12 เม.ย. เวลา 02:43 • หนังสือ

๒.ครูคนแรก

หลังจากเมิ่งผีถูกเพื่อน ๆ เยาะเย้ยรังแก เมิ่งผีก็สาบานว่าจะไม่ไปสำนักศึกษาอีกต่อไป แม้นเจิงจ้ายและมารดาจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่เป็นผล เจิงจ้ายรู้สึกจนปัญญาจึงถอนใจขึ้นว่า “เด็กคนนี้กำพร้าพ่อมาแต่เด็ก ทั้งยังเป็นคนพิการอีก ปมด้อยจึงมีไม่น้อย เอาเถอะ ! ให้เมิ่งผีอยู่ที่บ้านก็แล้วกัน นับแต่นี้ ข้าจะเป็นคนสอนหนังสือให้เอง ”
2
ครั้นมารดาของเมิ่งผีได้ฟัง ก็รู้สึกซาบซึ้งตื้นตันจนมิอาจบรรยาย
เจิงจ้ายเป็นสตรีที่เติบโตในครอบครัวที่แวดล้อมไปด้วยศิลปวรรณกรรม ดังนั้นจึงได้รับการอบรมศึกษามาแต่เยาว์วัย วิชาความรู้จึงนับว่าไม่น้อยหน้าใครในละแวกนั้น และนับแต่นั้นเป็นต้นมา เจิงจ้ายนอกจากต้องทำงานบ้านและเลี้ยงดูข่งชิวแล้ว นางยังต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการสอนหนังสือให้แก่เมิ่งผี แม้นว่าเมิ่งผีจะเป็นเด็กหัวช้า แต่นางก็ยังคงอบรมสอนสั่งเมิ่งผีด้วยความอดทน
3
เมิ่งผีได้รับการอบรมสอนสั่งจากเจิงจ้าย จึงทำให้วันเวลาเปี่ยมไปด้วยความสุขเสมอมา ด้วยความสำนึกในพระคุณ เมิ่งผีจึงเคารพเจิงจ้ายเป็นเหมือนมารดาอีกคนหนึ่ง ปกติจึงมักเรียกเจิงจ้ายว่าคุณแม่อย่างนั้น คุณแม่อย่างนี้ จนทำให้เจิงจ้ายรู้สึกชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก และนอกเหนือจากเวลาเรียนแล้ว เมิ่งผีก็ยังใช้เวลาเที่ยวเล่นกับข่งชิวอยู่เสมอ สองพี่น้องจึงมีความสนิทสนมรักใคร่กันเป็นอย่างมาก
จากนั้นไม่นาน พวกเขาต้องย้ายบ้านจากโจวอี้ไปที่ชวีฟู่ซึ่งเป็นถิ่นฐานบ้านเดิม อันเมืองชวีฟู่นั้นเป็นสถานที่ที่ทั้งเจริญและแออัดคับคั่งที่สุดในรัฐหลู่ ส่วนบ้านที่ย้ายไปอยู่ก็เป็นเพียงกระท่อมหญ้าที่ต่อกันไม่กี่หลัง ตัวบ้านมีระเบียงรูปทรงสี่เหลี่ยมตั้งอยู่ท่ามกลางแมกไม้อันร่มรื่นตามประสาชนบท หากนำไปเทียบกับถนนหนทางที่เจริญแล้ว สถานที่แห่งนี้จะมีความสงบร่มเย็น จนดูเหมือนเป็นมุมหนึ่งที่ถูกโลกทอดทิ้งไปอย่างไม่ไยดี แต่ทว่าสถานที่แห่งนี้ กลับเป็นสถานที่ที่นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่กำลังเจริญวัยอยู่
เมื่อข่งชิวอายุได้หกขวบ แววตาของข่งชิวดูหนักแน่นเป็นประกาย ร่างกายก็ดูสูงใหญ่กว่าเด็กในวัยเดียวกัน ดังนั้นสำหรับอาณาจักรกระท่อมหญ้าแห่งนี้จึงไม่อาจเป็นที่พึงใจแก่ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ได้อีก เพราะข่งชิวได้แต่ร้องขอไปเที่ยวนอกบ้านตลอดเวลา
ในวันนี้เป็นวันเทศกาลที่ตรงกับวันเหมายัน ตามจันทรคติ ซึ่งเป็นวันที่รัฐหลู่จะทำพิธีบูชาฟ้ากลางแจ้ง สำหรับพิธีบูชาฟ้ากลางแจ้งนี้จะเป็นมหาพิธีที่ดึงดูดความสนใจของชาวบ้านจนแห่มามุงดูเป็นจำนวนมาก
พิธีนี้จะมีความสำคัญที่สุดในหมู่พิธีทั้งหลาย หากเวลานั้นได้มีบุคคลสำคัญของรัฐถึงแก่อนิจกรรมและตรงกับวันมหาพิธี พิธีศพยังต้องเลื่อนหมายออกไป เพราะไม่ว่าใครก็ไม่มีอภิสิทธิ์ที่จะเลื่อนกำหนดวันมหาพิธีนี้ได้ทั้งสิ้น และสำหรับปะรำพิธีที่ใช้สำหรับบูชาฟ้าในครั้งนี้ ก็ได้กำหนดให้จัดขึ้นที่ด้านนอกของประตูเมืองทิศใต้ริมฝั่งแม่น้ำฉีสุ่ย
ยามอรุโณทัย ข่งชิวและพี่ชายเพิ่งจะตื่นนอน เจิงจ้ายก้าวเข้ามาพูดกับข่งชิวว่า “ข่งชิว เห็นลูกเอาแต่บ่นจะออกไปเที่ยวนอกบ้านมิใช่หรือ ? วันนี้เป็นวันบูชาฟ้ากลางแจ้ง ลูกจะลองไปขอให้พี่เมิ่งผีพาไปเที่ยวดีไหม ?”
