วันนี้ เวลา 05:24 • สุขภาพ

**เราสามารถแพ้ยาแก้แพ้ได้ไหม?**

---
### บทนำ
ยาแก้แพ้หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “ยาต้านฮีสตามีน (Antihistamines)” เป็นหนึ่งในกลุ่มยาสำคัญที่ใช้ในการบรรเทาอาการแพ้หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นอาการจาม คัดจมูก คันตา หรือผื่นลมพิษ ยาต้านฮีสตามีนมีหลายชนิด แบ่งออกเป็น “รุ่นเก่า (First-generation)” และ “รุ่นใหม่ (Second-generation)” ซึ่งมีผลข้างเคียงและโอกาสเกิดอาการไม่พึงประสงค์ต่างกัน
อย่างไรก็ตาม แม้ยาเหล่านี้จะออกฤทธิ์เพื่อต้านการแพ้โดยตรง แต่ในบางรายก็อาจมีโอกาส “แพ้ยาแก้แพ้” ได้จริง ซึ่งโดยทั่วไปจัดว่าเป็นภาวะที่พบได้น้อยและมักเกิดจากกลไกภูมิคุ้มกันผิดปกติ หรือปัจจัยด้านเมแทบอลิซึมของยาที่มีความซับซ้อน
---
### กลไกการเกิดอาการแพ้จาก “ยาแก้แพ้”
1. **ปฏิกิริยาภูมิคุ้มกัน (Immune-mediated)**
- ร่างกายบางคนอาจสร้างภูมิต้านทาน (Antibody) ต่อสารออกฤทธิ์ของยาต้านฮีสตามีน ทำให้เกิดการหลั่งสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฮีสตามีน หรือสารก่อการอักเสบอื่น ๆ เมื่อได้รับยาดังกล่าว
- กลไกนี้อาจคล้ายการแพ้ยาทั่วไป เช่น ยาปฏิชีวนะ หรือยาแก้ปวดบางชนิด
2. **ปฏิกิริยาจากตัวเมแทบอไลต์ (Metabolite)**
- ยาแก้แพ้บางชนิด เมื่อถูกย่อยสลายในร่างกาย จะได้สารเมแทบอไลต์ที่อาจกระตุ้นการหลั่งสารก่อการอักเสบ
- กลุ่มผู้ป่วยที่มีความบกพร่องของเอนไซม์บางชนิดอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดปฏิกิริยานี้มากขึ้น
3. **ปฏิกิริยาไม่แพ้ (Non-immune-mediated reactions)**
- บางครั้งอาการคล้ายการแพ้ยา อาจเกิดจากฤทธิ์ก่อการระคายเคือง (Irritant) หรือการกระตุ้นตัวรับ (Receptor) อื่น ๆ ในร่างกายโดยตรง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน
---
### อาการที่อาจบ่งบอกถึงการแพ้ยาแก้แพ้
- **ผื่นหรืออาการคัน** เช่น ผื่นลมพิษ (Urticaria) ผื่นแดง (Rash) หรืออาการคันตามร่างกาย
- **บวมตามบริเวณต่าง ๆ** เช่น หน้าบวม ปากบวม ตาบวม หรือหลอดลมตีบ (Angioedema)
- **อาการทางระบบ** เช่น หายใจไม่สะดวก เวียนศีรษะ ความดันโลหิตต่ำ คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงอาการรุนแรงอย่างภาวะช็อกจากภูมิแพ้ (Anaphylaxis)
- **ปฏิกิริยาแบบล่าช้า** เช่น ผื่นผิวหนังอักเสบ การเกิดตุ่มน้ำใส ผิวหนังลอกหรืออักเสบอย่างรุนแรง (Severe Cutaneous Adverse Reactions: SCARs) ซึ่งพบได้น้อยแต่เป็นภาวะอันตราย
---
### การวินิจฉัย
1. **ซักประวัติอย่างละเอียด**
แพทย์จะสอบถามประวัติการใช้ยา ช่วงเวลาที่เกิดอาการ ความรุนแรง ตลอดจนภาวะสุขภาพอื่น ๆ
2. **การตรวจร่างกายและตรวจเพิ่มเติม**
- การตรวจเลือดเพื่อประเมินสารบ่งชี้การอักเสบหรือภูมิคุ้มกัน
- ในกรณีเฉพาะอาจมีการทดสอบทางผิวหนัง (Skin Test) หรือทดสอบความไวของร่างกายต่อยาต้านฮีสตามีนชนิดอื่น ๆ
3. **การทดสอบหยุดยา-เริ่มยา (Drug Provocation Test)**
หากจำเป็นในผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้ชัดเจน อาจต้องมีการทดสอบภายใต้การควบคุมของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อยืนยันว่าผู้ป่วยแพ้ยาจริงหรือไม่
### การรักษาและการป้องกัน
1. **หยุดใช้ยาที่สงสัยว่าแพ้ทันที**
หากยืนยันหรือสงสัยว่าอาการที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการแพ้ยาต้านฮีสตามีน ควรหยุดยาและปรึกษาแพทย์ทันที
2. **ให้ยาบรรเทาอาการตามความรุนแรง**
- ในอาการแพ้เล็กน้อย ใช้ยาต้านฮีสตามีนคนละชนิดหรือยากลุ่มอื่น (เช่น สเตียรอยด์) เพื่อบรรเทาอาการผื่น คัน
- หากมีอาการรุนแรง เช่น ภาวะหายใจลำบากหรือภาวะช็อก อาจต้องใช้ยาฉีดอะดรีนาลีน (Epinephrine) หรือรักษาในโรงพยาบาลอย่างใกล้ชิด
3. **หลีกเลี่ยงยาที่แพ้และจดบันทึกประวัติแพ้ยา**
- แจ้งให้บุคลากรทางการแพทย์ทราบทุกครั้ง รวมถึงตรวจสอบฉลากยาก่อนใช้
4. **ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเริ่มยาใหม่**
ในผู้ป่วยที่เคยมีประวัติแพ้ยา ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาทุกครั้ง เพื่อพิจารณาทางเลือกอื่น หรือเฝ้าระวังอย่างเหมาะสม
---
### สรุป
การแพ้ยาแก้แพ้หรือยาต้านฮีสตามีนแม้จะพบได้น้อยเมื่อเทียบกับยาชนิดอื่น ๆ แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้จริง ด้วยกลไกได้หลายรูปแบบ ดังนั้น หากมีอาการผิดปกติหลังการใช้ยา หรือสงสัยว่าตนเองอาจแพ้ยา ควรหยุดใช้ยาและรีบปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินอาการและรับการรักษาที่เหมาะสม การเก็บข้อมูลประวัติการแพ้ยาและแจ้งต่อบุคลากรทางการแพทย์เสมอจะช่วยป้องกันปัญหาที่อาจเกิดซ้ำและหลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่ออาการแพ้ที่รุนแรงได้
---
### เอกสารอ้างอิง
1. **Kelso JM.** Drug Allergy: Clinical Aspects, Diagnosis, and Management. *Allergy Asthma Proc.* 2023;44(2):89-97.
2. **Demoly P, et al.** International Consensus (ICON) on Drug Allergy – 2023 Update. *World Allergy Organ J.* 2023;16(4):100762.
3. **Joint Task Force on Practice Parameters; American Academy of Allergy, Asthma & Immunology (AAAAI); American College of Allergy, Asthma & Immunology (ACAAI).** Drug allergy: an updated practice parameter. *Ann Allergy Asthma Immunol.* 2022;129(3):227-239.
4. **Simons FE, et al.** H1-antihistamines in the management of anaphylaxis: An updated practice guideline. *J Allergy Clin Immunol Pract.* 2023;11(1):45-56.
> **หมายเหตุ**: บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้ทั่วไป มิใช่คำแนะนำทางการแพทย์เฉพาะบุคคล หากมีข้อสงสัยหรือมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้องและเหมาะสม
โฆษณา