23 ก.พ. เวลา 06:21 • ปรัชญา
ในทางธรรมพระท่านว่าไว้แบบนี้ค่ะ
ตั้งแต่เกิดจนตาย
ร่างกายของเรามีสองสภาวะหลัก ๆ
คือ “ตื่น” กับ “หลับ”
.
จิตใจก็เช่นกัน
.
ร่างกายตื่นเมื่อได้รับแสงสว่าง
ส่วนจิตนั้นตื่นเมื่อมี “ความรู้” เกิดขึ้น
.
เราจึงมักเรียกสภาวะดังกล่าวว่า “ตื่นรู้”
.
ความรู้ที่ทำให้จิตตื่นนั้นมีหลายอย่าง 
อย่างแรกคือ “ความรู้ตัว”
.
เมื่อใดที่รู้ตัว
จิตก็หลุดจากความหลงที่ครอบงำ 
ไม่ว่าหลงเข้าไปในความคิด
หรือหลงไปติดอยู่ในอารมณ์
อาทิ ความโกรธ ความเกลียด ความเศร้า
.
ความหลงดังกล่าวสามารถบงการจิต
ให้ถลำลึกหรือจมดิ่งอยู่ในความทุกข์
ราวกับฝันร้ายในยามหลับใหล
.
แต่ทันทีที่รู้สึกตัว 
จิตก็พลันตื่น สดชื่น เบิกบาน
และโลกก็พลันสว่าง สดใส
ไม่หม่นหมองอีกต่อไป
.
ความหลงที่ครอบงำจิต
นอกจากความคิดและอารมณ์ที่ทำให้ลืมตัวแล้ว
ยังได้แก่มายาคติเกี่ยวกับชีวิตและโลก
.
เช่น  ความเชื่อว่าคนเราเกิดมา
เพื่อตักตวงความสุขใส่ตนให้มากที่สุด 
เงินทองและอำนาจคือสรณะของชีวิต 
ความยากจนเกิดจากบาปกรรมในอดีตชาติ  
ธรรมชาติและทรัพยากรทั้งหลายในโลก
มีเพื่อปรนเปรอความต้องการของมนุษย์สถานเดียว ฯลฯ
รวมทั้งอคติเกี่ยวศาสนา ชาติพันธุ์   
เพศสภาวะ วัฒนธรรม อุดมการณ์
ที่ทำให้เกิดความรังเกียจ
เหยียดหยามคนที่ต่างจากตน
.
ใครที่หลุดจากมายาคติดังกล่าว
เพราะมีความรู้หรือระบบคุณค่าอีกชุดหนึ่งที่ดีกว่ามาแทนที่
.
ย่อมเกิดอาการ “ตาสว่าง”
.
เสมือนตื่นจากหลับ
เพราะได้เห็นชีวิตและโลกต่างจากเดิม
ช่วยให้ดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่า เปี่ยมสุข
ไม่รู้สึกว่างเปล่าร้อนรุ่มดังแต่ก่อน 
รวมทั้งมีความสัมพันธ์ที่ราบรื่นเกื้อกูลกับผู้อื่น
และโลกภายนอกมากขึ้น
.
ความตื่นรู้หรืออาการตาสว่างดังกล่าวข้างต้น
เป็นความเปลี่ยนแปลงทางด้านทัศนคติหรือจิตสำนึก
.
ซึ่งอาศัยการใคร่ครวญ ไตร่ตรอง
หรือการใช้ความคิดเป็นสำคัญ
.
ขณะที่ความรู้ตัวนั้น
เป็นการตื่นรู้ที่มิได้เกิดจากความคิดหรือใคร่ครวญ
.
แต่เกิดจากการฝึกฝน
หรือความเปลี่ยนแปลงทางจิต
เช่น มีสติรู้ทันความคิดและอารมณ์
หรือมีสมาธิจนจิตตั้งมั่น
ไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ที่มากระทบ
.
ความรู้ประการที่สามก็คือ
ความรู้หรือการ “เห็นความจริง”
.
ความจริงที่ว่า
มิใช่ความจริงเกี่ยวกับโลกภายนอก
แต่เป็นความจริงเกี่ยวกับตนเอง 
ซึ่งแยกไม่ออกจากความจริงของสรรพสิ่ง
.
ความจริงชนิดนี้ไม่ได้เกิดจากการคิด
แต่เกิดจากการประจักษ์แจ้งด้วยใจ
ผ่านการพิจารณาหรือพินิจ
ความเป็นไปของกายและใจอย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งการรับรู้สรรพสิ่งรอบตัวด้วยใจที่เป็นกลาง
จนเห็นธรรมชาติของสิ่งเหล่านั้นตามความเป็นจริง
มิใช่ตามความอยาก
.
ความรู้หรือการเห็นความจริงดังกล่าว
ถึงที่สุดย่อมทำให้เกิดปัญญาสว่างโพลง
จิตกระจ่างแจ้งในสัจธรรม
ทำให้ตื่นอย่างแท้จริง
คือหลุดจากความหลงที่สำคัญที่สุด
อันได้แก่”อวิชชา”
.
ความตื่นรู้ดังกล่าว
ย่อมทำให้เส้นแบ่งระหว่างตัวฉันกับสรรพสิ่ง
มลายหายไป
.
ในด้านหนึ่งก็เพราะ “ตัวกู” นั้นหายไป
หรือพูดให้ถูกก็คือ
ไม่มีความยึดติดถือมั่นในตัวกูอีกต่อไป
.
ในอีกด้านหนึ่ง
ก็เห็นถึงความเชื่อมโยง
เป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง 
ไม่มีการแบ่งเขาแบ่งเรา
หรือแบ่งแยกเป็นมนุษย์ สัตว์
และธรรมชาติอีกต่อไป
.
สรรพสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียว
 ต่างกันก็แต่ชื่อเรียก
ซึ่งเป็นสมมุติเท่านั้น
.
แม้จะยังก้าวไม่ถึงความตื่นรู้ประการที่สาม
.
เพียงแค่ความตื่นรู้ประการแรก
คือ”ความรู้ตัว”
.
หากเกิดขึ้นกับเรา
อย่างน้อยก็ช่วยให้เห็นถึงความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างกายกับใจ
และระหว่างสมองกับหัวใจได้มากขึ้น
.
ขณะที่ความตื่นรู้ประการที่สอง
ย่อมส่งเสริมความเป็นหนึ่งเดียว
ระหว่างเรากับผู้อื่นได้มากขึ้น
นำไปสู่การร่วมมือและการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
แทนที่จะแข่งขัน หรือมุ่งเอารัดเอาเปรียบกัน
.
ความตื่นรู้นั้นมีชื่อเรียกต่างกัน
ถ้อยคำที่ใช้บรรยายสภาวะก็แตกต่างกันไปด้วย
จึงไม่ควรให้ความสำคัญกับถ้อยคำมากนัก
.
ขณะเดียวกันวิถีสู่ความตื่นรู้ก็มีมากมายหลายหลาก 
ดังเห็นได้จากเรื่องเล่าของ ๔๐ บุคคลในหนังสือเล่มนี้ 
ซึ่งล้วนมีภูมิหลัง ประสบการณ์ เพศ วัยที่แตกต่างกัน
.
สิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ 
หลายท่านสัมผัสกับภาวะตื่นรู้
หลังจากที่ประสบความทุกข์หรือวิกฤตในชีวิต
.
อาจเป็นเพราะความทุกข์
ทำให้เกิดการตั้งคำถามกับวิถีชีวิตที่ผ่านมา
.
รวมทั้งทัศนคติที่เคยยึดถือ
หรือเป็นเพราะความทุกข์
ผลักดันให้ต้องหาแสวงหาหนทางใหม่ ๆ
ที่เคยมองข้ามเมื่อครั้งยังมีความสุข
และความสำเร็จ
.
หรือเป็นเพราะความทุกข์นั้น
ทำให้หันมาใคร่ครวญตนเอง
จนเห็นเหตุแห่งทุกข์ว่า
.
แท้จริงแล้วอยู่ที่ใจของตนนี้เอง
ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย
ทำให้เห็นคำตอบว่า
จะหลุดจากทุกข์ได้
ต้องปรับเปลี่ยนแก้ไขที่ใจของตนเอง
ยิ่งกว่าอะไรอื่น
.
มองในแง่นี้ความตื่นรู้กับความทุกข์
จึงเป็นสิ่งที่แยกจากกันได้ยาก
.
ไม่ผิดหากจะกล่าวว่าไม่มีความทุกข์
ความตื่นรู้ก็ไม่เกิด
.
ดังท่านติช นัท ฮันห์ กล่าวไว้อย่างไพเราะว่า
  No Mud , No Lotus 
(ไม่มีโคลนตม ก็ไม่มีดอกบัว)
.
หวังว่าหนังสือเล่มนี้จะช่วยให้ผู้อ่าน
เห็นหนทางสู่ความตื่นรู้
รวมทั้งเกิดความเพียรในการปฏิบัติ
เพื่อสร้างความตื่นรู้ให้เกิดขึ้นแก่ตนในเร็ววัน
.
พระไพศาล วิสาโล
วันมหาปวารณา
๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๒
.
ขอบคุณคำถามที่ทำให้ได้ทบทวนตัวเองอีกครั้งค่ะ
โฆษณา