ถึงแม้ข่งชิวจะไม่ทราบเลยว่าอะไรคือพิธีบูชาฟ้ากลางแจ้ง เพียงแค่ได้ยินว่ามารดาได้อนุญาตให้ออกไปเที่ยวได้เท่านั้น เด็กน้อยก็ถึงกับดีใจจนกระโดดโลดเต้นเสียแล้ว “ไชโย ! จะได้ออกไปเที่ยวแล้ว”
เจิงจ้ายเรียกเด็กทั้งสองมาทานข้าวเช้าให้เรียบร้อย หลังจากได้ใส่เสื้อผ้าเพิ่มให้กับเด็กทั้งสองเสร็จก็สั่งกำชับว่า “เมิ่งผี เจ้าเป็นพี่ เจ้ารู้อะไรได้ดีกว่า ฉะนั้นต้องนำน้องให้ดี ๆ นะ ข่งชิว พี่เจ้าเดินเหินไม่สะดวก ลูกต้องคอยดูแลพี่ของลูกด้วย อย่าเอาแต่เล่นอย่างเดียวล่ะ”
จิตใจของข่งชิวตอนนี้ได้ลอยล่องเหมือนนกที่โผบินออกนอกกรงจนไม่มีใครเหนี่ยวรั้งไว้ได้อีกแล้ว
เมืองหลวงของรัฐหลู่กว้างขวางใหญ่โต ลำพังแค่ถนนที่ตัดขนานในทิศตะวันออกไปสู่ทิศตะวันตกก็มีจำนวนถึง ๑๑ สายใหญ่ ส่วนถนนที่ตัดเป็นแนวฉากจากทิศเหนือไปสู่ทิศใต้ก็เป็นจำนวนถึง ๗ สายใหญ่ ซึ่งถนนเหล่านี้ได้ตัดสานกันไปมา เฉพาะถนนสายที่กว้างที่สุดก็มีความกว้างถึง ๖ จั้งกว่า ส่วนร้านขายของที่เปิดเรียงรายอยู่สองฝั่งทางก็มีมากมายจนมิอาจนับถ้วน ไม่ว่าจะเป็นร้านสุรา ร้านอาหาร รวมทั้งพ่อค้าวาณิชที่สัญจรไปมาต่างก็เดินเบียดเสียดจนดูครึกครื้นเจริญตายิ่ง
ข่งชิวชื่นชมยินดีจนดวงตาลุกวาวเป็นประกาย เดี๋ยวมองซ้ายแลขวา เดี๋ยวเหลียวหน้าแลหลัง จนบางครั้งรู้สึกแค้นใจตนที่เกิดมามีเพียงแค่สองตา ข่งชิวเดินชมความครึกครื้นในตลาด พลางพูดกับพี่ชายว่า “พี่ ! พี่ ! ดูรถคันนั้นสิ สวยงามจริง ๆ เลย อู้ฮู ! บ้านนั้นสูงเหลือเกิน ! ดูม้านั่นสิ…”
ข่งชิวกระโดดโลดเต้น ทั้งหัวเราะส่งเสียงดัง จนเป็นเป้าสายตาของผู้คนจำนวนมาก ส่วนเมิ่งผีแต่เกิดมาก็มีอุปนิสัยที่เก็บเนื้อเก็บตัว กอปรกับมีความพิการมาแต่กำเนิด จิตใจจึงประหวั่นพรั่นกลัวว่าผู้คนจะตำหนิ จึงไม่ยอมพูดจากับข่งชิว และเดินกระโผกกระเผกตามหลังข่งชิวไปอย่างเขินอาย
แต่เพื่อป้องกันมิให้น้องวิ่งพลัดหายไป เมิ่งผีจึงนำไม้เท้าข้างซ้ายให้ข่งชิวถือไว้ ส่วนมือซ้ายของเมิ่งผีก็จะพาดประคองไว้บนบ่าของข่งชิว ครั้นทั้งสองเดินได้สักพักหนึ่ง เมิ่งผีเริ่มสังเกตเห็นข่งชิวเหนื่อยอ่อนจนเหงื่อโชกเต็มหน้า จึงรีบนำไม้เท้ากลับมาพยุงน้ำหนักตัวดังเดิม และถามข่งชิวด้วยความเห็นใจว่า “น้อง ! เหนื่อยหรือเปล่า ?”
ข่งชิวเป็นคนที่มีอุปนิสัยเข็มแข็ง ไหนเลยที่จะยอมรับว่าเหนื่อยได้ “ไม่เหนื่อยเลยสักนิด !” เด็กน้อยยืดอกกล่าวขึ้นอย่างหนักแน่น
เมิ่งผีพูดว่า “พวกเราเดินช้าหน่อยดีไหม ?”
เมิ่งผีกล่าวเหมือนขอความเห็น แต่ความจริงคือการขอความเห็นใจ ข่งชิวเป็นเด็กที่ฉลาดเกินวัย ไหนเลยที่จะไม่รู้ได้ จึงรู้สึกละอายใจที่เอาแต่ห่วงเล่นโดยไม่สนใจในความรู้สึกของพี่ชาย แต่ เอ…จะพูดอะไรดีนะ ? ดวงตากลม ๆ ของข่งชิวกลอกไปมาอย่างใช้ความคิด แต่ก็ไม่สามารถหาเหตุผลที่เหมาะสมได้สักที จึงได้แต่พยักหน้ารับคำตามที่พี่ชายขอ
สองพี่น้องเริ่มเดินต่อ แต่คราวนี้เมิ่งผีจะพยุงไม้เท้าด้วยตัวเอง ส่วนข่งชิวก็จะคอยพยุงพี่ชายและก้าวเดินต่อไปอย่างระมัดระวัง
ประตูเมืองเมืองหลู่มีทั้งสิ้น ๑๑ บาน แต่ตอนนี้กลับมีผู้คนเบียดเสียดจนเนืองแน่นไปเสียแล้ว เมิ่งผีและข่งชิวจึงต้องคอยแหวกฝูงชนเข้าไปอย่างยากลำบาก แต่เนื่องจากต่างยังเป็นเด็ก จึงถูกฝูงชนเบียดออกมาในที่สุด ข่งชิวรู้สึกกลัดกลุ้มร้อนใจเป็นยิ่งนัก จึงได้แต่ส่ายหน้าถอนใจด้วยความเสียดาย
