21 ก.พ. เวลา 06:58 • ธุรกิจ

ตอนที่ 4: VAT – ภาษีที่พิมต้องเผชิญ

(เมื่อพิมต้องเผชิญกับภาษีมูลค่าเพิ่มที่ไม่เคยเตรียมตัวมาก่อน)
พิมนั่งอ่านจดหมายจากกรมสรรพากรอีกครั้ง ใจเธอเต้นแรง
“ร้านของท่านเข้าเกณฑ์ที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โปรดดำเนินการภายใน 30 วัน”
"VAT อีกแล้วเหรอ?"
ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าแค่จัดบัญชีให้เรียบร้อยก็พอ แต่ตอนนี้กลับต้องเจอกับภาษีตัวใหม่ที่เธอแทบไม่เข้าใจ
เธอรีบโทรหาเอกทันที
“ใจเย็น ๆ นะครับคุณพิม” เอกปลอบเธอ “ผมอธิบายให้ฟังก่อนว่าภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร”
พิมสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วตั้งใจฟัง
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) คือภาษีที่คิดจากราคาสินค้าและบริการในอัตรา 7%
ถ้าร้านของพิมขายกาแฟแก้วละ 100 บาท เธอต้องบวกภาษี 7% เข้าไป ทำให้ราคากลายเป็น 107 บาท
“แต่ลูกค้าจะยอมจ่ายแพงขึ้นเหรอ?” พิมถามด้วยความกังวล
เอกพยักหน้า “นี่แหละครับปัญหาของธุรกิจขนาดเล็ก หลายร้านเลือกที่จะรวม VAT ไว้ในราคาเดิม นั่นหมายความว่าคุณจะต้องเสียภาษีเองโดยหักจากรายได้”
“หมายความว่า ถ้าฉันยังขายกาแฟแก้วละ 100 บาท ฉันต้องจ่ายภาษี 7 บาทจากเงินนั้น?”
“ใช่ครับ”
พิมถอนหายใจ กำไรของร้านเธอจะลดลงอีก!
“การจดทะเบียน VAT ไม่ได้แค่หมายความว่าคุณต้องจ่ายภาษีเพิ่มเท่านั้นนะครับ” เอกเตือน
“ยังมีอะไรอีกเหรอ?” พิมถามอย่างหวาด ๆ
เอกอธิบายต่อ
1. คุณพิมต้องออกใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ – ไม่ใช่แค่ใบเสร็จธรรมดาแล้ว แต่ต้องมีชื่อร้าน เลขประจำตัวผู้เสียภาษี และรายละเอียดอื่น ๆ ตามที่กฎหมายกำหนด
2. ต้องยื่นแบบภาษีทุกเดือน – ทุกวันที่ 15 ของเดือน พิมต้องยื่นภาษี VAT และส่งเงินให้กรมสรรพากร
3. สามารถขอคืนภาษีซื้อได้ – ถ้าพิมซื้อวัตถุดิบจากร้านที่จด VAT เธอสามารถขอคืนภาษีที่จ่ายไปได้
พิมขมวดคิ้ว "ภาษีซื้อ? ภาษีขาย? อะไรกันเนี่ย?"
เอกหยิบกระดาษออกมาแล้วเขียนตัวเลขให้พิมดู
ตัวอย่าง:
• พิมขายกาแฟได้เดือนละ 200,000 บาท → ต้องเสียภาษีขาย 7% (14,000 บาท)
• พิมซื้อวัตถุดิบ (เมล็ดกาแฟ นม น้ำตาล) รวม 50,000 บาท → มีภาษีซื้อ 7% (3,500 บาท)
VAT ที่ต้องจ่ายจริง = ภาษีขาย - ภาษีซื้อ
= 14,000 - 3,500
= 10,500 บาท
พิมเริ่มเข้าใจว่าภาษีซื้อช่วยลดภาระภาษีได้ แต่เธอก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก
เอกอธิบายว่าพิมมีสองทางเลือก
1. จด VAT และทำทุกอย่างให้ถูกต้อง – เธอจะต้องยื่นภาษีทุกเดือน และต้องปรับราคาให้ลูกค้าแบกรับ VAT หรือยอมเสียกำไรบางส่วน
2. คุมรายได้ไม่ให้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี – นั่นหมายความว่าเธอต้องจำกัดยอดขาย ไม่ให้ร้านโตเกินเกณฑ์
พิมนั่งเงียบไปครู่หนึ่ง
"เราควรจะเติบโต หรือควรจะอยู่ในโซนปลอดภัย?"
ถ้าเธอจด VAT เธออาจเสียลูกค้าบางส่วน เพราะต้องขึ้นราคา หรือเสียกำไรไปบางส่วน
แต่ถ้าเธอจำกัดยอดขาย ร้านของเธอจะไม่สามารถขยายกิจการได้
หลังจากคิดอยู่หลายวัน พิมตัดสินใจว่าเธอไม่อยากให้ร้านต้องหยุดเติบโต
"ฉันจะจด VAT และทำให้ร้านเติบโตไปเลย!"
แต่เธอจะไม่ยอมแบกรับภาษีไว้คนเดียว
เธอเริ่มคำนวณราคาขายใหม่ โดยเพิ่ม VAT 7% เข้าไป แต่ใช้วิธีลดต้นทุนบางส่วน เช่น หันไปใช้วัตถุดิบจากซัพพลายเออร์ที่มีราคาถูกลง
เธอยังหาวิธีเพิ่มมูลค่าให้สินค้า เช่น เพิ่มเมนูพิเศษ หรือจัดโปรโมชั่นเพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าราคาใหม่คุ้มค่า
บทเรียนสำคัญ
• ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องเจอเมื่อธุรกิจโตขึ้น
• การเข้าใจ ภาษีซื้อ-ภาษีขาย ช่วยให้เราคำนวณต้นทุนและกำไรได้ดีขึ้น
• การขึ้นราคาสินค้าเพื่อรวม VAT ต้องทำอย่างชาญฉลาด ไม่ให้ลูกค้ารู้สึกว่าแพงเกินไป
พิมรู้แล้วว่า ภาษีไม่ใช่เรื่องของคนรวย หรือธุรกิจใหญ่เท่านั้น
มันเป็นเรื่องของทุกคนที่อยากให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคง
แต่ปัญหาของพิมยังไม่จบ...
หลังจากจด VAT ได้ไม่นาน เธอได้รับจดหมายอีกฉบับจากกรมสรรพากร และครั้งนี้มันดูจริงจังกว่าเดิม!
โปรดติดตามตอนต่อไป: "เมื่อสรรพากรมาเยือน"
.
.
.
**ฝากกดหัวใจ กดติดตาม จะได้ไม่พลาดเรื่องราวในตอนต่อๆ ไป
โฆษณา