10 ก.พ. เวลา 10:22 • ประวัติศาสตร์

ขุนโจรเหลียงซาน 208 ต้าเหลียวสามิภักดิ์

เจ้าฟ้าต้าเหลียวเรียกประชุมขุนนางหารือเรื่องสามิภักดิ์
เสนาบดีขวาราชครูฉู่เจียนทูลว่า
“ขณะนี้ เมืองเราขาดแคลนกำลังทหาร ขุนพลเหลืออยู่น้อยนัก จักสู้รบต่อไปเห็นเหลือกำลัง กระหม่อมใคร่ขออาสาไปยังค่ายแม่ทัพหน้าซ่ง หาทางติดสินบนอย่างเต็มที่ ก่อนอื่นเพื่อให้พักรบ อีกด้านหนึ่งเตรียมของกำนัลล้ำค่าไปยังกรุงตงจิง วิ่งเต้นทางเหล่าขุนนางผู้ใหญ่ให้เพ็ดทูลองค์โอรสสวรรค์
ไฉ้จิง ถงก้วน เกาฉิว หยางเจี่ยน สี่คนนี้กุมอำนาจในราชสำนัก ฮ่องเต้เด็กน้อยทรงเชื่อฟังทั้งสี่ยิ่งนัก หากติดสินบนสี่คนนี้ได้ คงรับการสามิภักดิ์ ยอมสงบศึกแล้วถอยทัพกลับไป”
หลางจู่ทรงมีพระบรมราชานุญาต
วันรุ่งขึ้น ราชครูฉู่เจียนออกจากเมืองมาพบซ่งเจียงยังค่าย ซ่งเจียงถามเจตนาที่มาพบ ฉู่เจียนประเดิมกล่าวเรื่องสามิภักดิ์ แล้วเสนอทรัพย์สินจำนวนมากแก่ซ่งเจียง
ซ่งเจียงกล่าวว่า “ข้าเข้าตีเมืองของท่านมาหลายวัน ไม่ห่วงว่าจะตีไม่แตก อย่างไรก็ต้องขุดรากถอนโคนให้สิ้น ท่านชักธงยอมจำนน จึงได้หยุดพักการโจมตี อันการศึกนั้น การขอสวามิภักดิ์เป็นเรื่องปกติ ที่พักรบก็เพื่อให้ท่านได้ไปยังราชสำนักแสดงเจตนาสามิภักดิ์ขอรับโทษ ท่านกลับมาติดสินบนข้า ดูหมิ่นซ่งเจียงเป็นคนเช่นไร อย่าได้กล่าวอีก”
ฉู่เจียนหวาดหวั่น ซ่งเจียงจึงว่า “ให้ท่านแก้ตัวโดยรีบไปยังราชสำนักกราบทูลขอพระบรมราชวินิจฉัย ทางนี้ข้าจะไม่เข้าโจมตี รอท่านรีบกลับมา ท่านอย่าได้ชักช้าเสียเวลาต่อไป”
ฉู่เจียนอำลาซ่งเจียง แล้วรีบกลับมาเพ็ดทูลองค์เหนือหัว วันรุ่งขึ้นทางเมืองเหลียวจัดเตรียมบรรณาการสิบคันรถ ให้ฉู่เจียนและขุนนางสิบห้านายกำกับมา ทหารม้าสามสิบนาย อัญเชิญพระราชสาส์นขออภัยโทษ มายังค่ายซ่งเจียง ซ่งเจียงนำคณะเข้าพบเจ้าซูมี่ 赵枢密
“เมืองเหลียวส่งท่านเสนาบดีฉู่เจียนเป็นทูตเพื่อไปยังราชสำนัก ขอพระราชทานอภัยโทษและยอมสามิภักดิ์”
เจ้าซูมี่หารือกับซ่งเจียงแล้ว ให้จัดคณะเดินทางไปกับคณะทูตโดยมีไฉจิ้น เซียวย่างเป็นผู้นำคณะทูตเดินทางมายังกรุงตงจิงโดยไม่ได้แวะเวียนที่ไหนระหว่างทาง พอมาถึง จัดให้คณะทูตเข้าพักยังเรือนรับรอง ไฉจิ้น เซียวย่างเข้ารายงานต่อกรมการกงสุล
“ทหารของเราเข้าล้อมกรุงเอี้ยนจิง 燕京 ใกล้จะแตกอยู่ในไม่ช้า หลางจู่แห่งเมืองเหลียวชักธงยอมจำนน ให้เสนาบดีราชครูฉู่เจียนมาเจรจาอ่อนน้อมขอพระราชทานอภัยโทษสามิภักดิ์ ขอให้ยุติศึก ทางกองทัพมิอาจตัดสินใจเองโดยพลการ จึงได้มาขอพระบรมราชานุญาต”
เสนาบดีกรมการเป็นพวกเดียวกับไฉ้จิง ถงก้วน เกาฉิว หยางเจี่ยน ละโมบผลประโยชน์เช่นเดียวกัน ราชครูฉู่เจียนก็วิ่งเต้นหาทางเข้าพบทั้งสี่ ติดสินบนเต็มที่
เช้าวันรุ่งขึ้น ในโถงว่าราชการเช้า ซูมี่สื่อถงก้วนกราบทูลว่า
“แม่ทัพหน้าซ่งเจียงบุกเมืองเหลียว จนเข้าล้อมกรุงเอี้ยนจิง ใกล้จะแตกอยู่ในไม่ช้า หลางจู่แห่งเมืองเหลียวชักธงยอมจำนน ให้เสนาบดีฉู่เจียนเป็นทูตมาขอสามิภักดิ์ ยอมตนเป็นข้าในพระองค์ ขอทรงพระราชทานอภัยโทษ และมีพระราชโองการให้ถอนทัพกลับ จักยินยอมถวายบรรณาการทุกปีมิให้บกพร่อง ขอได้โปรดมีพระราชวินิจฉัย”
โอรสสวรรค์ตรัสว่า “การเจรจาสันติ ขอสงบศึกนี้ พวกท่านเหล่าขุนนางมีความเห็นเช่นไร”
ราชครูไฉ้จิงกราบทูลว่า “พวกกระหม่อมเหล่าข้าราชบริพารมีความเห็นว่า นับแต่โบราณมา อนารยชนทั้งสี่ทิศมีมิเคยสิ้น พวกกระหม่อมเห็นว่า หากได้เมืองเหลียวมาเป็นฉากกันภัยทางทิศเหนือ ทั้งยังมีบรรณาการมาทุกปี นับเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองเป็นอย่างยิ่ง จึงสมควรอภัยโทษรับการสวามิภักดิ์ ถอนทัพกลับมา ควรมิควร สุดแต่ฝ่าบาทจะทรงวินิจฉัย”
โอรสสวรรค์ทรงอนุมัติ ตรัสเรียกให้นำทูตมาเข้าเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์ ฉู่เจียนถวายพระราชสาส์นของหลางจู่ต่อฮ่องเต้ ราชเลขาเปิดออกอ่านด้วยเสียงอันดังว่า
“เยลวี่ฮุย 耶律辉 ราชบริพารประมุขแห่งเหลียวกราบบังคมทูลว่า กระหม่อมถือกำเนิดในดินแดนทะเลทรายทางภาคเหนือ เติบใหญ่ในอนารยประเทศ ขาดความรู้ในคัมภีร์ของเหล่านักปราชญ์ ย่อหย่อนการศึกษาขนบธรรมเนียมอันควรมิควร อวดอ้างภูมิความรู้แลฝีมือ บริวารที่มีล้วนเป็นพวกโลภโมโทสัน คับแคบรู้น้อย กระหม่อมโง่งม ขุนนางป่าเถื่อน จึงได้บังอาจล่วงรุกชายแดนจนต้องทรงส่งกองทัพสวรรค์มาสั่งสอน เป็นที่ลำบากแก่รี้พล
