ว่าภายหลังจากที่ เจ้าพระยาราชสุภาวดี ได้จับตัวเจ้าอนุวงศ์และคุมตัวลงไปยังกรุงเทพฯ แล้ว
“... เจ้าพระยาราชสุภาวดี จึงโปรดให้ท้าวฝ่ายบุตรเจ้านครจำปาศักดิ์ เป็นที่พระสุนทรราชวงศ์เจ้าเมือง ให้ท้าวแพง บุตรพระปทุมเป็นที่อุปฮาด ท้าวสุตตา เป็นราชวงศ์ ท้าวอิน เป็นราชบุตร คุ้มครองยโสธร แล้วเห็นว่าพระสุนทรมีความชอบมาก โปรดประทานครัวที่รบมาได้ ให้พระสุนทร ๕๐๐ ครัว และให้เป็นเจ้าเมืองทั้ง ๒ คือเมืองยโสธร นครพนม ครั้นเจ้าพระยาราชสุภาวดี กลับเข้าไปกรุงเทพฯ พระสุนทรฯ จึงให้อุปฮาดแพง เป็นผู้ว่าราชการแทนอยู่ ณ เมืองยโสธร พระสุนทร เลยขึ้นไปจัดการ อยู่เมืองนครพนมประมาณ ๖-๗ ปี...”
ในการยกกำลังไปทำการสู้รบที่เมืองเวียงจันทน์ ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๗๐ พงศาวดารเมืองยโสธร ได้มีการบันทึกไว้ว่าได้มีการนำกำลังจากเมืองยโสธรไปร่วมการสู้รบ ดังที่มีปรากฏชื่อ อุปฮาดบุตร ท้าวฝ่าย ท้าวคำ ท้าวสุวอ
ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๗๐ ประวัติท้าวสุวอ เจ้าเมืองหนองคาย บันทึกไว้ว่า เดิมท้าวสุวอ เป็นบุตรอัครฮาดเมืองยโสธร เป็นหลานเจ้าเมืองจำปาศักดิ์คนเก่าอยู่เมืองยโสธร(เจ้าพระยาวิชัยราชขัตติยะวงศาฯ)
ในสงครามเจ้าอนุวงศ์ เจ้าพระยาบดินทรเดชาได้ยกกองทัพไปตีเมืองเวียงจันทน์ได้เอาท้าวสุวอไปด้วย ภายหลังเสร็จสงคราม ได้มีการยกบ้านไผ่ ขึ้นเป็นเมืองหนองคาย และได้ตั้ง ท้าวสุวอเป็น พระปทุมเทวาภิบาล เจ้าเมืองหนองคายคนแรก ให้ราชบุตรเมืองยโสธรเป็นอุปฮาดเมืองหนองคาย ท้าวพิมพ์ น้องชายพระประทุมฯ เป็นราชวงศ์ และ ท้าวบิดา หลานพระประทุมฯ เป็นราชบุตรเมืองยโสธรกับเมืองหนองคายจึงมีความเกี่ยวโยงกัน
จากเหตุการณ์สงครามเจ้าอนุวงศ์นี้จะเห็นได้ว่า เมืองยโสธรมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องและคนเมืองยโสธรมีส่วนร่วมในการสู้รบค่อนข้างมาก และผลพวงจากเหตุการณ์มีความเชื่อมโยงกับสถานที่ต่างๆ ในเมืองยโสธรมาจนถึงปัจจุบัน
เชิงอรรถ
(๑) เมื่อตอนเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธรได้คิดแคมเปญในการส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดยโสธร “๗ สิ่งหนึ่งเดียวในเมืองไทย” ที่ยโสธร ได้นำพระพุทธบุษยรัตน์เป็นหนึ่งเดียวในประเทศไทยด้วยเนื่องจากเป็นพระพุทธรูปประจำเมืองที่มีขนาดเล็กที่สุดในประเทศไทย
หนังสือที่ใช้ในการเรียบเรียง
๑.อานามสยามยุทธ ว่าด้วยการสงครามระหว่างไทยกับลาว เขมรและญวน ก.ศ.ร.กุหลาบ คัดลอกจากบันทึกรายงานของเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) มาจัดพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ร.ศ.๑๒๒ (พ.ศ.๒๔๔๖)
๒.ประชุมจดหมายเหตุเรื่องปราบกบฏเวียงจันท์ พิมพ์เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๓
๓.พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค)
๔.พงศาวดารเมืองยโสธร ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๗๐ เขียนในปี ร.ศ.๑๑๖ หรือ พ.ศ.๒๔๔๐
๕.พงศาวดารภาคอีสาน ฉบับพระสุนทรราชเดช (แข้ ประทุมชาติ) กรมพิเศษ จังหวัดอุบลราชธานี
เขียนหลังปี พ.ศ.๒๔๕๖
๖.พงศาวดารเมืองยโสธร ฉบับ พระญานรักขิต (ใจ ยโสธรัตน์) พิมพ์เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๑

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา