นิทานอีสป:: :: ลูกกวางกับทะเล:: •ภยันตราย บางขณะก็เกิดขึ้นจากสิ่งที่เราคิดไม่ถึง• ::ยถาปิ กุมฺภการสฺส กตา มตฺติกภาชนา สพฺเพ เภทปริยนฺตา เอวํ มจฺจาน ชีวิตํ:: "ภาชนะดินที่ช่างหม้อทำแล้ว ล้วนมีความแตกเป็นที่สุด ฉันใด,ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ก็ฉันนั้น" ลูกกวางน้อยตัวหนึ่งมีตาข้างเดียว มันรู้ตัวดีว่าไม่สามารถระวังภัยได้ตลอดเวลา เพราะถ้ามีภัยมาทางด้านตา ข้างที่บอด มันก็จะไม่รู้ตัว เพราะมองไม่เห็น ลูกกวางตาเดียวจึงเดินไปที่ทะเลและหันตาข้างที่บอดไปทางทะเลเพื่อที่ตาข้างดีจะได้หันไปทางชายป่า เพราะคิดว่าหากมีภัยมามันก็จะมองเห็น และสามารถหลบหนีได้ทัน แต่ในเวลานั้นมีเรือประมงเล็กๆ ลำหนึ่งแล่นมาใกล้ชายฝั่ง เมื่อชาวประมง เห็นลูกกวางจึงเอาปืนยิงไปที่ลูกกวาง จนขาดใจตาย• •ภยันตรายมักเกิดขึ้นจากสิ่งที่เราคิดไม่ถึง• -หมอปู กันตพงศ์-
:: นิทานอีสป :: หากไม่แบ่งปันโชคให้ใคร ก็จงอย่าหวังจะแบ่งปันเคราะห์ร้ายให้ผู้อื่น "โลโภ โทโส จ โมโห จ ปุริสํ ปาปเจตสํ หึสนฺติ อตฺตสมฺภูตา ตจสารํว สมฺผลํ." โลภะ โทสะ โมหะ เกิดจากตัวเอง ย่อมเบียดเบียนผู้มีใจชั่ว ดุจขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่ฉะนั้น. ชายสองคนเดินร่วมทางกันมาบนถนน ทันใดนั้นคนหนึ่งก็เก็บถุงเงินซึ่งมีเงินเต็มถุงได้ "ข้าช่างโชคดีอะไรเช่นนี้ ข้าพบถุงเงินหนึ่งใบ ดูจากน้ำหนัก ใบนี้จะต้องมีทองเต็มถุงแน่ๆ" เขาเอ่ยขึ้น "จงอย่าพูดว่า 'ข้าพบถุงเงิน' สิ" เพื่อนร่วมทางของเขาเอ่ย "ท่านน่าจะพูดว่า 'เราพบถุงเงิน' หรือ 'เราช่างโชคดีอะไรเช่นนี้' จะดีกว่า เพื่อนร่วมทางควรแบ่งปันทั้งโชคและเคราะห์ที่พานพบบนท้องถนนด้วยกัน" "ไม่ ไม่มีทาง ข้าเป็นคนพบมัน และข้าก็จะเก็บมันเอาไว้" อีกฝ่ายตอบอย่างโกรธเกรี้ยว ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงตะโกน "หยุดนะ เจ้าหัวขโมย" และเมื่อมองลงไปรอบๆ พวกเขาก็เห็นฝูงชนพร้อมกระบองในมือวิ่งมาตามถนน ชายคนที่พบถุงเงินตกใจจนแทบจะเสียสติ "เราแย่แล้ว ถ้าพวกเขาพบว่าถุงเงินอยู่กับข้าละก็" เขาครวญ "ไม่ ไม่ ท่านไม่ได้พูดว่า 'เรา' ก่อนหน้านี้ ดังนั้นจงใช้คำว่า 'ข้า' ต่อไปเถิด ต้องพูดว่า 'ข้าแย่แล้ว' ถึงจะถูก" อีกฝ่ายตอบ #กันตพงศ์คลินิกแพทย์แผนไทย
"ถ้ามีปัญญา ก็สามารถเอาตัวรอดได้" ::อธุรายํ น ยุญฺชติ:: "คนมีปัญญา ย่อมไม่ประกอบในทางอันไม่ใช่ธุระ" สิงโตถามแกะว่า "ลมหายใจข้ามีกลิ่นเป็นอย่างไรบ้าง" เมื่อแกะดมแล้วก็ตอบตามตรงว่า "เหม็นมากเลยนะท่าน" สิงโตโกรธมากจึงจับแกะกินเสีย... แล้วก็เรียกหมาป่าเข้ามาถาม "ไม่มีกลิ่นเลยท่าน" คำตอบของหมาป่าทำให้สิงโตโกรธ จึงจับหมาป่ากินเสีย เพราะคิดว่าหมาป่าเอาแต่ประจบไม่มีความจริงใจ ต่อมาสิงโตเรียกสุนัขจิ้งจอกมาถามบ้าง สุนัขจิ้งจอกจึงตอบว่า "วันนี้ข้าเป็นหวัด จมูกคงดมอะไรไม่ได้กลิ่นหรอกท่าน" สิงโตเห็นว่ามีเหตุผลจึงปล่อยตัวไป
THE COCK AND THE FOX •The moral of this story is • The trickster is easily tricked. เย็นวันหนึ่ง ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับฟ้า มีไก่เฒ่ามากประสบการณ์ตัวหนึ่งบินขึ้นเกาะคอนบนต้นไม้ และก่อนที่เจ้าไก่จะซุกหัวใต้ปีกเพื่อหลับไหล ก็เห็นหมาจิ้งจอกมายืนอยู่ใต้ต้นไม้ด้านล่าง •เจ้าไก่ได้ยินข่าวอันแสนวิเศษบ้างไหม" หมาจิ้งจอกร่ำร้องด้วยท่าทางที่ตื่นเต้นยินดี• "ข่าวอะไรกัน" เจ้าไก่ถามกลับไปเรียบๆ โดยมีรางสังหรณ์ลึกๆ อยู่ในใจ เพราะเจ้าไก่ รู้ดีว่า หมาจิ้งจอกเป็นสัตว์เจ้าเล่ห์ "พวกพ้องของเจ้ากับพวกพ้องของข้าแล้วก็สัตว์ชนิดอื่นๆ ตกลงกันแล้วว่าจะลืมข้อแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ เราจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ มีมิตรไมตรีต่อกันนับแต่นี้ตลอดไป ลองคิดดูสิ! ข้าแทบจะรอโอบกอดเจ้าไม่ไหวแล้ว! ลงมาเถิด เพื่อนรัก เรามาฉลองช่วงเวลาอันน่ายินดีเช่นนี้กันเถอะ" "ยอดเยี่ยมไปเลย!" เจ้าไก่พูด "ข้ายินดีกับข่าวนี้จริงๆ" เจ้าไก่เอ่ยปากตอบไปแบเย็นชา พร้อมเขย่งปลายเท้าขึ้น ราวกับเพ่งมองบางสิ่งบางอย่างที่ไกลออกไป "เจ้าเห็นอะไรเหรอ" หมาจิ้งจอกถามด้วยความกังวลเล็กน้อย "เอ้า! ดูเหมือนจะมีหมาฝูงหนึ่งกำลังมาทางนี้ พวกมันจะต้องได้ยินข่าวดีนี้แล้วแน่ๆ และ..." เจ้าไก่พูดยังไม่ทันจบ หมาจิ้งจอกไม่อยู่รอฟัง มันวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว "รอเดี๋ยวสิ" เจ้าไก่ร้อง "เจ้าจะวิ่งหนีทำไมละ ตอนนี้พวกหมาก็เป็นเพื่อนของเจ้าแล้วนี่!" "ใช่แล้ว" หมาจิ้งจอกตอบ "แต่บางทีพวกมันอาจยังไม่ได้ยินข่าวก็เป็นได้ นอกจากนี้ข้ายังมีธุระสำคัญต้องทำ ข้าเกือบลืมไปแล้วนะเนี่ย" เจ้าไก่ยิ้มพลางซุกหัวลงใต้ขนเพื่อเข้าสู่นิทราด้วยว่ามันหลอกศัตรูเจ้าเล่ห์ของมันได้เป็นผลสำเร็จ ~คนเจ้าเล่ห์มันโดนเล่ห์กลเข้าง่ายๆ~ ทุกฺโข พาเลหิ สํวาโส อมิตฺเตเนว สพฺพทา. อยู่ร่วมกับพวกพาล นำทุกข์มาให้เสมอไป เหมือนอยู่ร่วมกับศัตรู
เป็นภาพความทรงจำของผู้เขียน เมื่อประมาณปี พ..ศ2512 ที่ได้เห็นกับคาตัวเอง ที่ปัจจุบันก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ ว่าสิ่งที่ผู้เขียนได้เห็นนั้น คืออะไร ถ้าท่านผู้อ่าน ท่านใดมีประสบการณ์พบเจอ เรื่องลี้ลับ ก็มาแบ่งปันกันนะครับ แม้เวลาจะล่วงเลยผ่านไปกว่า 50 ปีแล้ว ณ บ้านเลขที่1671/6 ซอยอัศวมิตร ถนนจรัลสนิทวงศ์ ตำบลบางบำหรุ อำเภอบางกอกน้อย ธนบุรี(ในขณะนั้น ยังเป็นเขตพระนคร กับเขตธนบุรี (ปัจจุบันบ้านหลังนี้ ถูกเวนคืน เพื่อสร้างถนนไปนานแล้ว) หน้าปากซอยคือโรงหนัง ธนบุรีราม่า และ 35 โบล์ ในสมัยนั้น พื้นที่ในแถบนั้น ยังเป็นสวนผลไม้ ทั้งหมด ไฟฟ้ายังไม่มี ต้องใช้ตะเกียงเจ้าพายุ และตะเกียงน้ำมัน น้ำประปา ยังไม่มี ใช้น้ำจากลำคลอง สีขุ่นๆ หน้าที่หลักเราคือเอาถังตักน้ำจากในคลองมาใส่ตุ่มและกวนด้วยสารส้ม เพื่อให้ตกตะกอน น้ำจะใสมากเลย หลังจากตะกอนนอนก้นแล้ว ส่วนน้ำกินจะใช้น้ำฝน ซึ่งในสมัยนั้น ตุ่มใส่น้ำ เป็นสิ่งที่ทุกบ้านจำเป็นต้องมีเพื่อกักเก็บน้ำฝนไว้ให้พอใช้บริโภคปีต่อปี บ้านไม้ชั้นเดียว ยกสูง บนพื้นที่ 50 ตารางวา ล้อมรอบด้วยรั้วสังกะสี ด้านหน้าบ้านมองออกไปก็เป็นแต่สวนมีต้นไม้ ไม่ค่อยมีบ้านคน ด้านหลังเป็นลำคลอง ล้อมรอบไปด้วยสวนผลไม้ เมื่อมองออกไป ก็จะเห็นแต่แนวของต้นมะพร้าว และไม้อื่นๆ วันนั้นเป็นเวลาโพล้เพล้ ผู้เขียนมีอายุประมาณ 8 ขวบ ยืนแก้ผาอาบน้ำอยู่ริม คลองด้านหลังบ้าน ในตอนนั้น อาผัน น้องสาวของพ่อ กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารเย็นส่วนพ่อ แม่และน้องสาว ยังไม่กลับเข้ามาบ้าน สิ่งที่เราได้เห็น คือภาพของพระจันทร์ (ในความคิดของเด็กคนหนึ่ง) ดวงจันทร์วันนี้ดูสวยงามมาก สุกใสสว่าง และเป็นดวงจันทร์ที่มีขนาดใหญ่มากๆ เรามองดูความสวยงามของพระจันทร์ยักษ์ดวงนั้น ลอดผ่านใต้ถุนออกไปทางหน้าบ้าน พระจันทร์ดวงนั้นค่อยๆลอยโผล่ขึ้นมาจากแนวดำทะมึนของยอดไม้ที่ตัดกับขอบฟ้า สุกใสสวยงาม และใหญ่กว่าดวงจันทร์ที่เราเห็นปกติถึง 2-3 เท่า เขาค่อยๆลอยพ้นแนวดำของยอดมะพร้าวขึ้นมาจนเต็มดวง ลอยนิ่งอยู่แบบนั้น และเหมือนว่าจะเพิ่มขนาดที่ใหญ่ขึ้น เรายังคงอาบน้ำไปและมองไปที่แสงสว่างดวงนั้น ส่วนอาผัน ก็ยังคงง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารเย็น แต่อยู่ๆ พระจันทร์ใหญ่ดวงนั้น ไม่ใช่พระจันทร์แบบที่เด็กคนหนึ่งรู้จักและเคยเห็นมาก่อน ดวงไฟลูกใหญ่ที่สุกใสนั้นค่อยๆ ลอยขึ้น และลงสลับ เหมือนฟันเลื่อย เคลื่อนตัว ลอยอยู่เหนือแนวดำของยอดมะพร้าว "อา อา ดูพระจันทร์ดิ" เราเรียกให้ อาผัน หันไปดูสิ่งที่เราเห็น.... สิ่งที่เรายังจำติดตามาจนถึงทุกวันนี้ แม่ว่าเวลาจะผ่านไปแล้วกว่า 50 ปี คือภาพที่ อาผัน ทิ้งทุกอย่างที่กำลังทำอยู่ และวิ่งออกไปที่หน้าประตูบ้าน .. เรา ก็วิ่งตามออกไปทันที ในสภาพล่อนจ้อน ทันที ที่ อาผัน เปิดประตูรั้ว พระจันทร์ ยักษ์ดวงนั้น หยุดการเคลื่อนไหว และทันใดนั้น ลูกไฟใหญ่ดวงนั้น ได้พุ่งลับหลบหายลงไปหลังแนวเงาต้นไม้อย่างรวดเร็ว .. ด้วยความเป็นเด็กที่ยังไม่เดียงสา เราก็กลับมาอาบน้ำต่อ กินข้าว แล้วเล่นไปตามประสาเด็ก 'เราได้ยิน ผู้ใหญ่เขาคุยกันหลังจากนั้น พอจะจำความได้ว่า ตรงจุดที่เราเห็นดวงไฟลอยขึ้นมา มีบ้านคนที่มาอยู่ใหม่ได้ไม่นานนัก มีเด็กพึ่งคลอดใหม่ที่บ้านหลังนั้น' ซึ่งเราไม่เข้าใจว่า มันเกี่ยวอะไรกัน หลายเดือนต่อมา กลางดึกคืนหนึ่ง ขณะที่ทุกคนในบ้านนอนหลับกันหมดแล้ว เราต้องสะดุ้งตื่นขึ้น จากเสียงเอะอะ ของเพื่อนบ้าน ที่อยู่ติดกัน เรางัวเงียขึ้นมานั่งดู พ่อ แม่ อาผัน รีบเร่งลงไปใต้ถุนบ้านด้านล่าง มีแสงไฟฉายของพ่อ ที่สาดส่องไปทั่ว บริเวณบ้าน.. เสียงที่เราได้ยิน ผู้ใหญ่เขาพูดคุยกัน จับความได้ว่า "มันมาเช็ดปากกับผ้าถุง ที่แขวนตากไว้" •••••••••••••••••••••••••••••••••••