สำนึกได้ว่า มดปลวกที่เชิงเขาหาญเขย่าไท่ซาน สายธารทุกสายล้วนไหลสู่ทะเลใหญ่ บัดนี้ ได้ให้ฉู่เจียนเป็นทูตมารบกวนเบื้องพระบาทขอพระราชทานอภัยโทษ ขอทรงแผ่พระบารมีเมตตาแก่ชีวิตในดินแดนอันแร้นแค้น อย่าให้สูญสิ้นมรดกอันตกทอดจากบรรพบุรุษ ขอทรงอภัยในหนหลัง ให้เริ่มต้นใหม่อยู่เป็นฉากกันภยันตรายแก่ราชวงศ์สวรรค์จากเหล่าอนารยชนเผ่าหยงตี๋ 戎狄 สืบไปชั่วลูกหลาน ขอให้สัตยาบันว่าจะไม่คืนคำ พวกกระหม่อมจึงการบังคมทูลมาด้วยความคร้ามเกรงเป็นที่ยิ่ง
ปีเซวียนเหอที่สี่ เดือนเหมันต์ วันที่…
เยลวี่ฮุย ราชบริพารประมุขแห่งเหลียว”
ซ่งฮุยจงโอรสสวรรค์ 徽宗天子 ทรงสดับฟังสาส์นจบ เหล่าขุนนางถวายพระพร โอรสสวรรค์ทรงพระราชทานสุราแก่คณะทูต เสนาบดีฉู่เจียนถวายบรรณาการ โอรสสวรรค์ทรงรับเข้าท้องพระคลัง แล้วรับสั่งให้จัดสิ่งของพระราชทานตอบแทน ให้กวงลู่สื้อ 光禄寺 จัดเลี้ยงคณะทูตตามธรรมเนียม แล้วทรงมีรับสั่ง
“เสนาบดีฉู่เจียนและคณะจงกลับไปก่อน ข้าจะแต่งตั้งข้าหลวงไปรับการสวามิภักดิ์” แล้วทรงเสด็จขึ้น
ฉู่เจียนเดินสายผูกสัมพันธ์ขุนนางผู้ใหญ่ต่อ
ไฉ้จิงกล่าวแก่ฉู่เจียนว่า “ท่านเสนาบดีจงกลับไปก่อน ที่เหลือไว้เป็นภาระพวกข้าทั้งสี่เอง”
ฉู่เจียนขอบคุณราชครู แล้วอำลากลับเมืองเหลียว
เช้าวันรุ่งขึ้น ไฉ้จิงกราบทูลเรื่องเมืองเหลียวสวามิภักดิ์ โอรสสวรรค์ทรงเห็นชอบแล้วให้ราชเลขาร่างพระราชโองการ และแต่งตั้งไท่เว่ยซู่หยวนจิ่ง 宿元景 เป็นผู้อัญเชิญพระราชโองการอักษรชาดไปอ่านที่เมืองเหลียว และยังมีพระราชโองการไปยังเจ้าซูมี่ให้สั่งการให้แม่ทัพหน้าซ่งสงบศึกและถอนทัพกลับกรุง ให้ปล่อยเชลยที่จับได้ทั้งหมด คืนเมืองที่ยึดมาได้กลับไปให้เหลียวดูแล รวมทั้งคลังแสงที่ยึดไว้ได้ แล้วทรงเสด็จขึ้น
ซู่ไท่เว่ยได้รับมอบหมายให้เป็นผู้อัญเชิญพระราชโองการก็มิได้รอช้า ทูลลาโอรสสวรรค์แล้วออกเดินทางพร้อมไฉจิ้นและเซียวย่างมาทางสถานีสะพานเฉินเฉียว 陈桥驿 มุ่งมายังชายแดน ขณะนั้นเป็นกลางฤดูหนาว เมฆบนท้องฟ้าเป็นสีแดง แผ่นดินปกคลุมด้วยหิมะสีเงิน ซู่ไท่เว่ยรอนแรมมากลางหิมะจนใกล้ถึงชายแดน ไฉจิ้น เซียวย่างจึงส่งม้าเร็วเร่งเดินทางไปแจ้งแก่เจ้าซูมี่และแม่ทัพหน้าซ่งให้ทราบก่อน
ซ่งเจียงได้รับรายงาน จึงนำสุรามารอต้อนรับขบวนของซู่ไท่เว่ยห่างจากค่ายห้าสิบลี้ แล้วนำทางมายังค่าย จัดเลี้ยงรับรองแล้วสนทนากันถึงเรื่องทางราชสำนัก ซู่ไท่เว่ยว่า ทางกรมการ กับพวกไฉ้จิง ถงก้วน เกาฉิว หยางเจี่ยนต่างได้รับสินบนจากเมืองเหลียว จึงกราบทูลรับรองต่อเบื้องพระพักตร์ให้ยอมรับการสามิภักดิ์ สงบศึกและถอนทหารกลับ