ในทันใดดวงตาของข่งชิวก็ลุกโตเป็นประกาย เขาพบว่าทางทิศใต้ที่ห่างไปไม่ไกลมีเนินดินที่ก่อเป็นฝายน้ำอยู่แห่งหนึ่ง ข่งชิวไม่มีเวลาพอจะอธิบายเหตุผลแก่เมิ่งผี จึงรีบฉุดดึงพี่ชายไปทางฝายน้ำ ครั้นขึ้นไปบนเนินฝายน้ำ ได้เห็นแท่นบูชาตั้งตระหง่านงดงามอยู่ท่ามกลางฝูงชน ส่วนข้าวของรอบปะรำพิธีก็ถูกจัดวางไว้อย่างบรรจง ข่งชิวพิศมองอย่างหลงใหล ทั้งยังวาดมือวาดเท้าตามพิธีกรที่อยู่ท่ามกลางมณฑลพิธีแห่งนั้นจนจบพิธีการ
แม้นพิธีการเซ่นไหว้จะจบลงไปแล้ว แต่อารมณ์ความรู้สึกของข่งชิวยังคงตรึงใจอยู่มิเลือนหาย ข่งชิวยังรู้สึกทึ่งกับความงดงามของพิธีอยู่มิคลาย กระทั่งฝูงชนได้แยกย้ายกลับกันหมดแล้ว จึงค่อยยอมเดินตามเมิ่งผีกลับด้วยความรู้สึกที่ยังอาวรณ์
เจิงจ้ายและมารดาของเมิ่งผีได้ชะเง้อคอยเด็ก ๆ ที่หน้าบ้านอย่างกระวนกระวายอยู่ก่อนแล้ว ครั้นได้เห็นเด็กทั้งสองเดินมาแต่ไกล จิตใจของทั้งสองจึงรู้สึกโล่งอกลงไปอย่างมาก
ครั้นกลับมาถึง ข่งชิวจะวาดท่าวาดทาง พลางเลียนเสียงสำเนียงทั้งหมดที่ได้เห็นให้มารดาฟังอีกรอบหนึ่ง ส่วนเมิ่งผีก็อยู่คอยตอบคำถามของมารดา ถึงแม้จะต่างคนต่างพูดกันจนวุ่นวาย แต่ทั้งสองต่างก็ซบอยู่ในอ้อมอกเพื่อดื่มด่ำกับไออุ่นของมารดาอย่างมีความสุข
หลังจากได้เปิดหูเปิดตาในครั้งนี้แล้ว ข่งชิวก็บังเกิดความสนใจต่อพิธีบูชาเป็นอย่างมาก และทุกครั้งที่ได้ยินว่ามีการจัดพิธีบูชาขึ้น เด็กน้อยก็จะรบเร้าให้พี่ชายพาไปดูด้วยอยู่มิขาด แต่ด้วยเพราะเมิ่งผีเดินไม่สะดวก อีกด้วยเพราะมีอุปนิสัยที่รักสันโดษ หลังจากไปดูเป็นเพื่อนข่งชิวได้สองครั้งแล้วก็ไม่ยอมไปด้วยอีกเลย
แม้นเมิ่งผีไม่อยากไปเป็นเพื่อน แต่เรื่องนี้ก็หาได้เป็นอุปสรรคให้ข่งชิวละความพยายามไม่
ราชธานีของเมืองหลู่จะมีศาลบรรพชนหลวงอยู่แห่งหนึ่ง เป็นสถานที่สำหรับบูชาโจวกง โจวกงทรงเป็นพระอนุชาในพระเจ้าโจวอู่หวัง และพระเจ้าโจวอู่หวังได้ทรงแต่งตั้งให้โจวกงกินเมืองที่รัฐหลู่ มาตรว่าจะยังไม่ได้ประกอบพิธีอภิเษกตามราชพิธีด้วยมีราชกิจอันจำเป็นก็ตาม แต่ก็นับว่าได้รับพระราชทานแต่งตั้งอย่างเป็นทางการตามระเบียบแห่งราชสำนักแล้ว ดังนั้น ศาลของโจวกงในสมัยนั้นจึงถูกเรียกว่าเป็นศาลบรรพชนหลวงเสมอมา ซึ่งในภายหลัง ศาลโจวกงได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นวัดหลวงโจวกง
พระอริยโจวกงทรงเป็นปฐมบรรพบุรุษแห่งรัฐหลู่ในสมัยนั้น ฉะนั้นจึงมีพิธีบูชาอยู่เนือง ๆ และทุกครั้งที่มีพิธีบูชา ข่งชิวก็จะรีบวิ่งไปชมอยู่มิขาด โดยข่งชิวจะสังเกตทุกกิริยาท่าทางของพิธีกรที่ร่วมในพิธีการอย่างมิกะพริบสายตา และก็เนื่องด้วยข่งชิวมีความจำอันเป็นเลิศ ฉะนั้นเพียงดูไม่กี่ครั้งก็สามารถเรียนรู้ระเบียบพิธีนั้นได้ทั้งหมด
วันหนึ่ง ข่งชิวได้นำเศษเงินที่มารดาให้ไปซื้อภาชนะเครื่องบูชาจากร้านขายของเล่น ครั้นหอบกลับบ้านแล้วก็นำมาจัดวางตามระเบียบพิธี และเริ่มประกอบพิธีการนั้นตามความเข้าใจที่จดจำ
ข่งชิวมักจะชวนเมิ่งผีเล่นด้วยอยู่บ่อยครั้ง แต่เนื่องจากเมิ่งผีมีความพิการมาแต่กำเนิด จึงไม่สามารถดำเนินพิธีการอย่างคล่องแคล่วได้ ดังนั้นหลังจากเล่นเป็นเพื่อนข่งชิวเพียงไม่กี่ครั้งก็เอาแต่เก็บตัวอ่านหนังสืออยู่ในห้อง และไม่ยอมเล่นเป็นเพื่อนข่งชิวอีก สุดท้ายจึงเหลือแต่ข่งชิวที่ต้องฝึกเล่นแต่เพียงผู้เดียว
ทุกครั้งที่ข่งชิวดำเนินพิธีการ ข่งชิวจะมีความจริงจังและทำเช่นนี้อยู่ทุกวันโดยมิรู้สึกเบื่อหน่ายแต่อย่างใด สำหรับคำประกาศของพิธีกรประธาน หรือกระทั่งระเบียบท่าทางของพิธีกรสนามทั้งหมด ข่งชิวล้วนสามารถเลียนแบบได้อย่างสมจริงทั้งสิ้น
ในตอนแรกเจิงจ้ายมิได้ติดใจอะไร แต่ระยะหลังเห็นข่งชิวเอาจริงเอาจังอย่างหมกมุ่น จึงถามข่งชิวด้วยท่าทีขึงขังว่า “ลูกฝึกอย่างนี้ทุกวัน หรือลูกคิดจะเป็นพิธีกรที่ดูแลศาลอย่างนั้นหรือ ?”
ข่งชิวเบ้ปากแย้งว่า “ก็แม่เอาแต่สอนพี่อ่านหนังสือ ไม่เห็นสอนลูกเลย ถ้าลูกไม่เล่นเป็นพิธีกรแล้วจะให้ลูกเล่นอะไรล่ะ ?”
ครั้นเจิงจ้ายได้ยินว่าลูกอยากเรียนหนังสือก็รู้สึกยินดียิ่ง “ถ้าลูกอยากเรียนหนังสือก็มิใช่เรื่องยาก ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ลูกก็ไปเรียนหนังสือกับพี่เมิ่งผี แม่จะเป็นคนสอนลูกเอง แต่มีข้อแม้ว่าลูกจะต้องตั้งใจเรียน อย่าได้เอาแต่เล่นอีก !”
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังเจิงจ้ายเสร็จจากงานบ้าน นางได้หยิบสมุดไผ่ออกมากางบนโต๊ะ และบรรจงเลือกตัวหนังสือที่จดจำได้ง่ายกว่า ๓๐๐ คำไว้สำหรับให้ข่งชิวได้อ่านท่องเป็นเวลาหนึ่งเดือน
แต่คาดไม่ถึงว่าข่งชิวจะใช้เวลาเพียงไม่ถึงวันก็สามารถท่องจำตัวอักษรทั้ง ๓๐๐ กว่าคำได้หมดหลังผ่านตาเพียงครั้งเดียว ความปลาบปลื้มได้เอ่อล้นอยู่ในดวงใจของเจิงจ้าย จนทำให้อดคิดถึงสมัยที่ข่งชิวเพิ่งเกิดเสียมิได้ จำได้ว่าตอนนั้นนางเพียงพูดเล่นเพื่อให้สามีสบายใจเท่านั้น นางมองไปที่ลูกของตนด้วยแววตาเอ็นดู และเพิ่งจะสังเกตเห็นข่งชิวได้เติบโตผึ่งผายเหมือนบิดาไม่มีผิด จึงยิ่งรู้สึกปีติจนมิอาจพรรณนาด้วยคำพูดใด นางได้แต่ภาวนาขอพรต่อฟ้าเบื้องบน ขอให้ลูกของตนได้เป็นเสาหลักของชาติต่อไปในอนาคต
“แม่ ! ลูกเรียนหมดแล้ว” เสียงแหลมเล็กของข่งชิวได้ปลุกเจิงจ้ายให้ตื่นขึ้นจากภวังค์
ข่งชิวดึงมือของนางส่ายไปมา “แม่ ! ลูกยังอยากจะเรียนอีก”
เจิงจ้ายเกรงว่าลูกจะเกิดความเบื่อหน่ายเสียก่อน จึงพูดว่า “ไว้พรุ่งนี้ค่อยเรียนต่อเถอะนะ”
ข่งชิวเบ้ปากพูดออดอ้อนว่า “แม่สอนพี่เมิ่งผีเรียนทุกวัน แต่สอนลูกแค่นิดเดียวก็ไม่สอนแล้ว อย่างนี้มิใช่ลำเอียงหรอกหรือ ?”
ครั้นเจิงจ้ายได้ฟังก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนว่า “ลูกต้องตั้งใจทบทวนตัวอักษร ๓๐๐ คำนี้ก่อน แล้วพรุ่งนี้แม่จะสอนให้ใหม่ และแม่จะทดสอบลูกในวันพรุ่งนี้ด้วย”
ข่งชิวมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม จึงพยักหน้ารับด้วยความมั่นใจ
ค่ำคืนวันนั้น ข่งชิวโหวกเหวกจะขอนอนกับเมิ่งผีให้ได้ แต่ด้วยความรู้สึกเห็นใจและสงสารเมิ่งผี เจิงจ้ายจึงไม่อนุญาต ด้วยเกรงว่าข่งชิวจะรบกวนเวลาพักผ่อนของพี่ชาย แต่ก็ด้วยมารดาเมิ่งผีได้ช่วยข่งชิวอ้อนวอนอีกแรงหนึ่ง เจิงจ้ายจึงต้องจำยอมอนุญาตในที่สุด
ครั้นสองพี่น้องได้นอนอยู่ด้วยกัน ต่างก็กุมมือก่ายขาเพื่อให้เกิดไออุ่น ครั้นแขนขาได้อบอุ่นขึ้นบ้างแล้ว ข่งชิวได้กดเสียงพูดขึ้นว่า “พี่ ! พรุ่งนี้แม่จะสอบตัวอักษรที่เรียนในวันนี้ น้องจะเขียนให้พี่ดูก่อนว่าถูกหรือเปล่านะ”
เมิ่งผีพูดขึ้นว่า “ตอนนี้ห้องมืดไปหมด จะเห็นได้อย่างไร ?”
ข่งชิวได้คิดวิธีไว้แต่แรกแล้ว จึงกล่าวว่า “น้องจะเขียนไว้ที่ฝ่ามือพี่”
“อย่างนั้นหรือ ?” เมิ่งผีรู้สึกว่ามีเหตุผล จึงตอบรับคำขอไป
ข่งชิวกุมมือพี่ชายมาทาบไว้ที่อก และบรรจงเขียนตัวอักษรลงไว้ที่ฝ่ามือ พลางอ่านออกเสียงตามที่เขียนว่า “ฟ้า ดิน ปู่ ย่า บรรพชน …”
หลังเขียนได้ประมาณสี่ห้าสิบตัว น้ำเสียงของข่งชิวเริ่มแผ่วลงและหลับใหลไปโดยไม่รู้ตัว ทุกสิ่งในห้องได้ตกสู่ความเงียบสงัด เหลือแต่เพียงเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของเด็กน้อยทั้งสอง โดยที่ข่งชิวยังคงกุมมือของเมิ่งผีไว้อย่างแนบแน่น
แสงอุษาทอแสงบ่งบอกถึงวันใหม่ ครั้นเปิดประตูก็เห็นปุยหิมะพลิ้วลอยอยู่ทั่วนภา ปุยหิมะได้ทับถมจนสูงท่วมหัวเข่า ส่วนแมกไม้ที่เคยเขียวขจีบัดนี้ได้ถูกปกคลุมด้วยหิมะจนขาวโพลนไปทั่ว เสียงหิมะร่วงหล่นจากต้นไม้ดังเป็นระยะ ๆ ส่วนระเบียงทางเดินก็ถูกอัดแน่นด้วยหิมะจนมิอาจสัญจรได้อีก
ทุกคนจึงระดมแรงช่วยกันกวาดหิมะออกจากระเบียง แสงประกายอันขาวนวลในยามเช้า ได้ส่องสว่างจนเด็กทั้งสองลืมตาไม่ขึ้น เด็กทั้งสองเริ่มลงมือกวาดกองหิมะออกจากระเบียง แม้นทั้งสองจะถือไม้กวาดเตรียมกวาดหิมะอย่างเอาจริงเอาจังก็ตาม แต่ความจริงแล้วเป็นการเล่นหิมะต่างหาก ครั้นทั้งสองสนุกสนานกันจนได้ที่ เมิ่งผีก็ทิ้งไม้เท้าของตน ไม้กวาดที่อยู่ในมือจึงกลายเป็นไม้เท้าไปโดยปริยาย
แต่สำหรับเมิ่งผี การไม่มีไม้เท้าถือเป็นเรื่องลำบากอยู่พอควร กอปรกับพื้นผิวหิมะลื่นเป็นมัน ไม่ทันระวังจึงไถลล้มลงอย่างแรง ขาขวาของเมิ่งผีพับรองอยู่ใต้สะโพก น้ำหนักตัวบวกกับแรงกระแทกจึงกดทับจนกระดูกขาหลุดอย่างง่ายดาย ทุกคนช่วยกันพยุงเมิ่งผีเข้าไปในบ้านด้วยความตกใจ
ในตอนนั้น ความเจ็บปวดได้ทรมานเมิ่งผีจนเหงื่อเม็ดโตไหลรินลงเป็นทาง มารดาของเมิ่งผีมีอาการกระวนกระวายจนทำอะไรไม่ถูก หากแต่เจิงจ้ายเท่านั้นที่ยังคงคุมสติไว้ได้ นางสั่งเมิ่งผีให้นอนนิ่งบนฟูก ครั้นแล้วก็รีบหมุนตัวออกไปตามหมอโดยไม่รอช้า
ตามถนนหนทางล้วนขาวโพลนไปด้วยกองหิมะ เจิงจ้ายจำได้เลือนลางว่าเคยเห็นป้ายร้าน ‘หมอต่อกระดูก’ ติดอยู่ตรงหัวมุม แต่เหตุใดวกไปเวียนมาอยู่หลายรอบก็ยังไม่พบสักที นางตัดสินใจถามคนข้างทาง จึงทราบว่าตนได้เดินเลยร้านหมอมาแล้ว
นางรีบวกกลับไปและรู้สึกสะดุดตากับป้ายร้านแผ่นหนึ่งที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะ จึงรีบรุดเข้าไปเคาะประตูโดยไม่รอช้า
ผู้ที่เปิดประตูคือชายชราภูมิฐานวัย ๗๐ มีหนวดเคราขาวโพลน รูปร่างผอมสูง ชายชราได้ทักทายอย่างสุภาพว่า “ท่านหญิง มาเยือนยามพายุโหมหนักเช่นนี้ หรือว่ามีธุระเร่งด่วนอย่างนั้นฤๅ ?”
จิตใจของเจิงจ้ายตอนนี้รุ่มร้อนดุจไฟสุม นางจึงรีบเล่าถึงเจตนาการมาอย่างรวบรัด
ชายชรามิเสียเวลาพูดจาไถ่ถาม เขารีบจัดยาใส่เป้และตามเจิงจ้ายออกไปในทันที
ครั้นหมอมาถึง ขาของเมิ่งผีก็ออกอาการบวมแดงอย่างมากแล้ว ชายชราคลำไปที่ขาของเมิ่งผี พลางเล่านิทานปรัมปราสมัยเบิกฟ้าเบิกดินให้ฟัง เจิงจ้ายและทุกคนต่างงงงวยกับพฤติกรรมของชายชรายิ่ง ขณะที่ทุกคนยังจับต้นชนปลายไม่ถูก พลันได้ยินเสียงเมิ่งผีร้องดังขึ้นด้วยความเจ็บปวด ชายชรายิ้มอย่างแช่มชื่นว่า “เอ้า ! เสร็จแล้ว !”
เพลานั้น สีหน้าของเมิ่งผีได้คลายความเจ็บปวดลงไปอย่างมาก เจิงจ้ายและคุณแม่ของเมิ่งผีต่างกล่าวขอบคุณและมอบค่าตอบแทนให้แก่ชายชราอย่างมากมาย
ด้วยการดูแลเอาใจใส่ของทุก ๆ คน เพียงไม่กี่วัน อาการบาดเจ็บของเมิ่งผีก็หายเป็นปกติ และกิจวัตรของทั้งครอบครัวก็เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้ง โดยเมิ่งผียังคงเรียนหนังสือกับเจิงจ้าย ส่วนข่งชิวก็ยังคงบ่นว่าเรียนน้อยไป จนเจิงจ้ายต้องปรับเปลี่ยนวิธีการสอนเป็นแบบแนะนำให้รู้จักวิทยาความรู้และจริยพิธีต่าง ๆ ของราชวงศ์โจว ข่งชิวจึงรู้สึกว่าได้เปิดหูเปิดตาและมุ่งมั่นต่อการเล่าเรียนต่ไปด้วยความตั้งใจ
เจิงจ้ายมักจะให้ข่งชิวอธิบายความหมายของสิ่งที่ได้เรียนอยู่เสมอ ซึ่งข่งชิวล้วนสามารถตอบได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ นางรู้สึกพึงพอใจต่อผลการเรียนของบุตรชายเป็นอย่างมาก แต่เพื่อให้เด็กทั้งสองต่างมีพัฒนาการด้านการศึกษาและกระตุ้นความคิดอ่านได้มากยิ่งขึ้น นางจึงให้ทั้งสองต่างตั้งคำถามกันไปมา หากคนใดตอบผิด นางก็จะทำการแก้ไขใหม่ให้ถูกต้อง
เจิงจ้ายได้ทำการสอนเช่นนี้ตลอด ๓ ปีจนข่งชิวอายุได้ ๙ ขวบ ในตอนนี้เจิงจ้ายไม่อาจมีเวลามากพอสำหรับงานบ้านงานเรือนได้อีก นางจึงตัดสินใจส่งเด็กทั้งสองไปเรียนที่สำนักศึกษา เช่นนี้จึงจะทำให้เด็กทั้งสองสามารถเรียนรู้มากยิ่งขึ้นได้
ห่างจากบ้านไปไม่ไกลมีสำนักศึกษาอยู่แห่งหนึ่ง หลังจากเจิงจ้ายได้ไปปรึกษากับครูที่สำนักศึกษาแล้ว เช้าวันที่สองก็พาเด็กทั้งสองไปเรียนหนังสือที่นั่น ซึ่งครูได้อนุญาตให้เด็กทั้งสองได้เรียนด้วยกัน ดังนั้นครั้งนี้เมิ่งผีจึงมีข่งชิวเป็นเพื่อน กอปรกับปัจจุบันมีอายุ ๑๕ ปีแล้ว จึงทำให้เพื่อน ๆ ไม่กล้าหยอกล้อในความพิการของเมิ่งผีอีก
๓ ปีให้หลัง ข่งชิวเริ่มรู้สึกว่าที่สำนักศึกษามีวิชาเรียนน้อยไป จึงไปขอร้องมารดาให้เปลี่ยนสำนักศึกษาแห่งใหม่ เจิงจ้ายได้เสาะหาอยู่เป็นเวลานาน แต่ก็หาได้มีสำนักศึกษาที่เหมาะสมไม่ จึงกล่าวกับข่งชิวว่า “ลูกไปเรียนหนังสือที่คุณตาเถอะ เพราะคุณตาเป็นผู้ที่มีภูมิธรรมความรู้อย่างแท้จริง”
ข่งชิวพยักหน้ารับคำ ส่วนเมิ่งผียังรู้สึกพอใจกับสิ่งที่ตนเรียนอยู่ จึงไม่คิดจะย้ายสถานที่เรียนแต่อย่างใด
บ้านเกิดของเจิงจ้ายอยู่ทางทิศอีสานของราชธานี ในเช้าวันที่สอง เจิงจ้ายได้พาลูกชายกลับไปที่บ้านบิดา ครั้นถึงแล้วก็เล่าถึงเจตนาการมาในครั้งนี้ให้บิดาทราบโดยละเอียด
เหยียนเซียงในปัจจุบันเป็นชายชราวัย ๖๐ ที่มีหนวดเคราขาวโพลน สวมชุดที่ตัดด้วยผ้าหยาบพอหลวมตัว ซึ่งโดยปกติเหยียนเซียงก็รักใคร่และเอ็นดูข่งชิวมากเป็นพิเศษอยู่แล้ว
ครั้นได้ทราบจากลูกสาวว่าหลานรักเป็นคนที่รักเรียนใฝ่ศึกษา จึงรีบรับปากโดยไม่รีรอ พลางกล่าวว่า “การศึกษาแต่โบราณจะเน้นศึกษา ๖ แขนงวิชาคือ จริยา คีตะ เกาทัณฑ์ อาชายาน นิรุกติ์ คำนวณ หรือก็คือ ๖ วิทยาที่ในปัจจุบันเรียกกัน สำหรับหลานของพ่อคนนี้ พ่อก็รักดุจแก้วตาดวงใจอยู่แล้ว ฉะนั้นพ่อต้องถ่ายทอดความรู้ทั้งหมด เพื่อให้หลานคนนี้ได้เป็นสดมภ์หลักของชาติบ้านเมืองอย่างแน่นอน
เพียงแต่พ่อจะสันทัดเพียง จริยา คีตะ นิรุกติ์ และการคำนวณ ส่วนด้านอาชายานและเกาทัณฑ์ ลูกก็รู้ว่าพ่อไม่เคยฝึกวิทยายุทธมาก่อน จึงรู้เพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น”
ข่งชิวรีบชิงถามขึ้นทันทีว่า “หลานเคยได้ยินท่านแม่สอนถึง ๖ วิทยามาก่อน แต่หลานไม่ทราบถึงรายละเอียดของ ๖ วิทยานี้เลย”
เหยียนเซียงพูดอย่างแช่มชื่นว่า “เอาไว้ตาจะค่อย ๆ สอนให้นะ”
ข่งชิวรบเร้าคุณตาใหญ่ว่า “หลานอยากจะฟังในตอนนี้จังเลย”
“ใจร้อนไปทำไม ยังมีเวลาอีกมากมาย” เจิงจ้ายรีบปรามขึ้นในทันใด
ข่งชิวจึงได้แต่สะกดเสียงด้วยสีหน้าอันผิดหวัง
ครั้นเหยียนเซียงได้เห็นความมานะใฝ่เรียนของข่งชิวก็รู้สึกสราญใจยิ่งนัก จึงดึงข่งชิวเข้ามาพลางกล่าวด้วยความปีติว่า “ตาจะอธิบายให้ฟังอย่างคร่าว ๆ ก่อน แล้ววันหลังค่อยอธิบายในรายละเอียดต่อไปนะ”
สีหน้าของข่งชิวแช่มชื่นขึ้นในทันใด ได้ดึงมือของเหยียนเซียงส่ายไปมาว่า “คุณตาอธิบายเร็ว ๆ หน่อยสิ”
เหยียนเซียงนั่งลงและกระแอมเสียงให้คล่องคอ กล่าวว่า “๖ วิทยาที่โบราณได้กล่าวถึง จะประกอบด้วย จริยา ๕ คีตะ ๖ เกาทัณฑ์ ๕ อาชายาน ๕ นิรุกติ์ ๖ และคำนวณ ๙”
เหยียนเซียงยังไม่ทันกล่าวจบ ข่งชิวก็รบเร้าถามต่อไปว่า “จริยา ๕ คืออะไรครับคุณตา ?”
เหยียนเซียงตอบว่า “จริยา ๕ หมายถึงจริยพิธี ๕ ชนิด ประกอบด้วยพิธีที่เกี่ยวกับการบวงสรวงเรียกว่ามงคลพิธี พิธีที่เกี่ยวกับงานศพเรียกว่าอวมงคลพิธี พิธีที่เกี่ยวกับการปริสัญญูเรียกว่าอาคันตุกพิธี พิธีที่เกี่ยวกับกองทัพเรียกว่าพยุหพิธี พิธีที่เกี่ยวกับการแต่งงานเรียกว่าวิวาหพิธี”
ข่งชิงถามต่อไปอีกว่า “แล้วคีตะ ๖ คืออะไร ?”
เหยียนเซียงสูดหายใจจนเต็มปอดแล้วพูดว่า “คีตะ ๖ หมายถึงศิลปะการร่ายรำและดนตรี ๖ ประการ ซึ่งจะแบ่งเป็นกลุ่มโดยยึดตามรัชสมัยของแต่ละยุคคือ ดนตรีสมัยหวงตี้เรียกว่าอวิ๋นเหมิน ดนตรีสมัยเหยาเรียกว่าเสียนฉือ ดนตรีสมัยซุ่นเรียกว่าต้าเสา ดนตรีสมัยอวี่เรียกว่าต้าเซี่ย ดนตรีสมัยทังเรียกว่าต้าฮั่ว ดนตรีสมัยอู่เรียกว่าต้าอู่”
น้ำเสียงของเหยียนเซียงเพิ่งจะสงบ ข่งชิวตั้งท่าจะซักต่อ เจิงจ้ายจึงรีบยั้งว่า “ให้คุณตาพักผ่อนก่อน”
เหยียนเซียงกล่าวว่า “เดี๋ยวพ่อจะอธิบายให้หมดเลยก็แล้วกัน” “อันเกาทัณฑ์ ๕ หมายถึงวิธีการยิงธนู ๕ ประการ ประกอบด้วยป๋ายซือ ไชเหลียน เอี่ยนจู้ เซียงฉื่อ จิ่งอี๋ ส่วนอาชายาน ๕ หมายถึงการขับรถม้า ๕ ประการ ประกอบด้วย หมิงเหอหล่วน จู๋สุ่ยฉวี่ กั้วจวินเปี่ยว อู่เจียวฉวี จู๋ฉินจั่ว
ส่วนนิรุกติ์ ๖หมายถึงวิธีการสร้างคำ ๖ ประการ อันประกอบด้วย สัญลักษณ์คติ รูปคติ สำเนียงคติ สมาสคติ หมวดคำคติ ยืมใช้คติ ส่วนคำนวณ ๙ หมายถึงวิธีการคำนวณ ๙ ประการคือ ฟังเถียน ซู่หมี่ ชาเฟิน เส้าก่วง ซังจง จวินซู ฟังเฉิง อิ๋งปู๋เย่าและผังเย่า ส่วนในเรื่องรายละเอียดนั้น คงจะไม่สามารถอธิบายให้กระจ่างในวันสองวันได้หรอกนะ”
เจิงจ้ายพูดว่า “ก็ใช่สิ” นางดึงลูกไปอยู่ข้างกายพลางกำชับว่า “เวลายังมีอีกนาน ไว้ค่อย ๆ ให้ท่คุณาสอนให้ไม่ดีกว่าหรือ ?”
ข่งชิวพยักหน้ารับคำ ในใจพลางคิดว่า “คำแปลก ๆ ในวันนี้มีตั้งมากมาย คงต้องใช้เวลาเรียนและทำความเข้าใจไม่น้อย”
จากนั้น ทั้ง ๓ คนต่างสนทนาในเรื่องทั่ว ๆ ไปอย่างสนุกสนาน โดยเหยียนเซียงยังคงแอบสังเกตหลานของตนอย่างพิเคราะห์ ได้เห็นถึงอุปนิสัยใฝ่เรียนและอากัปกิริยาอันสุภาพภูมิฐานในขณะเจรจา จึงทำให้ชายชรารู้สึกภูมิใจเป็นยิ่งนัก
ครั้นเสร็จจากการรับประทานอาหารกลางวัน เหยียนเซียงเริ่มทดสอบดูพื้นฐานของข่งชิว แต่แล้วก็ต้องตกตะลึง เพราะสำหรับความรู้อันเข้าใจยากสำหรับเด็กโต ข่งชิวกลับสามารถโต้ตอบได้อย่างคล่องแคล่วฉะฉาน
ครั้นถามถึงสิ่งใด ข่งชิวล้วนตอบได้อย่างถูกต้อง กระชับและแม่นยำ ฉะนั้นทั้งสองตาหลานจึงพูดคุยกันอย่างสนุกสนานจนเวลาล่วงเลยไป ๒ ชั่วโมง โดยที่เหยียนเซียงยังมิรู้สึกเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด หากแต่ยิ่งเพิ่มความปลาบปลื้มและความกระชุ่มกระชวยเป็นกำลัง จนที่สุดได้ตบลงที่บ่าของข่งชิวและพูดกับลูกสาวว่า “หลานของพ่อคนนี้เป็นเสมือนหยกงามที่กำลังคอยการเจียระไนโดยแท้ !”
เจิงจ้ายกล่าวว่า “คุณพ่อ ! พ่ออย่าเอาแต่ชมหลานสิ พ่อต้องเข้มงวดต่อหลานให้มาก ๆ นะ”
เหยียนเซียงตอบด้วยแววตาอันมุ่งมั่นว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ! แน่นอนอยู่แล้ว !”
หลังจากได้ฝากฝังข่งชิวกับบิดาเสร็จ เจิงจ้ายได้อยู่ต่ออีกสองสามวันแล้วจึงอำลากลับ
แม้นข่งชิวจะเศร้าใจจากการที่ต้องห่างจากมารดาอยู่บ้างก็จริง แต่ข่งชิวก็หาได้ละเลยการเรียนไม่ หากจะยิ่งเพิ่มความพยายามในการเรียนจนกระทั่งลืมเวลาพักผ่อนและเวลาอาหารไปเลยเช่นนั้น สำหรับอุปนิสัยของข่งชิวแต่เล็กมาคือชอบซักไซ้ให้ได้คำตอบจนถึงที่สุด โดยจะมิยอมให้ความสงสัยเลยผ่านกระแสความคิดไปอย่างเด็ดขาด
แต่ไม่ว่าข่งชิวจะเป็นคนช่างซักสักปานใด เหยียนเซียงกลับยิ่งมีความชอบใจและอธิบายจนข่งชิวสิ้นกังขา ดังนั้นในตลอดระยะเวลา ๖ ปีที่ผ่านมา ทั้งสองตาหลานจึงใช้ชีวิตเช่นนี้เรื่อยมาอย่างมีความสุข จนกระทั่งเหยียนเซียงได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่ข่งชิวจนหมดสิ้น
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เหยียนเซียงพบว่าข่งชิวมีความจำอันเป็นเลิศ อีกทั้งยังมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ ด้วยเหตุนี้จึงสอนข่งชิวให้ทำความเข้าใจในพระราชปณิธานของ ๓ กษัตริย์ ๕ ราชัน พร้อมทั้งยังคอยอบรมส่งเสริมข่งชิวให้เป็นธีรชนที่พร้อมด้วยคุณธรรมความสามารถอยู่ทุกเวลา
แต่ก็ช่างน่าอัศจรรย์ หลังจากข่งชิวได้สดับพระจริยวัตรของพระมหาธีรราชเจ้าแต่ละพระองค์แล้ว ข่งชิวกลับยิ่งรู้สึกว่ายังมีภาระกิจที่ต้องกระทำอีกมากมาย และเพื่อให้บรรลุสู่จุดหมายที่วาดหวังไว้ ข่งชิวจึงยิ่งมานะเล่าเรียนและอ่อนน้อมถ่อมตนมากขึ้นกว่าเก่า
เมื่อ ๕๓๓ ปีก่อนคริสตศักราช เดือน ๙ ตามจันทรคติ ข่งชิวอายุเพิ่งครบ ๑๘ ปีบริบูรณ์ วันหนึ่ง เหยียนเซียงรู้สึกมึนงงจนมิอาจประคองสังขาร รู้ตัวว่าตนคงจะต้องตายจากไปในอีกไม่ช้า จึงเรียกข่งชิวมากล่าวสั่งเสียว่า “เสียทีที่ตาพร้อมด้วยความรู้ความสามารถ แต่กลับมิมีโอกาสสนองคุณรับใช้ชาติ นี่คือสิ่งที่ทำให้ตาเสียใจจวบจนวันนี้ แต่ยังดีที่ตาได้ถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดให้แก่หลาน หวังว่าในภายภาคหน้าหลานจะยังคงมานะเล่าเรียน เพื่อสืบไปในอนาคตจะสามารถรับใช้ชาติอย่างสุดกำลัง หลานจะต้องจำไว้
คนเราเกิดมาในโลกนี้ จะต้องสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ให้เป็นที่ประจักษ์ เพื่อเป็นแบบอย่างอันอำไพแก่ชนรุ่นหลังสืบไป หากหลานสามารถทำได้ ก็จะเป็นการเชิดชูเกียรติแห่งวงศ์ตระกูล และตาจะได้นอนตายตาหลับในปรภพเสียที”
ข่งชิวเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งมาแต่เด็ก ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะการณ์ใดก็จะมิยอมหลั่งน้ำตาโดยง่าย แต่ตอนนี้ข่งชิวกลับต้องร้องไห้จนน้ำตาอาบสองแก้ม
ครั้นเหยียนเซียงเห็นหลานรักเศร้าโศกเสียใจ จึงพลอยให้รู้สึกตื้นตันจนดวงตาแดงก่ำ แต่เหยียนเซียงยังคงตั้งสติกล่าวกำชับข่งชิวด้วยน้ำเสียงอันทรงพลังว่า “หลานอย่าได้ทำตัวอ่อนแอจนผิดวิสัยลูกผู้ชาย หลานจะต้องเข้มแข็ง เพราะหนทางชีวิตของหลานยังอีกยาวไกล เป็นไปไม่ได้หรอกที่ชีวิตคนเราจะราบเรียบดุจโรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป ฉะนั้นจึงต้องมีความพร้อมที่จะต่อสู้กับทุกสถานการณ์
จงจำไว้ว่า อุปสรรคเป็นสิ่งที่สร้างวีรบุรุษให้แกร่งกล้า อีกอย่าง ตาก็อายุปูนนี้แล้ว ชีวิตของตาก็เป็นเสมือนแป้งเปียกที่สิ้นความเหนียว เหล้าเก่าที่สิ้นความหอม มันก็ควรแล้วที่ต้องฝากชีวิตนี้ไว้กับผืนปฐพี”
ข่งชิวยืนฟังด้วยอาการนบนอบ จิตใจรู้สึกฮึกเหิมด้วยพลังธรรมที่อัดแน่นอยู่เต็มหัวใจ แต่ครั้นได้ฟังสองประโยคสุดท้าย ข่งชิวก็ถึงกับทะลักความรู้สึกที่ถูกปิดกั้นมานานจนหมดสิ้น ข่งชิวได้แต่ร้องไห้จนมิอาจจับสุ้มเสียงใจความได้อีก
เหยียนเซียงจึงกำชับว่า “รีบไปตามแม่ของหลานมาเถอะ ตายังมีคำสั่งเสียกับแม่ของหลานอีก”
ข่งชิวห่มผ้าให้กับเหยียนเซียง และรีบเดินทางไปตามมารดาด้วยความรวดเร็ว
ครั้นเจิงจ้ายทราบข่าว ก็บังเกิดความโทมนัสเสียใจและรีบเดินทางมาหาบิดาอย่างรีบร้อน
เหยียนเซียงกล่าวว่า “ความรู้ของข่งชิวถือว่าเหนือกว่าพ่อมากมาย พ่อคิดว่าหลานคนนี้จะสามารถสร้างประวัติอันเกรียงไกรในอนาคตได้เป็นแน่ หากพ่อยังมีชีวิตอยู่ ก็คงจะได้เห็นหลานคนนี้ประสบความสำเร็จ เพียงแต่ดวงชะตาคงจะไม่อนุญาตให้อยู่จนถึงวันนั้นแล้วกระมัง ฮ่าย ! ชีวิตคนเราฟ้าได้ลิขิตไว้แล้ว หากพ่อตายไป ลูกจะต้องตั้งใจอบรมหลานคนนี้ให้ดี เพื่อจะได้เชิดชูเกียรติประวัติอันยืนยงสืบไป” กล่าวจบ ดวงตาก็ค่อย ๆ หรี่ลงและสิ้นใจไปในที่สุด
ข่งชิวได้อยู่ไว้ทุกข์เป็นเพื่อนมารดาตามจารีตประเพณีจนครบกำหนดร้อยวัน จากนั้นจึงได้ติดตามมารดาเดินทางกลับ
หลังจากนั้นไม่นาน เมิ่งผีได้แต่งงานและแยกออกไปตั้งรกรากที่ต่างเมือง เวลานั้นข่งชิวได้เติบโตเป็นหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้างเอวกลม ใบหน้าคมสัน กิริยาภูมิฐาน วาจาสุภาพ วันหนึ่ง เจิงจ้ายเรียกข่งชิวเข้ามาหา พลางพูดด้วยท่าทีขึงขังว่า “ข่งชิว มานี่หน่อยสิ แม่มีเรื่องจะปรึกษา”

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา