🧠 "Imagination is more important than knowledge." – คำพูดของไอน์สไตน์สะท้อนให้เห็นว่าเวลายามดึกของเขาไม่ใช่แค่การท่องจำ แต่เป็นช่วงเวลาที่เขาใช้จินตนาการสร้างกฎเกณฑ์ใหม่ให้กับโลก
ชาร์ลส์ ดิกเกนส์ คือนักเขียนผู้เลื่องชื่อในศตวรรษที่ 19 ที่ใช้ช่วงเวลากลางคืนเขียนนิยายที่สะท้อนสังคม 📜🌙 หนังสือของเขาอย่าง "Oliver Twist" และ "A Tale of Two Cities" ได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานวรรณกรรมคลาสสิก
✏️ คำกล่าวของดิกเกนส์: "No one is useless in this world who lightens the burdens of another." "ไม่มีใครไร้ค่าในโลกนี้ หากเขาสามารถช่วยแบ่งเบาภาระของผู้อื่นได้" ✨
🦉 ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 เจ.เค. โรว์ลิ่ง ต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก เธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงลูกในอพาร์ตเมนต์เล็กๆ ที่เอดินบะระ สกอตแลนด์ พร้อมกับปัญหาทางการเงินที่รุมเร้า แต่แทนที่จะยอมแพ้ เธอใช้เวลากลางคืนในร้านกาแฟและห้องพักเล็กๆ ของเธอเพื่อเขียน "Harry Potter and the Philosopher’s Stone" แม้จะถูกปฏิเสธจากสำนักพิมพ์ถึง 12 ครั้ง แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ จนในที่สุดสำนักพิมพ์ Bloomsbury ตัดสินใจตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้ในปี 1997
แม้ไฟในห้องของเธอจะดับลงหลายครั้งจากปัญหาทางการเงิน แต่เปลวไฟแห่งจินตนาการของเธอไม่เคยมอดดับ 🔥 วันนี้ Harry Potter กลายเป็นซีรีส์ที่ถูกแปลเป็น 80 ภาษา และมียอดขายมากกว่า 500 ล้านเล่มทั่วโลก ความมุ่งมั่นของโรว์ลิ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า "Burning the Midnight Oil" สามารถเปลี่ยนชีวิตและสร้างโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ได้จริง ✨
เจ.เค. โรว์ลิ่ง ผู้สร้างโลกเวทมนตร์แห่ง Harry Potter เริ่มต้นจากการเขียนหนังสือยามค่ำคืนท่ามกลางชีวิตที่ยากลำบาก จนกลายเป็นหนึ่งในนักเขียนที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลก
🌍 คนที่ "Burn the Midnight Oil" สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างไร?