ซ่งเจียงฟังแล้วทอดถอนใจว่า “มิใช่ว่าผู้แซ่ซ่งตำหนิราชสำนัก ผลงานที่ทำมาถึงบัดนี้ กลับกลายเป็นสูญเปล่า”
ซู่ไท่เว่ยว่า “ท่านแม่ทัพหน้าอย่าได้กังวล หยวนจิ่งกลับถึงราชสำนัก จะเพ็ดทูลรับรองต่อเบื้องพระพักตร์”
เจ้าซูมี่ว่า “ข้าจะขอเป็นพยานรับรอง จะปล่อยให้ผลงานใหญ่ของท่านแม่ทัพสูญเปล่าได้อย่างไร”
ซ่งเจียงว่า “พวกข้าน้อยทั้งร้อยแปดคนทุ่มเทเพื่อบ้านเมือง หาได้มีใจเป็นอื่น มิได้หวังพระราชทานสิ่งใดอย่างยิ่งยวด เพียงขอให้เหล่าพี่น้องได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าก็นับว่าเป็นโชค หากซูเซี่ยงท่านจะกรุณาเป็นธุระ ก็จักเป็นพระคุณยิ่ง”
จากนั้นจึงจัดส่งคนไปแจ้งแก่ทางเมืองเหลียวให้รอรับพระราชโองการ
วันรุ่งขึ้น ซู่ไท่เว่ยอัญเชิญพระราชโองการไปยังเมืองเหลียว ซ่งเจียงจัดสิบขุนพลสวมเสื้อแพรชุดเกราะทองคุ้มกันขบวน มีกวนเสิ้ง หลินชง ฉินหมิง ฮูหยันจว๋อ ฮวาหยง ต่งผิง หลี่อิ้ง ไฉจิ้น หลวี่ฟาง กวอเสิ้ง ทหารเกียรติยศสามพัน
ชาวกรุงเอี้ยนจิงพากันออกมาตั้งโต๊ะดอกไม้ธูปเทียนรายทาง เจ้าฟ้าเมืองเหลียวนำข้าราชบริพารออกจากเมืองมาทางประตูทิศใต้ รอรับพระราชโองการด้วยองค์เอง นำทางเข้ามายังตำหนักจินหลวนเตี้ยน 金銮殿 สิบขุนพลแยกยืนซ้ายขวา ซู่ไท่เว่ยยืนด้านซ้ายของศาลามังกร เจ้าฟ้าเหลียวและข้าราชบริพารคุกเข่าด้านหน้ากระทำคารวะ ราชเลขาเปิดพระราชโองการออกอ่าน
“ฮ่องเต้ต้าซ่งทรงดำริว่า สามจักรพรรดิตั้งระบอบการปกครอง ห้ากษัตริย์คัดเลือกผู้ทรงคุณสืบทอด แม้ในแผ่นดินภาคกลางมีประมุข แต่เหล่าอนารยชนไร้ผู้นำ
บัดนี้ เมืองเหลียวของท่านไม่เคารพมติสวรรค์ รุกล้ำชายแดนหลายครั้ง เป็นเหตุอันควรกำจัดให้สิ้นภัย เจิ้นเมตตาเห็นแก่ที่ท่านแสดงความสำนึกผิด จึงมิคิดกวาดล้าง ยังคงให้ดำรงความเป็นรัฐ โองการนี้มาถึงวันใด ให้ปล่อยเชลยที่จับได้กลับสู่มาตุภูมิ หัวเมืองที่ยึดมาได้คืนให้รัฐท่านคงกำกับดูแล
บรรณาการให้จัดส่งมาทุกปีอย่าได้มีขาด เคารพรัฐหลวง บวงสรวงฟ้าดิน คือหน้าที่ที่ประเทศราชพึงมี
ปีเซวียนเหอที่สี่ เดือนเหมันต์ วันที่…”
จบพระราชโองการ หลางจู่นำข้าราชบริพารคารวะขอบพระมหากรุณาธิคุณ อัญเชิญพระราชโองการประดิษฐานบนศาลามังกร ปฏิสันถารกับซู่ไท่เว่ย จัดเลี้ยงคณะทูต แสดงมหรสพมโหรี แล้วส่งกลับที่พัก
วันรุ่งขึ้น ฉู่เจียนมายังค่ายเชิญเจ้าซูมี่และแม่ทัพหน้าซ่งเข้ากรุงเอี้ยนจิงรับพระราชทานเลี้ยง ซ่งเจียงและเสนาธิการอู๋ย่งไม่ไป คงเข้าเมืองไปแต่เจ้าซูมี่ร่วมรับพระราชทานเลี้ยงกับซู่ไท่เว่ย หลังงานเลี้ยง หลางจู่พระราชทานของกำนัลมีค่าเป็นอันมากแก่เจ้าซูมี่ และซู่ไท่เว่ย
วันที่สาม หลางจู่ทรงให้ฉู่เจียนมาส่งเจ้าซูมี่ ซู่ไท่เว่ยถึงค่าย พร้อมทั้งนำวัวแพะและม้า เงินทองแพรพรรณมากำนัลแก่แม่ทัพหน้าซ่งด้วย
1
ซ่งเจียงให้ปล่อยตัวองค์หญิงเทียนโซ่วและเหล่าเชลยกลับเมือง พร้อมทั้งคืนหัวเมืองที่ยึดได้อันมี ถานโจว จี้โจว ป้าโจว อิวโจวสู่เมืองเหลียวดังเดิม
ซ่งเจียงตระเตรียมขบวนทัพส่งเจ้าซูมี่เดินทางกลับ จากนั้นให้ไปเชิญสองเสนาบดีเมืองเหลียว อิวซีเป้ยจิ่น 幽西孛瑾 และฉู่เจียน 褚坚 มายังค่าย กำชับเรื่องให้เมืองเหลียวรักษาสัตย์ไม่รุกรานซ่ง มิฉะนั้นจะยกทัพมาปราบใหม่
ซ่งเจียงให้ช่างศิลาทำศิลาจารึกการทำสัตยาบันไม่รุกรานกันระหว่างซ่งกับเหลียวที่เขาเหมาซาน 茅山 ห่างจากอำเภอหย่งชิง 永清县 ไปทางตะวันออกสิบห้าลี้ ให้เซียวย่างแต่งคำ จินต้าเจียนสลักเอาไว้เป็นอนุสรณ์ ศิลาจารึกยังคงอยู่จนปัจจุบัน
每闻胡马度阴山,恨杀澶渊纵虏还。
谁造茅山功迹记,寇公泉下亦开颜。
คราใดแว่วม้าด้าวข้ามอินซาน
แค้นคราปล่อย เชลยฉานยวน รบราใหญ่
ใครจำหลัก จารึก เหมาซานไว้
โค่วกงในปรโลกแช่มชื่นบาน
(อินซาน 阴山 เทือกเขาในเขตมองโกเลียใน ตอนเหนือสุดของโค้งแม่น้ำเหลือง (หวงเหอ) เป็นเหมือนเขตแดนธรรมชาติของจีนในยุคโบราณ)
(สัตยาบันฉานยวน 澶渊之盟 ซ่งกับเหลียวทำสัตยาบันไม่รุกรานกันที่ฉานยวนในปี ค.ศ. 1005 ณ เมืองฉานยวน 澶渊郡 ชื่อเก่าของ 澶州 มีศิลาจารึกเป็นหลักฐานที่เขาเหมาซาน 茅山
โค่วกง 寇公 คือ โค่วจุ่น 寇准 เสนาบดีซ่งผู้เพ็ดทูลพระเจ้าซ่งเจินจงให้บุกเหลียวที่รุกรานซ่งจนต้องย้ายเมืองหลวง ซ่งเป็นฝ่ายได้ชัย จนทำสัตยาบันฉานยวน
สัตยาบันนี้ทำในสมัยพระเจ้าซ่งเจินจง คนละช่วงเวลากับในท้องเรื่องสุยหู่ ผู้ประพันธ์จับเอามาเป็นผลงานซ่งเจียง)
ซ่งเจียงให้จัดทัพเป็นห้ากอง เตรียมเดินทางกลับต้าซ่ง
ตอนก่อนหน้า : อัมพรถล่ม
ตอนถัดไป : ปุจฉาวิสัชนาที่เขาอู่ไถ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา