Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
สุขภาพดีไม่มีในขวด
•
ติดตาม
เมื่อวาน เวลา 06:04 • สุขภาพ
**บทความทางการแพทย์: ปวดฟันต้องทำอย่างไร**
อาการปวดฟันเป็นปัญหาพื้นฐานที่หลายคนอาจเคยประสบ แต่ในบางครั้งก็สามารถส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างมาก การรับมือกับอาการปวดฟันอย่างถูกต้องและทันท่วงทีจะช่วยลดความรุนแรงของอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจตามมา บทความนี้จะอธิบายถึงสาเหตุ การดูแลเบื้องต้น และแนวทางในการรักษาอาการปวดฟัน
---
## 1. สาเหตุของอาการปวดฟัน
1. **ฟันผุ (Tooth Decay)**
ฟันผุเกิดจากการสะสมของคราบจุลินทรีย์และแบคทีเรียที่สร้างกรดทำลายโครงสร้างฟัน หากมีรูผุลึกถึงชั้นเนื้อฟันหรือตัวประสาทฟัน จะทำให้เกิดอาการปวดรุนแรง
2. **เหงือกอักเสบ (Gingivitis) หรือปริทันต์อักเสบ (Periodontitis)**
เกิดจากการติดเชื้อหรือการอักเสบที่เหงือกและเนื้อเยื่อรอบ ๆ ฟัน ถ้าการอักเสบลุกลามมากอาจทำให้มีอาการปวด บวม และเลือดออกบริเวณเหงือก
3. **ฟันคุด (Impacted Tooth)**
ฟันคุด (โดยเฉพาะฟันกรามซี่สุดท้าย) อาจขึ้นไม่ตรงตำแหน่ง หรือขึ้นมาได้ไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดการอักเสบ บวม และปวด
4. **การบาดเจ็บหรือการแตกหักของฟัน**
การถูกกระแทกหรือการเคี้ยวของแข็งอาจทำให้ฟันแตก หัก หรือแตกร้าว (Cracked Tooth) ซึ่งทำให้รู้สึกเจ็บปวดหรือเสียวฟัน
5. **อาการเสียวฟัน (Tooth Sensitivity)**
สัมผัสเย็น ร้อน หวาน หรือน้ำหนักกดจากการเคี้ยว สามารถกระตุ้นให้อาการปวดหรือเสียวฟันแสดงออก โดยเฉพาะในผู้ที่มีเหงือกร่นหรือเคลือบฟันสึกกร่อน
6. **ปัญหาอื่น ๆ**
เช่น การติดเชื้อในช่องปาก โรคระบบประสาทขากรรไกร หรือแม้แต่อาการปวดที่ร้าวจากข้อต่อขากรรไกร (TMJ Disorders) ก็อาจทำให้รู้สึกเหมือนปวดฟัน
---
## 2. การดูแลเบื้องต้นเมื่อปวดฟัน
1. **ทำความสะอาดช่องปาก**
- บ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่น ๆ หรือน้ำยาบ้วนปากที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพื่อช่วยลดแบคทีเรีย
- แปรงฟันเบา ๆ โดยเฉพาะบริเวณที่ปวด เพื่อไม่ให้สิ่งตกค้างหรืออาหารติดซอกฟัน
2. **ประคบเย็น**
หากมีอาการบวมหรือปวดมาก การใช้ผ้าห่อน้ำแข็งหรือเจลประคบเย็น ประคบบริเวณแก้มหรือขากรรไกรด้านที่ปวด ประมาณ 15-20 นาทีต่อครั้ง จะช่วยลดปวดและลดบวม
3. **ใช้ยาแก้ปวดเบื้องต้น**
หากไม่ได้แพ้ยาและไม่มีข้อห้ามทางการแพทย์ สามารถใช้ยาแก้ปวดกลุ่มพาราเซตามอล (Paracetamol) หรือยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) เพื่อลดอาการปวดและอักเสบตามความเหมาะสม ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา
4. **หลีกเลี่ยงการเคี้ยวของแข็งหรือเหนียว**
เพื่อไม่ให้เพิ่มแรงกดหรือทำให้ฟันที่ปวดเจ็บมากขึ้น ควรเลือกรับประทานอาหารอ่อน ๆ และเคี้ยวด้านที่ไม่ปวด
---
## 3. เมื่อใดที่ควรพบทันตแพทย์ทันที
1. **ปวดฟันรุนแรงต่อเนื่อง**
หากอาการปวดไม่ทุเลาลงภายใน 1-2 วัน หรือปวดรุนแรงถึงขั้นนอนไม่ได้ ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ ควรเข้าพบทันตแพทย์
2. **มีอาการบวม แดง อักเสบ หรือมีหนอง**
หากสังเกตเห็นว่ามีอาการบวมบริเวณเหงือกหรือใบหน้า รวมถึงมีหนองไหล เป็นสัญญาณของการติดเชื้อที่อาจลุกลาม
3. **มีไข้หรืออ่อนเพลีย**
บ่งชี้ว่าอาจเกิดการติดเชื้อแบบรุนแรงขึ้น ควรเร่งพบแพทย์/ทันตแพทย์เพื่อประเมินและรักษาโดยเร็ว
4. **พบความผิดปกติอื่น ๆ**
เช่น ฟันโยก มีเลือดออกขณะแปรงฟันบ่อย ๆ หรือไม่แน่ใจว่าฟันหักหรือไม่ ควรตรวจสอบกับทันตแพทย์
## 4. แนวทางการรักษาโดยทันตแพทย์
1. **การอุดฟัน (Filling)**
กรณีฟันผุขนาดเล็กถึงปานกลาง ทันตแพทย์จะทำความสะอาดรอยผุและอุดปิดเพื่อป้องกันแบคทีเรียเข้าไปทำลายเนื้อฟัน
2. **การรักษารากฟัน (Root Canal Treatment)**
หากฟันผุลึกจนถึงโพรงประสาทฟัน หรือมีการอักเสบ/ติดเชื้อในรากฟัน ทันตแพทย์อาจพิจารณารักษารากฟัน เพื่อรักษาฟันไม่ให้ถูกถอน
3. **การถอนฟัน (Tooth Extraction)**
หากฟันเสียหายรุนแรง หรือไม่สามารถเก็บรักษาได้ การถอนฟันอาจเป็นทางเลือกสุดท้าย
4. **การผ่าฟันคุด (Impacted Tooth Surgery)**
ในกรณีฟันคุดขึ้นผิดตำแหน่ง หรือทำให้เกิดการอักเสบ เป็นหนอง หรือทำลายฟันข้างเคียง ทันตแพทย์จะพิจารณาผ่าตัดเอาฟันคุดออก
5. **การรักษาโรคเหงือกและปริทันต์**
- การขูดหินปูนและเกลารากฟัน (Scaling & Root Planing) เพื่อลดการอักเสบของเหงือก
- การดูแลรักษาทางศัลยกรรมปริทันต์ หากมีภาวะโรคปริทันต์รุนแรง
6. **การแก้ไขแนวสบฟันหรือปัญหาอื่น ๆ**
เช่น การเคลื่อนฟันผิดตำแหน่ง การบาดเจ็บจากการสบฟันที่ไม่ถูกต้อง ทันตแพทย์อาจพิจารณาการจัดฟันหรืออุปกรณ์ป้องกัน
---
## 5. การป้องกันอาการปวดฟัน
1. **รักษาความสะอาดช่องปากอย่างสม่ำเสมอ**
- แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง (เช้าและก่อนนอน) โดยใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์
- ใช้ไหมขัดฟันหรือแปรงซอกฟันเป็นประจำ เพื่อขจัดเศษอาหารตามร่องเหงือกและซอกฟัน
2. **หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารหวานและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง**
เพราะเป็นสาเหตุหลักของฟันผุและเหงือกอักเสบ
3. **เข้าพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำ**
แนะนำให้ตรวจฟันและขูดหินปูนทุก 6 เดือน หรืออย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล
4. **หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำร้ายฟัน**
เช่น การกัดของแข็ง การใช้ฟันเปิดฝาขวด หรือการใช้ฟันในลักษณะที่ไม่ถูกต้อง
5. **สังเกตอาการผิดปกติในช่องปาก**
หากมีอาการปวดฟัน เสียวฟัน เหงือกบวม หรือเลือดออกขณะแปรงฟัน ควรรีบปรึกษาทันตแพทย์
---
## 6. บทสรุป
อาการปวดฟันเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ เพราะนอกจากจะกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันแล้ว ยังอาจบ่งชี้ถึงปัญหาสุขภาพช่องปากที่รุนแรงกว่าที่คิด การดูแลเบื้องต้นอย่างเหมาะสม เช่น ทำความสะอาดช่องปาก ประคบเย็น และรับประทานยาแก้ปวดตามคำแนะนำ สามารถช่วยบรรเทาอาการได้ในระยะสั้น แต่หากอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการรุนแรง เช่น บวม แดง มีหนอง หรือปวดต่อเนื่อง ควรเข้าพบทันตแพทย์ทันทีเพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม
**คำแนะนำเพิ่มเติม**
- หากมีโรคประจำตัวหรือกำลังตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทานยาใด ๆ
- บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้เบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถทดแทนการวินิจฉัยหรือคำแนะนำจากแพทย์/ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ หากมีข้อสงสัยควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อรับการประเมินและรักษาอย่างถูกต้องตรงจุด
การดูแลสุขภาพช่องปากอย่างต่อเนื่องและการตรวจสุขภาพฟันเป็นประจำคือกุญแจสำคัญในการป้องกันอาการปวดฟันและโรคในช่องปากอื่น ๆ อย่าละเลยเมื่อเกิดสัญญาณผิดปกติ เพื่อรักษาสุขภาพฟันให้แข็งแรงและป้องกันปัญหาในระยะยาว!
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย