หนึ่งวันผ่านไปอย่างเชื่องช้า กู้เลี่ยงรุ่ยเริ่มขยับตัวมาเดินเพื่อคลายกล้ามเนื้อ เขาสวมชุดป่านหยาบๆเพื่อกันหนาว มองอาจื่อคอยสุมไฟไล่ไอเย็นอยู่ไม่ไกล ด้านบนมีเหล็กเสียบลงมาห้อยกาน้ำ ข้างๆมีชั้นวางของเล็กน้อยที่มีมันเทศสองสามหัว แน่นอนว่านั้นคืออาหารเย็นของอาจื่อ ส่วนกู้เลี่ยงรุ่ยคือโจ๊กใสเช่นเดิม กระท่อมน้อยของผู้อาวุโสเว่ยไม่ได้ซ่อมซ่อแต่ก็ไม่ได้ดีนัก ภายในมีที่พักอยู่แค่หนึ่งห้อง ซึ่งกู้เลี่ยงรุ่ยยึดครองมานานแล้ว ส่วนผู้อาวุโสเว่ยกับอาจื่อนอนด้วยกันที่ตั่งใหญ่ๆกลางโถง ตั้งแต่กู้เลี่ยงรุ่ยฟื้น เขาขอย้ายที่นอนมาตลอดแต่ก็ไม่สำเร็จ ผู้อาวุโสเว่ยยืนยันว่ากู้เลี่ยงรุ่ยควรจะนอนที่ตั่งในห้องเพื่อให้ดีต่อการรักษา จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้ย้าย เดือดร้อนผู้อื่นย้ายที่นอนในบ้านตัวเอง สามเดือนกว่าแล้วที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในร่างกู้เลี่ยงรุ่ย ในดินแดนต่างชาติต่างภาษาที่ไม่คุ้นเคย แต่พอนานไปๆก็เริ่มจะชินเสียแล้ว รวมทั้งอาการเจ็บแทบตายตอนกลางคืนหรืออาการเหนื่อยล้าในยามปกตินี่ด้วย กู้เลี่ยงรุ่ยในตอนนี้จึงอยู่ไปวันๆเท่านั้น รอว่าเมื่อไหร่ผู้อาวุโสเว่ยจะเอาโสมคืนวิญญาณมารักษาร่างกายที่ผุพังนี่เสียที ความรู้สึกในตอนนี้ของกู้เลี่ยงรุ่ยเหมือนยังไม่ตื่น ใครจะคิดว่าอยู่ดีๆวันหนึ่งจะหัวใจวายตายแล้วมาโผล่ในนิยายเรื่องที่อ่านก่อนตาย ซ้ำยังมาเป็นตัวเอกถูกฆ่าอีก ชีวิตมันน่าเศร้าเหลือเกิน ทำไมทะลุมิติมาทั้งทีต้องอาภัพขนาดนี้ ให้เป็นใครก็ได้ แต่เป็นกู้เลี่ยงรุ่ย พระเอกชะตาขาดเสียได้ คิดๆแล้วก็ขำ ตอนนั้นไม่ใช่เธอหรอกเหรอที่ร้องไห้จนใจจะขาดตอนกู้เลี่ยงรุ่ยตาย แล้วเป็นไงล่ะ มาอยู่ในร่างนี้สะได้ ซาบซึ้งจนน้ำตาแทบจะเอ่อคลอเลยล่ะ “พี่รุ่ย ท่านคิดอะไรอยู่หรือ”อาจื่อเป็นด็กตัวผอมวัยสิบขวบ เป็นคนร่าเริง ในตอนแรกติดขี้อายอยู่บ้าง พอคุ้นเคยก็เริ่มพูดคุยมากขึ้น ร่างเล็กที่อังมือจนอุ่น เดินมาจับมือกู้เลี่ยงรุ่ยที่เย็นเฉียบ “พี่รุ่ย มือท่านเย็นนัก” “ข้าไม่เป็นไร เจ้าอย่าได้กังวลไปนักเลย”ถึงยังไงพระเอกก็ไม่ตายง่ายๆหรอก มีอะไรให้ต้องกังวงล่ะ ร่างกายนี่แม้จะผุพังในยามนี้ แต่อีกไม่นานก็จะหายดีแน่นอน แต่อยู่ดีๆในอกของกู้เลี่ยงรุ่ยก็รู้สึกเสียดแปลบ ต้องข่มกลั้นกลืนความเจ็บปวดลงไป หัวคิ้วยังคงยับย่น “พี่รุ่ย ท่านเจ็บมากเลยใช่หรือไม่ อาจารย์บอกว่าท่านถูกอาคมฝ่ามือพรากวิญญาณของประมุขมารผู้นั้น”น้ำเสียงยามกล่าวก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจสามในห้าส่วน “เรื่องนั้นพี่จำไม่ได้แล้ว...”กู้เลี่ยงรุ่ยยิ้มน้อยๆ เขายังคงรักษาภาพลักษณ์ที่แสนดีต่อไป แต่เมื่อพูดว่าจำไม่ได้ อาจื่อก็ยิ่งเศร้า ทำเอากู้เลี่ยงรุ่ยต้องหาอะไรมาพูดแต่ก็นึกสิ่งที่จะพูดไม่ออกจึงเงียบแล้วคิด ทั้งยังรู้สึกว่าอันที่จริงแล้วกู้เลี่ยงรุ่ยควรจะทำอะไรให้อาจื่อบ้าง เด็กตัวน้อยคนนี้ลำบากเพราะเขามามาก ทุกวันก็ตื่นแต่เช้าไปตักน้ำเย็นๆมาต้มให้ร้อน ปรนนิบัติพัดวีจนกู้เลี่ยงรุ่ยไม่ต้องลำบากแม้สักนิด แต่เห็นมือน้อยๆแดงก่ำและสวมเสื้อผ้าปะชุนทั่วตัว ทั้งยังดูไม่อุ่นสักนิด กู้เลี่ยงรุ่ยจึงคิดว่าจะหาเงินมาช่วยจุนเจือครอบครัวนี้สักหน่อย คิดไปคิดมาก็จำได้ว่าตำบลอู่เสวียนมีงานเทศกาลประจำปีที่น่าสนใจอยู่งานหนึ่ง เมื่อลองบวกลบในใจถึงวันแรกนับตั้งแต่หิมะตกก็พอดีกับวันพรุ่งนี้“จริงสิอาจื่อพี่จำได้ว่าใกล้ๆนี่มีตลาด ไหนๆก็ไหนๆแล้วพรุ่งนี้พวกเราไปชมดูสักหน่อยหรือไม่”เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องทั่วไป ใครๆก็รู้ ใกล้ๆตำบลอู่เสวียนมีตลาดนัดของตำบลที่คึกคักที่สุด การปรากฏตัวของตลาดนัดตำบลอู่เสวียนอยู่ที่เล่มที่สอง เป็นสถานที่แรกที่กู้เลี่ยงรุ่ยกับฉีอ้ายอันนัดพบกันริมทะเลสาบตอนงานเทศกาลประจำปีอันโด่งดังของตำบลอู่เสวียน วันนั้นอากาศสดใส ดอกไม้ริมแม่น้ำบานสะพรั่ง กิ่งต้นหลิวโน้มลงสู่ริมน้ำ ยามสายน้ำพัดพามาก็โชยเอากลิ่นหอมหวานของมวลบุปผามาด้วย ทั้งสองพักเหนื่อยแถวนั้นหลังจากเที่ยวชมเทศกาลงานตลาดนัดที่จัดขึ้นทุกๆปีแล้ว คิดถึงตรงนี้กู้เลี่ยงรุ่ยก็สะบัดศีรษะไม่อยากคิดถึงเรื่องในอดีตอีก ตอนนี้จดจ่อแค่ปัจจุบันเท่านั้น “จริงรึ ดียิ่ง แต่ว่าพี่รุ่ย พวกเราไม่มีเงิน...”ปลายเสียงเบาลงอย่างเจียมตัว “ไม่มีเงินก็หาเงินได้ อาจื่อ มิใช่ว่าชุดนั้นของพี่ยังอยู่หรือ พวกเราเอาชุดนั้นไปขายเถอะ ยังไงก็ต้องได้ราคา”ตอนอ่านกู้เลี่ยงรุ่ยจินตนาการถึงบรรยากาศเทศกาลเอาไว้มากมาย มาวันนี้ได้มีโอกาสมาอยู่ที่นี้ ในใจตื่นเต้นไปแล้วกว่าอาจื่อเสียอีก “นั้นเป็นชุดแต่งงานของพี่รุ่ย จะขายเอาเงินได้อย่างไร พี่รุ่ย ท่านต้องเก็บชุดเอาไว้ รอวันที่ท่านจำได้และกลับไปหาภรรยา อาจารย์พูดแล้ว เมื่อท่านหายดียังต้องส่งท่านกลับไปหาครอบครัวและภรรยา พี่รุ่ย ท่านต้องเก็บชุดไว้นะ” “อาจื่อ ชุดนั้นสำหรับพี่แล้วคือชุดที่มีคุณค่า แต่ในตอนนี้พี่เห็นว่ามันจะสมควรกว่าที่จะเอาชุดไปแลกเงิน อย่างน้อยก็เพื่อให้อาจื่อน้อยของพี่ได้มีความสุขกับผู้อื่นบ้าง เรื่องอื่นๆนั้นพี่ไม่อยากใส่ใจ”นับตั้งแต่ตื่นมา กู้เลี่ยงรุ่ยได้สำรวจชุดแต่งงานแบบโบราณสุดประณีตไปหลายรอบ เห็นเนื้อผ้าก็เป็นเนื้อผ้าอย่างดี ลวดลายปักก็เป็นเอกลักษณ์มีฝีมือคงจะขายได้ราคาไม่น้อย จึงตัดใจทำลายไม่ลงทั้งๆที่อยากทำลายหลักฐานทุกสิ่งอย่างที่เกี่ยวข้องกับกู้เลี่ยงรุ่ยในอดีตทิ้งไป เหมือนลบตัวตนที่เคยมีมาเสีย อีกอย่างคือแม้ตำบลอู่เสวียนจะห่างไกลติดชายแดนจนข่าวสารมาถึงล่าช้า แต่สองสามวันมานี่อาจื่อที่ลงเขาไปตลอดได้กลับมาเล่าเรื่องชายชุดดำมาเดินตรวจอยู่แถวๆนี้ให้ฟัง กู้เลี่ยงรุ่ยรู้แล้วว่าข่าวการเสียชีวิตและหายไปอย่างไรร่องรอยของกู้เลี่ยงรุ่ยได้เดินทางมาถึงแล้ว แม้จะเสี่ยงที่จะออกไป แต่ยังไงก็ต้องกินต้องอยู่ หาเงินมาได้ก่อนค่อยว่ากัน มาวันนี้ได้ข้ออ้างขายเอาเงินแล้ว ดวงตาอาจื่อเปล่งประกายแวววาว รอยยิ้มกว้างขวาง“พี่รุ่ย ท่านดียิ่งนัก” ตำบลอู่เสวียนเป็นตำบลที่รุ่งเรืองตำบลหนึ่งของรัฐฉี ชาวบ้านอยู่ดีกินดีตามประสา ด้วยไม่ไกลจากชายแดนจึงมีชาวเผ่ามากกว่าสามชนเผ่ามาคอยแลกเปลี่ยนสินค้าอยู่เสมอ เนื่องเพราะอยู่ติดแม่น้ำหวงโฮ และทะเลป๋อไห่ ทั้งยังมีเส้นทางเดินเท้าข้ามทะเลสาบสุดสะดวกสะบายในช่วงที่น้ำจับตัวแข็งเป็นชั้น จึงทำให้ไม่ว่าจะเป็นเผ่าซยงหนูนอกด่าน ชนเผ่าเหมียว ชนเผ่าม่อจื่อ หรือรัฐใกล้ๆอย่างรัฐเยี่ยน รัฐจิ้น รัฐเว่ยและรัฐหลู่ก็ทำการค้าอย่างคึกคักในช่วงนี้ ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมากู้เลี่ยงรุ่ยพยายามรื้อฟื้นความทรงจำของตัวเองอย่างหนักเพื่อค้นหาว่าในยุคนี้ของหนังสือกำลังกล่าวถึงยุคไหนกันแน่ ความที่เรียนประวัติศาสตร์ชาติจีนมาบ้างทำให้มีความรู้ในเรื่องนี้อยู่พอสมควรแต่ไม่ได้เจาะลึกอะไรมากนัก แต่พอคิดทบทวนไปคิดทบทวนมากลับพบว่าตำบลอู่เสวียนในประวัติศาสตร์นั้นไม่มีอยู่จริง เรื่องราวของรัฐผู้ครองนครทั้งเจ็ดนั้นมีอยู่จริงในประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์โจว แต่ผู้เขียนได้ระบุเอาไว้ในตอนแรกแล้วว่าเรื่องราวเกิดจากการสมมติขึ้นมา ทั้งยังโยงเส้นเรื่องไปในยุคที่ประชาชนยังคงต้องต่อกรกับปีศาจและภูตผี บนโลกมีนักพรตผู้เก่งกาจ เทพเซียนบนเขาสูง และสำนักคุ้มภัยที่กำลังรุ่งเรือง เรียกได้ว่าเป็นนิยายกำลังภายในอย่างแท้จริง และเพราะความที่เป็นนิยายกำลังภายใน ซ้ำยังเป็นเรื่องสมมติไม่อิงประวัติศาสตร์ กู้เลี่ยงรุ่ยจึงเดาไม่ออกเลยว่าเรื่องราวจะดำเนินต่อไปอย่างไร เขาจึงทำได้แค่นั่งทวนในใจว่าตั้งแต่เล่มแรกจนมาถึงเล่มที่ห้าของนิยาย ‘เจ้าสำนักหวนรัก’นั้นมีอะไรบ้าง แรกสุดเลยคือการพบเจอกันของกู้เลี่ยงรุ่ยและฉีอ้ายอัน ทั้งสองพบกันเพราะฉีอ้ายอันถูกปีศาจดักทำร้ายตอนกลับจากไปไหว้ขอพรพระที่วัด สกุลกู้ที่ตั้งสำนักคุ้มภัยมาหลายชั่วอายุคนแถบเมืองทางเหนือได้รับงานมาชิ้นหนึ่งให้ไปพบอารักขาเจ้าเมืองในตอนนั้นขณะที่กำลังกลับจากโรงทาน ระหว่างทางนั้นกู้เลี่ยงรุ่ยจึงได้บังเอิญช่วยฉีอ้ายอันไว้ได้ เรียกว่าเป็นพรหมลิขิตชักพา ทั้งสองต่างมีใจให้กันตั้งแต่แรกพบ แต่ด้วยฐานะและความต่างกันของที่ยืนในสังคมทำให้ทั้งสองต้องเก็บงำความรู้สึก ไม่อาจบอกให้ใครรู้ได้ ในตอนนั้นเองที่เรื่องราวของทั้งสองที่ไม่น่าจะบรรจบกันได้และหวนมาพบเจอกันอีกครั้งเมื่อเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่หลวงของรัฐฉี แม่น้ำหวงโฮในปีนั้นเอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือนและที่นาของชาวบ้าน แม่น้ำมหานทีกวาดเอาทุกสรรพสิ่งและชีวิตของคนไปกับสายน้ำอย่างเลือดเย็น หลังภัยครั้งนั้นเกิดความเดือดร้อนและทุกข์ยากไปทุกหย่อมหญ้า จวนสกุลฉีตั้งโรงทานเป็นพิเศษเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่กำลังจะอดตาย เช่นเดียวกับสกุลกู้ พวกเขาลงจากเขาเพื่อปราบปรามเหล่าโจรที่เพิ่มขึ้นจากเดิมเพราะความขัดสนและไร้ทางเลือก และไม่ใช่แค่มนุษย์ที่เดือดร้อน เหล่าปีศาจและภูตผีก็เริงร่าเที่ยวฆ่าคนอย่างคึกคะนอง ในปีนั้นเกิดความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า จนฉีคุนอ๋องออกประกาศฉบับพิเศษเพื่อบรรเทาทุกข์และให้ขวัญกำลังใจชาวประชาพร้อมกับคำมั่นสัญญาว่าจะชดเชยและให้การช่วยเหลืออย่างที่สุด ฉีอ๋องทำอย่างที่พูด การช่วยเหลือมาถึงชาวบ้านทุกผู้ทุกคนอย่างเท่าเทียม ทั้งยังเตรียมแผนตั้งรับภัยอุทกภัยเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากจากการระดมกำลังนักปราชญ์และผู้มีสติปัญญาทั้งหลายเพื่อหารือ จนสามารถคิดแผนอันชาญฉลาดเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืน และหลังจากปีนั้น รัฐฉีก็ไม่เคยต้องประสบเหตุการณ์น้ำท่วมอีกเลย แต่ปัญหาเรื่องปีศาจภูตผี มนุษย์อย่างฉีอ๋องจะจัดการได้อย่างไร ย่อมต้องเป็นหน้าที่ของเจ้าสำนักคุ้มภัยอันโด่งดังทั้งสี่แห่งรับมือ เรื่องราวส่วนใหญ่ของนิยายจึงไม่ค่อยบอกเล่าถึงความเป็นไปในโลกของมนุษย์ธรรมดาทั่วไปนัก โดยเน้นไปที่ตัวกู้เลี่ยงรุ่ยซึ่งเป็นวรยุทธ์ นับเป็นคนในยุทธภพ เรื่องราวจึงดำเนินไปที่การชิงความเป็นหนึ่งของสำนักคุ้มภัยที่โดดเด่นอยู่สี่แห่ง เช่นสำนักคุ้มภัยพรมบุปผา สำนักคุ้มภัยพยัคเมฆ สำนักคุ้มภัยหอนักปราชญ์และสำนักคุ้มภัยสกุลกู้ รวมทั้งต่อกรและประมือกับเหล่าปีศาจมารร้าย โดยมารร้ายอันดับหนึ่งที่ปรากฏในนิยายและเป็นตัวหลักคือประมุขซีซวนหลินจากลัทธิซีซวน พวกเขาออกตระเวนสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านทุกหย่อมหญ้า ฉีอ๋องแม้จะเป็นเจ้านครแต่ก็ไม่สามารถจะจัดการกับปีศาจร้ายแสนเจ้าเล่ห์อย่างซีซวนหลินได้ ทั้งยังต้องเผชิญหน้าและรับมือกับการบุกรุกของรัฐอื่นๆที่จ้องจะเล่นงานในยามยาก ในปีนั้นฉีอ๋องยกทัพจับศึกขับไล่ที่ชายแดน กู้เลี่ยงรุ่ยในฐานะเจ้าสำนักคุ้มภัยก็งานล้นมือ ระดมกำลังคนจากทุกสำนักคุ้มภัยและนิกายฝ่ายธรรมมะเพื่อร่วมต่อสู้กับมารร้ายอย่างซีซวนหลิน จนทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บและถอยไปได้ครู่หนึ่ง มีคำกล่าวว่าเมื่อมีคนผู้หนึ่งโดดเด่นเกินผู้อื่นก็ย่อมเกิดหายนะ เจ้าสำนักอื่นๆล้วนไม่พอใจในตัวสำนักสกุลกู้อยู่เป็นทุนเดิม วันนั้นที่กู้เลี่ยงรุ่ยโดนทำลายปราณเสียหายจากการประมือกับประมุขซีซวนหลินจนสำนักพังยับและมีศิษย์เสียชีวิตไปจำนวนมาก ทุกสำนักต่างอยู่ห่างๆมีเพียงฉีอ้ายอันที่ดันด้นขึ้นเขามาเพื่อดูแลกู้เลี่ยงรุ่ย เป็นการจุดประกายไฟความรักให้โชติช่วง สำนักสกุลกู้สร้างขึ้นใหม่และความรักกำลังสุกงอมก็เป็นเวลาที่ต้องพบเจอขวากหนามชิ้นเดิมอีกครั้ง ด้วยความแค้นสั่งสม ประมุขซีซวนหลินภายหลังได้ฝึกกำลังภายในอาคมต้องห้ามจนสำเร็จ ได้ออกอาละวาดอีกครั้งก่อนหน้าที่กู้เลี่ยงรุ่ยและฉีอ้ายอันจะแต่งงานกัน ประจวบเหมาะกับตอนนั้นฉีอ๋องที่ยกทัพไล่ต้อนข้าศึกได้รับชัยและกลับมาพอดี ทำให้เกิดเป็นหนามยอกอกอีกชิ้นที่ประกาศกร้าวว่าไม่ยินยอมให้ฉีอ้ายอัน น้องสาวที่เป็นดังแก้วตาดวงใจแต่งงานกับเจ้าสำนักคุ้มภัยสกุลกู้ที่ต่ำต้อยเพราะเบื้องหลังของกู้เลี่ยงรุ่ยก็เป็นแค่เด็กกำพร้าที่ประมุขกู้ไฉอี้เก็บมาเลี้ยง เวลานั้นกู้เลี่ยงรุ่ยลืมประมุขซีซวนหลินไปแล้ว เอาแต่หาวิธีเพื่อเอาชนะใจฉีอ๋อง ช่วงเวลาหอมหวานที่ความรักกำลังเบ่งบาน จนสุดท้ายกู้เลี่ยงรุ่ยก็สามารถข้ามผ่านฉีอ๋องมาได้และกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์ในเล่มที่ห้า ประมุขซีซวนหลินก็ปรากฏขึ้นและใช้อาคมฝ่ามือพรากวิญญาณกับกู้เลี่ยงรุ่ยจนวิญญาณสลาย พอคิดมาถึงตรงนี้กู้เลี่ยงรุ่ยสะดุดไปเล็กน้อย เพราะคิดไม่ออกว่าทำไมอยู่ดีๆกู้เลี่ยงรุ่ยจึงเดินทางอย่างรีบร้อนลงจากเขาทั้งชุดแต่งงานเพื่อมาพบฉีอ๋องและถูกเขาแทงหนึ่งกระบี่พร้อมกับถ้อยคำว่าจากนี้ลืมมันเสีย มันช่างไม่สมเหตุสมผลเลยมิใช่หรือ ตอนที่อ่านก็ไม่ได้ระบุหรือเฉลย เพียงแต่มีสาน์สลับจากองครักษ์ขึ้นมาถึงตีนเขาสกุลกู้และนั้นก็ทำให้กู้เลี่ยงรุ่ยใช้วิชาตัวเบาลงเขามา สุดท้ายจึงโดนฉีอ๋องแทงและโดนประมุขซีซวนหลินประทับอาคมฝ่ามือพรากวิญญาณ... เหมือนทั้งสองนัดแนะกันมาเพื่อสังหารกู้เลี่ยงรุ่ยไม่ใช่หรือ? คิดเรื่องราวในนิยายทั้งห้าเล่มจนจบแล้วกู้เลี่ยงรุ่ยก็รู้สึกว่ามันช่างเหมือนหมอกมัวๆเรื่องราวซับซ้อนและเต็มไปด้วยปริศนา ทำไมกันนะ ฉีอ๋องถึงแทงกู้เลี่ยงรุ่ยในวันนั้น ถึงจะไม่ชอบหน้ากันเช่นไรแต่ก็คงไม่ถึงขั้นจะต้องฆ่ากัน และที่สำคัญคือทำไมกู้เลี่ยงรุ่ยไม่รู้จักสู้ ด้วยวรยุทธ์ของกู้เลี่ยงรุ่ยแล้วฉีอ๋องไหนเลยจะสู้ได้ กระบี่พันทิวาของกูเลี่ยงรุ่ยใช่ของดาษดื่น แต่เท่าที่อ่าน เห็นได้ชัดว่ากู้เลี่ยงรุ่ยยอมรับและปล่อยให้ฉีอ๋องใช้กระบี่โรยราแทง แต่ความคิดทั้งหลายก็มีอันต้องสะดุดเมื่อใต้เท้าสะดุดก้อนหินก้อนหนึ่ง จนความคิดว้าวุ่นทั้งหลายปลิวหายไปกับความหนาวเย็น ดีที่ใช้ไม้เท้ายันไว้ได้ เส้นทางลงจากเขาขรุขระไปบ้าง อาจื่อคอยประกบกู้เลี่ยงรุ่ยไม่ห่าง แม้จะบอกว่าร่างกายผุพังบาดเจ็บหนัก แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นจะเดินเหินไม่ได้เลย กู้เลี่ยงรุ่ยในยามนี้แข็งแรงขึ้นมากแล้ว สามารถเดินคล่องโดยอาศัยไม้เท้าคอยช่วยพยุงผ่อนแรงบ้าง อากาศหนาวเหน็บและสภาพความเป็นอยู่แบบพลิกฝ่ามือก็สามารถรับมือได้แล้ว บนใบหน้ามีผ้าปิดเอาไว้จนถึงใต้ดวงตา กู้เลี่ยงรุ่ยทำเช่นนี้เพื่อป้องกันเรื่องยุ่งยากเพราะเขาไม่อยากจะให้ใครพบตัวในตอนนี้ ใครจะรู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง ยังไงก็ตามแต่ ชื่อเสียงของกู้เลี่ยงรุ่ยก็พอจะมีอยู่บ้าง ซ้ำแถวนี้อาจจะมีคนรู้จักมาเดินท่องเที่ยว กู้เลี่ยงรุ่ยไม่อาจไม่ป้องกัน ก็อย่างที่บอก กู้เลี่ยงรุ่ยคิดว่าบางทีอาจจะเป็นการร่วมมือกันของฉีอ๋องและประมุขมารผู้นั้นที่ร่วมมือกันล่อกู้เลี่ยงรุ่ยมาตาย เขาจึงต้องระวังมากเป็นพิเศษ “พี่รุ่ย ท่านต้องปิดหน้าเช่นนี้ด้วยรึ มีเรื่องอะไรที่ท่านกังวลหรือ?”อาจื่อจะนับว่าฉลาดก็ยังได้ ท่าทางคล่องแคล่วและคล่องมือ ทำอะไรก็ดีไปหมด เด็กน้อยวัยสิบกว่าขวบที่ทำทั้งโจ๊กและต้มยาให้กู้เลี่งรุ่ยดื่มในทุกๆวันก็คืออาจื่อ “พี่แค่กันไว้ก่อน อย่างไรเสีย ตามที่พี่คิดดูคงมีคนปองร้ายอยู่บ้าง เกรงว่าตอนนี้พี่ยังจำตัวเองไม่ได้ก็จะถูกคนร้ายเอาชีวิตก่อน พี่ทำเช่นนี้อาจื่ออย่าใส่ใจเลย” “เข้าใจแล้วขอรับ พี่รุ่ยวางใจ อาจื่อจะคอยดูแลพี่รุ่ยเอง”ใบหน้าน้อยๆฉายแววมุ่งมั่น ในมือถือโคม บนหลังสะพายห่อผ้าที่บรรจุชุดแต่งงาน “ขอบใจเจ้ามาก”ด้วยความเอ็นดู กู้เลี่ยงรุ่ยก็วางมือลงบนศีรษะของอาจื่อแล้วโยกไปมาสองสามที หลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก ทั้งสองเดินช้าๆค่อยๆลงจากเขามายังเส้นทางหลักที่ปลอดภัยจากภูตผีปีศาจ แถวนี้เป็นเขตรักษาความปลอดภัยของสำนักคุ้มภัยสกุลพยัคเมฆ เจ้าสำนักตู้จิ้งกง ซึ่งก็ทำได้ยอดเยี่ยม ไม่งั้นจนถึงดึกดื่นผู้คนไหนเลยจะเดินทอดน่องสบายใจได้ ถึงอย่างนั้นชื่อเสียงของเจ้าสำนักตู้จิ้งกงก็ไม่ได้ดีนัก ทั้งยังถือว่าเป็นคู่ปรับอันดับหนึ่งของกู้เลี่ยงรุ่ย ในงานประชุมของสมาคมเฟิงซานเล่อปู้เพื่อคัดเลือกผู้นำของสำนักคุ้มภัย เจ้าสำนักตู้จิ้งกงได้พ่ายแพ้ให้กับกู้เลี่ยงรุ่ยในการประลองด่านสุดท้ายไปอย่างน่าเสียดาย อาจื่อที่ลงเขามาซื้อข้าวของบ่อยๆย่อมรู้ดีว่าจะสามารถไปขายของได้ที่ร้านใด ดังนั้นทั้งสองจึงตรงไปยังร้านค้าก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อยิ่งใกล้ก็ยิ่งได้ยินเสียงคึกคักสนุกสนานและแสงไฟสว่างไสว กู้เลี่ยงรุ่ยหยุดกายลงหน้าร้านที่อาจื่อหยุดลงก่อนหน้านี้ เป็นร้านขายผ้าสกุลอิ๋นที่มีชื่อเสียงของตำบลอู่เสวียน ภายในร้านคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย ด้วยเทศกาลตลาดนัดที่หนึ่งปีมีหนึ่งหนทำให้ได้รับความสนใจและมีประชาชนออกมาเที่ยวชมหนาตา ดูท่ากิจการของร้านขายผ้าสกุลอิ๋นจะได้กำไรมากเป็นแน่ ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปร่างของหญิงวัยกลางคนเกล้าผมด้วยปิ่นห้อยก็รีบมาต้อนรับ ด้วยเรือนร่างและรูปโฉมที่แม้จะซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าอยู่ทั้งหมดแต่ไม่ว่าอย่างไรก็สามารถบอกได้ในทันทีว่าคนผู้นี่มีรูปโฉมไม่ธรรมดา ชุดผ้าหยาบที่สวมอยู่เหมือนไม่อาจลดทอนสิ่งใดบนตัวได้ จึงละความสนใจลูกค้าท่านอื่นมาต้อนรับ“คุณชาย ไม่ทราบว่าสนใจจะซื้อแบบไหนหรือเจ้าค่ะ” อาจื่อกระตุกแขนเสื้อกู้เลี่ยงรุ่ย “พี่รุ่ย ท่านนี้คือเถ้าแก่เนี้ยของร้าน” พอรู้ว่าเป็นเจ้าของร้านมาเอง กู้เลี่ยงรุ่ยก็เริ่มทำการค้าทันที“สอบถามแม่นาง ไม่ทราบว่าร้านผ้าของท่านรับซื้อชุดหรือไม่ พอดีข้ามีชุดอยู่ชุดหนึ่ง มีรอยขาดไปจุดหนึ่งสามารถต่อรองราคากันได้ตามเหมาะสม” “ชุดหรือ? คุณชายร้านขายผ้าสกุลอิ๋นหากไม่ใช่ผ้าชั้นดีและมีลวดลายที่ละเมียดละไมเกรงว่าจะรับซื้อไว้ไม่ได้ คุณชาย ท่านดูร้านเราเป็นร้านขายผ้า ไหนเลยจะรับซื้อเสื้อผ้าอีก คุณชาย ท่านคงไม่ได้เอาผ้าแปลกๆอะไรมาย้อมแมวขายหรอกนะเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นข้าคงต้องเชิญท่านออกไปแล้ว” “แม่นางเข้าใจผิดแล้ว เป็นชุดอย่างดีไม่ย้อมแมวแน่นอน เชิญแม่นางลองดูก่อน ไม่แน่อาจจะเข้าตาแม่นางบ้างไม่มากก็น้อย หากว่าแม่นางชมแล้วยังไม่อยากจะรับซื้อ ข้าจะไม่เซ้าซี้”ด้วยระดับชุดที่ฉีอ้ายอันปักแล้ว กู้เลี่ยงรุ่ยไม่กังวลใจเลยสักนิด จึงส่งสัญญาณให้อาจื่อส่งห่อผ้าไปให้นางดู “คุณชายนี่มัน...”ชุดแต่งงานที่สวยที่สุดที่นางเคยเห็นมาตั้งแต่เกิด อีกทั้งรอยขาดที่ว่าก็เล็กเท่าสองนิ้วผ่านได้เท่านั้น รอยนั้นอาจจะเป็นจากกระบี่ที่อกซ้าย ซึ่งนอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีร่องรอยตำหนิอื่นใดอีก นางเอามือลูบไล้ผ้าเพื่อสัมผัสกับความนุ่มลื่นและเพ่งมองรอยปักอย่างดีด้วยหัวใจรัวแต่ก็ยังต้องเก็บอาการเหล่านั้นลงไปในอก ก่อนจะแสร้งตีราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็นเพื่อกดราคา ทั้งๆที่หากซ่อมรอยขาดนั้นแล้วจะขายเอากำไรสักร้อยตำลึงทองก็ยังได้ “ผ้าดีจริงแต่มีรอยตำหนิทั้งยังเป็นชุดใส่แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นชุดที่ขโมยมา ร้านสกุลอิ๋นหากจะทำการค้าก็ยังต้องคิดอยู่บ้าง แต่เห็นว่าคุณชายดูคุ้นเคย ข้าจึงจะช่วยซื้อไว้ด้วยราคาห้าตำลึงทอง”ปากบอกว่ากลัวของโจรแต่ก็แอบเลื่อนชุดมาใกล้ตัว ในใจนั้นอยากได้จนตัวสั่น แค่คิดภาพว่าเอาชุดไปซ่อมรอยขาดและเอามาแขวนขายหน้าร้าน คงมีคุณชายวัยใกล้ออกเรือนมาเลือกซื้อเป็นแน่ “แม่นาง ท่านกล่าวหนักไปแล้วชุดนี้เป็นของญาติของข้าเอง ด้วยช่วงนี้ลำบากจึงได้แต่นำชุดมาขาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะขายถูกๆแค่ห้าตำลึงทอง แม่นางท่านจะทำกำไรมากเกินไปหรือไม่ เกรงว่าชุดนี้ถ้าขายไปคงจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบตำลึงทองกระมั่ง”ของที่ฉีอ้ายอันคัดสรรล้วนดีที่สุด ลายปักประณีตและเต็มไปด้วยเทคนิกที่หาในงานฝีมือทั่วไปไม่ได้ อีกทั้งราคาที่เถ้าแก่เนี้ยกล่าวมาจะขูดรีดเกินไปแล้ว อย่างไรราคาการซื้อขายของที่นี้กู้เลี่ยงรุ่ยเข้าใจแจ่มแจ้ง ราคาแค่ห้าตำลึงทองนั้น คิดจะหลอกใครกัน “คุณชาย เป็นท่านเองที่อยากจะขาย ร้านเราไม่ขาดชุดขาดผ้า หากท่านไม่อยากจะทำการค้านี่ ข้าเองก็คงไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”นางมั่นใจว่าร้านแถวนี้ไม่ว่าที่ใดก็ไม่มีทางให้ราคามากไปกว่านางแล้ว ชุดนี่ดีจริง แต่ว่าการค้าก็เช่นนี้ ใครๆก็ต้องการกำไร อีกทั้งนางประเมินแล้ว คุณชายท่านนี้จะอย่างไรก็คงไม่มีหน้าไปเร่ขายที่อื่นอีก ต้องจำใจขายให้นางอย่างแน่นอน “เช่นนี้ข้าคงต้องขอลาก่อน ขอบคุณแม่นางที่สละเวลามาพูดคุยด้วย ไปเถอะอาจื่อ”เล่ห์เหลี่ยมของแม่ค้าที่กดราคากับผู้ขายตาดำๆแม้แต่ยุคนี่ก็ยังมี กู้เลี่ยงรุ่ยไม่คิดจะเสียเวลาอีก “อย่างนั้นการค้านี่คงทำไม่ได้แล้ว เชิญคุณชาย” “ขอบคุณแม่นาง”กู้เลี่ยงรุ่ยคาราวะทีหนึ่ง จูงมืออาจื่อจากมาทันที ก่อนจะมายืนอยู่ด้านหน้าตลาดที่ผู้คนพลุ่กพล่าน ในมือยังถือชุดแต่งงานและไม้เท้าเอาไว้ อากาศภายนอกร้านเย็นเฉียบ ผู้คนจำนวนหนึ่งต่างจับจ้องด้วยความสนใจว่าสองผู้นี้เป็นใคร ด้วยอีกหนึ่งอยู่ในวัยชายหนุ่ม อีกหนึ่งเป็นเพียงเด็กน้อย หากจะบอกว่าเป็นบิดากับบุตรชายก็คงจะใช่ กู้เลี่ยงรุ่ยไม่สนใจสายตาของคนเหล่านั้น มีเพียงอาจื่อที่เงยหน้าขึ้นถามด้วยเสียงไม่มั่นใจที่กู้เลี่ยงรุ่ยใส่ใจ “พี่รุ่ย ชุดนี่จะทำอย่างไร...”อาจื่อพูดไม่ออกบอกไม่ถูก จริงๆราคาห้าตำลึงทองก็นับว่ามากแล้ว ตั้งแต่เกิดไหนเลยที่อาจื่อจะเคยจับเงินมากขนาดนั้น ทว่าพี่รุ่ยกลับยังไม่ยอมขายและจากมา อาจื่อมั่นใจว่าพี่รุ่ยคิดดีแล้ว ทว่าถ้าในท้ายสุดยังไม่สามารถจำหน่ายชุดไปได้เล่า “วางใจเถอะอาจื่อ พี่รุ่ยจะเอาเงินร้อยตำลึงทองมาให้เจ้า”กู้เลี่ยงรุ่ยเอ่ยแต่ไม่ได้บอกวิธี หลังจากนั้นจึงขอตัวไปเตรียมตัวเล็กน้อย ก่อนจะขอให้อาจื่อช่วยไปจับจองพื้นที่ด้านหน้าของตลาดนัดให้หน่อย ต้องเป็นที่คนพลุ่กพล่านและอยู่หน้าหอรื่ื่นรมย์ อาจื่อพยักหน้ารัวๆก่อนจะไปจัดเตรียมให้อย่างที่กู้เลี่ยงรุ่ยขอ แม้จะไม่เข้าใจแต่ก็ทำตามอย่างเคร่งครัด กู้เลี่ยงรุ่ยไม่อยากจะคิดว่าจะต้องกลับมาสวมชุดนี้อีกหน เบื้องหน้าของเขาเต็มไปกลุ่มที่คนที่ส่งสายตามองมามิได้ขาด แทบจะเรียกได้ว่าความสนใจจับอยู่บนตัวกู้เลี่ยงรุ่ยหมดแล้ว สองเท้าที่ก้าวเดินจึงสั่นบ้าง แต่ก็ไม่มีเผยออกไป กู้เลี่ยงรุ่ยในตอนนี้คือชายหนุ่มรูปงาม ยังมีอะไรที่ต้องเขินอาย อีกทั้งยังคงสวมผ้าปิดหน้า ไม่มีใครจดจำได้แน่นอน ร่างสูงเดินไปหาอาจื่อที่จองพื้นที่เอาไว้ตามคำสั่ง กู้เลี่ยงรุ่ยหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนลงไปบนผ้าชุดเดิมของตัวเองก่อนจะปักไว้ด้านหน้า พลางส่งสัญญาณให้อาจื่อว่าตีกลองสักหน่อยเรียกร้องให้คนหันมามอง แม้กระทั่งเถ้าแก่เนี้ยจากร้านขายผ้าสกุลอิ๋นก็แทรกกลุ่มคนมาชมด้วยสีหน้าตื่นตะลึง เมื่อครู่ยามเห็นชุดก็รู้สึกว่าสวยมากแล้ว บัดนี้สวมอยู่บนร่างกู้เลี่ยงรุ่ยยิ่งขับเสริมให้ราวกับเทพเซียนกำลังจะแต่งงาน “แม่นางทั้งหลาย คุณชายทั้งหลาย ตัวข้านั้นมีเรื่องหนึ่งจะมานำเสนอ ชุดบนตัวของข้านั้นเป็นของญาติผู้หนึ่ง วันนี้ขัดสนเงินทองจึงอยากจะมาชวนทุกท่านร่วมกับประมูลชุดนี้ แต่เดิมชุดนี้ยังมีตำหนิที่ไม่ได้แก้ไข ไม่ปิดบังทุกท่าน เป็นรอยกระบี่รอยหนึ่งตรงอกซ้าย ดังนั้นจึงไม่คิดเอาเปรียบทุกท่าน ชุดนี้จะเริ่มต้นประมูลที่ราคาห้าตำลึงทอง หากมีท่านใดที่อยากจะซื้อชุดนี้เพียงบอกราคามา ผู้ใดเสนอราคาที่มากที่สุดจะได้ชุดนี้ไป” การประมูลชุดนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ไม่รู้ด้วยเหตุผลใดถึงได้ทำให้การกระทำนี้ของกู้เลี่ยงรุ่ยได้รับความสนใจจากผู้คนอย่างมากมาย จะเป็นเพราะชุดอย่างเดียวก็คงมิใช่ ต้องเป็นคนสวมที่เปรียบดังไม้แขวนชั้นดีที่ทำให้ใครต่อใครก็อยากจะได้ชุดมาครอบครอง เหล่าคุณชายมีเงินต่างอยากได้ชุด เหล่าแม่นางต่างยกผ้าเช็ดหน้าเอียงอายด้วยขวยเขินต่อกู้เลี่ยงรุ่ยที่อยู่อย่างโดดเด่นอยู่ตรงกลาง “ข้าไปสิบตำลึงทอง”ชายร่างบึกบึนยกมือ อีกไม่นานก็ต้องแต่งภรรยาอยู่แล้ว จะซื้อชุดไว้ก่อนก็ย่อมไม่เสียหาย อาจื่อทวนให้คนทั้งหมดได้ยินรอบหนึ่ง“สิบตำลึงทอง” “ชุดนั้นเหมาะกับเจ้าที่ใด ต้องข้าใส่ถึงจะเหมาะ ข้าให้สิบห้าตำลึงทอง เอามาให้ข้า!” “สิบห้าตำลึงทอง!”อาจื่อตะโกนด้วยเสียงดัง ราคาพุ่งสูงกว่าราคาที่เถ้าแก่เนี้ยจะให้เมื่อครู่ตั้งสิบตำลึงทอง! ชายผู้นี่ไม่บอกก็รู้ว่ามาจากตระกูลร่ำรวย แต่ก็ยังมีคนตะโกนให้ราคาที่สูงกว่าจากอีกทิศ กู้เลี่ยงรุ่ยบอกให้อาจื่อคอยจดคอยช่วยดู การประมูลดุเดือดกว่าที่คิดจนมาถึงราคาสูงสุดที่ห้าสิบตำลึงทองอย่างไม่น่าเชื่อจากฝูงชนเหล่านี้ และราคายังคงพุ่งสูงต่อไปเรื่อยๆ พริบตาเดียวก็เดินทางมาถึงหกสิบตำลึงทอง! “หกสิบตำลึงทอง!” “หกสิบตำลึงทอง!” “หกสิบตำลึงทองพร้อมทองแท่งสิบแท่ง!” อาจื่อยิ่งพูดยิ่งสนุก“หกสิบตำลึงทองพร้อมทองแท่งสิบแท่ง!” กู้เลี่ยงรุ่ยยิ้มกริ่มในใจ การประมูลนี้ไม่เสียเปล่าจริงๆเขาพยักหน้าพอใจแต่ก็ยังมีคนที่ให้ราคาสูงขึ้นอีกต่อไป มาจนถึงตอนนี้อาจื่อที่คอยจดราคาที่สูงเรื่อยๆพร้อมตะโกนบอกก็ตื่นตะลึงแล้วตื่นตะลึงอีก จนราคามาแตะที่หนึ่งร้อยตำลึงทอง กู้เลี่ยงรุ่ยก็คิดจะปิดการประมูลไว้ที่ตรงนี้เสีย แต่ใครจะรู้ว่ามีร่างของคนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่บนชั้นสองของหอรื่นรมย์พูดขึ้น โดยให้บ่าวรับใช้พูดขึ้นก่อน “หนึ่งร้อยตำลึงพร้อมกับทองยี่สิบแท่ง…”อาจื่อทวนแต่ก็รู้สึกเอ๊ะในใจจึงไม่พูดต่อ เมื่อครู่คนผู้นั้นพูดอะไรนะ? สรรพสิ่งเหมือนถูกสาป ไม่มีใครส่งเสียงอีกเมื่อร่างนั้นยืนขึ้นก่อนจะเท้ามือกับระเบียงไม้อย่างเกียจคร้าน กู้เลี่ยงรุ่ยเพ่งมองอย่างคนติดนิสัยเคยสายตาสั้นในอดีตทั้งๆที่ไม่จำเป็นเพราะกู้เลี่ยงรุ่ยร่างนี้สายตาดีมาก “ข้าพร้อมจะจ่ายให้เจ้ามากกว่าหนึ่งร้อยตำลึงทองกับทองยี่สิบแท่ง หากว่าเจ้ายินยอมไปกับข้า ไปกับข้าในที่นี้หมายถึงอะไร คิดว่าเจ้าคงเข้าใจ” กู้เลี่ยงรุ่ยลอบสูดหายใจเย็นๆเข้าปอด มาแล้ว ตัวร้ายที่เคยมีบทบาทอยู่ในนิยายเพียงเล็กน้อยอย่าง ‘ป๋อหยวน’บุตรชายของคหบดีผู้ร่ำรวยที่สุดของตำบลอู่เสวียน และมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ประจำเมือง ว่ากันว่าป๋อหยวนมีรสนิยมชมชอบบุรุษ ในจวนเต็มไปด้วยชายบำเรอที่เลี้ยงไว้มากกว่าสิบคน เรื่องราวของป๋อหยวนไม่ค่อยปรากฏมากนักในห้าเล่มแรก มีประเด็นแค่ตรงเล่มที่สอง ตรงส่วนที่กู้เลี่ยงรุ่ยกับฉีอ้ายอันมาเที่ยวตำบลอู่เสวียนแล้วพบกับชาวบ้านที่เล่าเรื่องป๋อหยวนกันอย่างสนุกปาก ให้ฟัง นอกนั้นก็ไม่มีกล่าวถึงอีก แต่จากเค้าลางแล้ว ในอีกห้าเล่มต่อไปคงไม่แน่ เพราะหน้าแนะนำตัวละครมักจะมีชื่อของป๋อหยวนอยู่ด้วย น่าเสียดายที่กู้เลี่ยงรุ่ยในตอนนี้ไม่อาจจะรู้อะไรล่วงหน้าได้ เรื่องราวต่อจากเล่มห้าไปคือกระดาษเปล่าโดยแท้
ตอนนั้นความรู้สึกของมัดหมี่เหมือนได้ตายแล้วเกิดใหม่ เธอตื่นขึ้นมาในร่างของกู้เลี่ยงรุ่ยที่บาดเจ็บสาหัสหลังจากอีกฝ่ายสิ้นใจไปแล้วได้ครู่เดียว ความเจ็บปวดมากมายต่างถาโถมเข้าใส่เหมือนพายุโหม สองมือสั่นเทาลูบไล้ไปทั่วร่างเพื่อหาหนทางยืนยันว่ามันคือฝันไปใช่มั๊ย แต่สุดท้ายก็พบว่ามันไม่ใช่ความฝัน ภาพต้นไผ่และทิวทัศน์ไม่ต่างอะไรกับฉากในหนังสือเลย อีกทั้งชุดแต่งงานของกู้เลี่ยงรุ่ยยังเหมือนเปี๊ยบกับที่บรรยายในหนังสือ ...ลายปักประณีตเป็นลายนกกระเรียนทอง ชุดผ้าไหมเนื้อดีเข้ารูปเหมาะสมอย่างยิ่งเมื่ออยู่บนร่างของกู้เลี่ยงรุ่ย เจ้าสำนักคุ้มภัยอันดับหนึ่งของสกุลกู้ มัดหมี่ในตอนนี้สับสนระหว่างจะทำอย่างไรต่อไปหรือจะบ้าตายก่อนดี จนสุดท้ายเมื่อตั้งสติได้ มัดหมี่ในตอนนี้ก็ลองกลั้นใจเคลื่อนมือไปยังเบื้องล่าง... เบื้องล่างของเขามีไอ้นั้น... บ้าไปแล้วๆๆๆๆๆ!!!! จะทะลุมิติมาทำไมกลายเป็นมีไอ้จ้อนได้ล่ะ นี่มันแย่ที่สุด แต่อะไรก็ไม่แย่ไปกว่าการที่มัดหมี่ในร่างกู้เลี่ยงรุ่ยกำลังจะตาย พอคิดว่ากำลังจะตายอีกรอบในเวลาไล่เลี่ย มัดหมี่ก็ไม่สนใจเรื่องหยุมหยิมอะไรอีกแล้ว จะเป็นอะไรก็ช่าง เอาตัวรอดก่อนค่อยว่ากัน! หลังจากนั้นเธอก็กลายเป็นกู้เลี่ยงรุ่ย ซึ่งกว่าที่จะยอมรับเรื่องนี้ได้ มัดหมี่ในร่างกู้เลี่ยงลุ่ยก็ทั้งตบทั้งตีตัวเองเพื่อให้ตื่นจากความฝันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่ามัดหมี่ได้ทะลุมิติมายังเรื่องราวในนิยายที่เธอยังอ่านไม่จบ ทั้งยังกลายเป็นกู้เลี่ยงรุ่ย ตัวเอกที่มีตอนจบสุดท้ายของเล่มห้าที่ความตาย กู้เลี่ยงรุ่ยยังสวมชุดแต่งงานสีแดงเพลิงปักลายนกกระเรียนสีทองสวยงามที่จำได้อย่างชัดเจนเลยว่าชุดนี้เป็นความตั้งใจและความอุสาหะที่ฉีอ้ายอันตั้งใจปักทีละเข็มทีละเข็มเพื่อกู้เลี่ยงรุ่ยมากแค่ไหน ร่างโปร่งที่เดินโซเซมายันตัวกับต้นไม้ ก่อนจะกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง กู้เลี่ยงรุ่ยถูกกระบี่ของฉีอ๋องแทงไปหนึ่งแผลเฉียดหัวใจไปเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ตกเขาจนแทบเอาชีวิตไม่รอด แม้จะบอกว่าเป็นฉีอ๋องแทง แต่ที่กู้เลี่ยงรุ่ยโดนก็เป็นเพราะหนี้แค้นในอดีต ความจริงแล้วกู้เลี่ยงลุ่ยและฉีอ๋องมีอดีตร่วมกันเมื่อครั้งยังเยาว์ ฉีอ๋องจึงแทงกู้เลี่ยงลุ่ยหนึ่งแผลที่ป่าไผ่เพื่อเป็นการยุติ หลังจากนั้นก็ถือว่าจบกันด้วยดี โดนแทงไปแผลหนึ่งก็ไม่อาจเอาชีวิตกู้เลี่ยงรุ่ยได้ ด้วยพลังปราณบริสุทธิ์ของกระบี่แล้วกู้เลี่ยงรุ่ยเพียงแค่บาดเจ็บเท่านั้น ไม่อาจอันตรายเอาถึงชีวิตได้ แต่ไม่รู้ว่าตัวร้ายที่ซุ่มอยู่จะฉวยโอกาสที่เจ้าสำนักกู้ไร้เขี้ยวเล็บ ลอบโจมตีจนกู้เลี่ยงรุ่ยตกเขาจนตาย ตัวร้ายที่แท้จริงคือ ‘ซีซวนหลิน’มารร้ายอันดับหนึ่งที่เป็นปฏิปักษ์กับสำนักคุ้มภัยสกุลกู้มาตลอด ประมุขซีซวนเป็นผู้สังหารกู้เลี่ยงรุ่ยที่แท้จริงจากอาคมฝ่ามือพรากวิญญาณทำให้กู้เลี่ยงรุ่ยวิญญาณแตกสลาย! ในนิยายได้เขียนเอาไว้เช่นนี้ว่าทั้งสองสู้กัน กู้เลี่ยงรุ่ยตายและประมุขซีซวนหลินบาดเจ็บสาหัส เธอก็อ่านถึงแค่ตรงนี้ เนื้อหาอีกห้าเล่มต่อจากนี้ก็ไม่รู้แล้ว แต่เดาว่าในที่สุดกู้เลี่ยงรุ่ยต้องรอดกลับมาแน่ๆ ก็เขาเป็นพระเอกจะตายไปได้อย่างไร สิ่งที่มันผิดเพี้ยนคือวิญญาณในตอนนี้ไม่ใช่กู้เลี่ยงรุ่ย แต่กลายเป็นวิญญาณของสาววัยสามสิบต้นๆที่อยู่ไกลถึงเมืองไทย! คำถามที่ว่าทำไม หรือเกิดอะไรขึ้นในตอนนี้ก็คิดไม่ออกแล้ว หรืออาจจะเป็นเพราะจริงตัวกู้เลี่ยงรุ่ยนั้นได้ตายไปแล้วในขณะเดียวกันมัดหมี่ที่ร้องห่มร้องไห้จนหัวใจวายตายก็เลยถูกดูดเข้ามา ซึ่งไม่รู้จะร้องไห้หรือดีใจดีที่สภาพของกู้เลี่ยงรุ่ยก็ย่ำแย่ ลมหายใจแทบจะสิ้นชีพอยู่ร่ำไร การโดนทำร้ายจากประมุขซีซวน ทำให้กำลังภายในของกู้เลี่ยงรุ่ยสลายไปหมด เขาสูญสิ้นวรยุทธ์ที่ฝึกมานับสิบปี อาการสาหัสจนแม้กระทั่งหมอเทวดาก็คงลงความเห็นว่าอยู่มิสู้ตาย ด้านหน้าของกู้เลี่ยงรุ่ยมีกระท่อมน้อยอยู่ จากในนิยายบอกไว้ว่าชายที่อาศัยอยู่ในนั้นเป็นคนที่มีวิชาแพทย์ล้ำเลิศ แต่ตอนที่มาเจอกู้เลี่ยงรุ่ยนั้น เขาได้สิ้นชีพไปแล้ว คราวนี้ดีหน่อยที่กู้เลี่ยงรุ่ยเวอร์ชันมัดหมี่สามารถกัดฟันทนความเจ็บปวดนับแสน ซึ่งตรงนี้เริ่มจะเข้าใจมาแล้วว่าอะไรคือความเจ็บปวดนับแสนที่บรรยายในนิยาย มาถึงกระท่อมน้อยได้เองคนเดียวก่อนที่เลือดจะไหลหมดตัวเสียก่อน แน่ละว่าคนเป็นวิชายุทธ์จะมีกดจุดห้ามเลือด แต่กู้เลี่ยงรุ่ยในตอนนี้อย่าว่าแต่กดจุดห้ามเลือดเลย เพียงออกหมัดก็เกรงว่าจะดูพิกลๆแล้ว เธอแทบจะไม่มีความรู้หรือความสามรถอะไรของกู้เลี่ยงรุ่ย เจ้าสำนักอันดับหนึ่งติดตัวมาเลย นอกจากร่างกายแล้ว กู้เลี่ยงรุ่ยไม่ได้ให้อะไรมาอีก ราวมีญาณทิพย์หยั่งรู้ เมื่อกู้เลี่ยงรุ่ยทรุดกายลงหน้ากระท่อมที่ปลูกผักไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย ร่างโปร่งก็ยันเอาชั้นตากสมุนไพรคว่ำลงไปด้วย พอดีกับที่ท่านหมอเทวดาปรี่เข้ามาหาด้วยใบหน้าเงียบขรึม เริ่มจับชีพจรกู้เลี่ยงรุ่ยด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “คุณชาย ท่านบาดเจ็บสาหัสเหลือเกิน ขออภัยวรยุทธ์ท่านสูญสิ้นไปหมดแล้ว เกรงว่าภายภาคหน้าเกรงว่าจะไม่สามารถฝึกยุทธ์ได้อีก ท่านยังอยากให้ข้าช่วยท่านไว้หรือไม่”ทุกผู้ทุกคนล้วนยึดถือการฝึกยุทธ์และท่องยุทธภพเป็นหนึ่ง คนผู้หนึ่งที่สูญสิ้นวรยุทธ์ไปแล้วนับเป็นอะไรได้ อยู่มิสู้ตายไป เมื่อต้องกลายเป็นผู้พิการคนหนึ่งแล้ว “ช่วยฉันเถอะ...”ทว่าตอนนี้กู้เลี่ยงรุ่ยไม่ใช่กู้เลี่ยงรุ่ย เมื่อไม่นานมานี้ก็ตายไปแล้ว กู้เลี่ยงรุ่ยในตอนนี้ไม่เหมือนเดิม วิญญาณข้างในคือมัดหมี่ สาววัยกลางคนที่ไม่สนเรื่องวรยุทธ์บ้าบออะไรทั้งนั้นนอกจากเอาชีวิตรอดเป็นพอ อาจจะเป็นเพราะความต้องการเอาชีวิตรอดของกู้เลี่ยงรุ่ยรุนแรงจนส่งผ่านไปจากสายตาได้อย่างดีจนท่านหมอรู้สึกได้ “คุณชายท่านช่างเข้มแข็งยิ่งนัก ได้ ข้าขอสัญญา เมื่อมีข้าอยู่แล้ว ท่านจะไม่ต้องไปเผชิญหน้ากับยมบาลอย่างแน่นอน วางใจเถอะคุณชาย ท่านจะต้องมีชีวิตรอด” ได้ฟังอย่างนั้นกู้เลี่ยงรุ่ยก็หลับตาลง เขาข่มกลั้นความเจ็บปวดทั้งมวลลงท้อง กำมือแน่นด้วยความรู้สึกอันมั่นคง จะเป็นกู้เลี่ยงรุ่ยก็ช่าง จะเป็นใครก็ช่าง ตอนนี้ต้องรอดไปให้ได้เท่านั้น เขาจะไม่มีทางยอมตายง่ายๆเด็ดขาด! ว่ากันว่าหลังจากชีวิตผ่านพ้นเรื่องราวอันเป็นจุดพลิกผันมาแล้ว จะมองเห็นและเข้าใจโลกมากขึ้น ในช่วงที่กู้เลี่ยงรุ่ยนอนหายใจโรยรินอยู่บนตั่งแข็งๆที่ทำขึ้นอย่างหยาบๆจากไม้ไผ่ ด้านใต้ปูด้วยฟางแห้ง มีท่อนไม้รองศีรษะท่อนหนึ่งซึ่งไม่สบายเอาเสียเลย ตลอดเวลาที่อยู่ในกระท่อม กู้เลี่ยงรุ่ยกึ่งหลับกึ่งฝัน ในนั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายที่ผสมผสานปนเปกันไปมาระหว่างชีวิตก่อนจะตายของในปัจจุบันที่ไทยและเรื่องราวของกู้เลี่ยงรุ่ยที่มักจะปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆในความฝันจนกู้เลี่ยงรุ่ยต้องขมวดคิ้วแน่น วันเวลาผ่านพ้นไป รุ่งเช้ายามอิ๋นก่อนไก่จะขัน ท่านหมอจะให้เด็กกำพร้าที่รับเลี้ยงไว้ชื่อ ‘เว่ยจื่อ’ป้อนยารสขมให้กู้เลี่ยงรุ่ยหนึ่งหนเป็นชามใหญ่เท่าครึ่งหนึ่งของลูกแตง ยามอู่หนึ่งหนและยามซวีหนึ่งหน เป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกู้เลี่ยงรุ่ยกลายเป็นภาชนะรับสมุนไพรชิ้นหนึ่ง วันแล้ววันเล่าจนกู้เลี่ยงรุ่ยเริ่มจะมีสติรับรู้มากขึ้นแล้ว วันหนึ่งเมื่อสิ้นสุดฤดูสารทเข้าสู่ฤดูเหมันต์แรกที่หิมะแรกตก กู้เลี่ยงรุ่ยก็สามารถที่จะฟื้นคืนสติมานั่งพูดคุยกับท่านหมอที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ได้ “ท่านจำตัวเองไม่ได้เลยหรือคุณชาย เป็นเช่นนี้ก็แสดงว่าท่านที่สูญสิ้นวรยุทธ์และความทรงจำก็ช่างน่าเวทนาแล้ว ผู้ใดกันหน่อที่ทำร้ายท่านจนปางตายเช่นนี้ คุณชาย ข้าเห็นว่าท่านสวมชุดแต่งงานประณีตผ้าเนื้อดี ต้องเป็นบุตรหลานตระกูลใหญ่มีฐานะ ทว่าช่วงสามเดือนมานี้ข้าให้ เว่ยจื่อหาข่าวคราวแล้ว มิพบว่ามีเบาะแสของท่านแต่อย่างใด คิดว่าเมื่อท่านได้สติ จะสามารถบอกได้ว่าเป็นผู้ใด นี่เกรงว่าจะไม่ได้แล้ว” “ข้าเองก็เศร้าใจนักที่จำอะไรไม่ได้เลย...”กู้เลี่ยงรุ่ยกล่าวเสียเบาสุ้มเสียงทุ้มแหบเป็นของบุรุษอย่างแท้จริง เขาเป็นพวกปรับตัวเก่งแบบสามารถกลืนไปกับทุกสิ่งได้ เหมือนสายน้ำที่ไหลผ่านซอกแซกไปได้ทุกที่อย่างเชื่องช้าแต่มั่นคง เมื่อทำอะไรไม่ได้แล้วก็อยู่มันในร่างนี้และที่นี้เสียเลย แม้จะผิดเพศผิดร่างแต่ก็นับได้ว่ากู้เลี่ยงรุ่ยเป็นบุรุษที่ใครๆก็ยกย่องว่ามีรูปโฉมโดดเด่นในใต้หล้าจนได้ฉายาว่า ‘เจ้าสำนักรูปงาม’ อีกทั้งยังไงที่นี้ก็ไม่แย่ อากาศดีกว่า และไม่มีเรื่องเศรษฐกิจหรือปัญหาโรคไวรัสให้ต้องกังวลใจ ที่สำคัญคือไม่ว่ายังไงกู้เลี่ยงรุ่ยก็ไม่ถึงตายหรอก เขาเป็นพระเอกเชียวนะ ยังเหลืออีกตั้งห้าเล่ม ยังไงก็ต้องรอดไปได้แน่ นับตั้งแต่ตัดสินใจแบบนั้นไปว่าจะอยู่ต่อไปในร่างกู้เลี่ยงรุ่ย มัดหมี่ก็คือกู้เลี่ยงรุ่ย จะทำตัวและเริ่มสะกดจิตตัวเองให้กลายเป็นกู้เลี่ยงรุ่ยนับตั้งแต่บัดนี้ “คุณชาย ท่านจำอะไรไม่ได้สักนิดเลยจริงๆหรือ” “ข้าจำอะไรไม่ได้จริงๆ”ก่อนจะหลบสายตาท่านหมอ เนื่องเพราะกู้เลี่ยงรุ่ยโกหกเรื่องที่ความจำเสื่อม เพราะเขาไม่อยากจะไปข้องเกี่ยวกับสกุลฉีอีก คิดดูสิ ตอนที่กู้เลี่ยงรุ่ยแต่งงานกับฉีอ้ายอัน ด้วยบารมีของสกุลฉีก็ทำให้กู้เลี่ยงรุ่ยต้องแต่งเข้า แม้จะเป็นความสมัครใจของกู้เลี่ยงรุ่ยในอดีตที่รักมั่นและทำตามความต้องการของฉีอ๋องที่อยากให้กู้เลี่ยงรุ่ยแต่งเข้าจวนเพื่อจะได้ปกป้องฉีอ้ายอันต่อไปได้ แต่ในตอนนี้ กู้เลี่ยงรุ่ยผู้นั้นได้ตายไปแล้ว ในตอนนี้จึงไม่นับว่าเกี่ยวข้องอะไรอีกกับวิญญาณที่อยู่ในตัวกู้เลี่ยงรุ่ย อดีตนั้นเป็นเจ้าสำนักคุ้มภัยสกุลกู้ แต่เมื่อสูญสิ้นวรยุทธ์แล้วก็นับเป็นอะไรได้ แม้ว่าจะสามารถกลับสกุลไปได้เพราะก็ยังไม่ได้เข้าพิธีตบแต่งกับฉีอ้ายอันอย่างเป็นทางการ แต่ด้วยคนที่ไม่ใช่คนเดิมแล้ว เรื่องอะไรที่กู้เลี่ยงรุ่ยในปัจจุบันต้องไปแบกรับภาระหน้าที่ของกู้เลี่ยงรุ่ยในอดีต การเป็นเจ้าสำนักคุ้มภัยสกุลกู้มิใช่จะสบาย ทั้งวี่ทั้งวันวิ่งวุ่นปราบปีศาจปราบผีอยู่ตลอด อันตรายแค่ไหนก็คิดเอา อีกทั้งก้างชิ้นโตอย่างฉีอ๋องและประมุขซีซวนผู้นั้นอีก ขืนกู้เลี่ยงรุ่ยกระโดดออกไปป่าวประกาศว่ายังไม่ตาย ไม่แน่ว่าจะต้องถูกไล่ฆ่าอีกหน ซึ่งคราวนี้คงตายอนาถด้วยวรยุทธ์ก็สูญสิ้น แค่บีบคอเอากระบี่แทง กู้เลี่ยงรุ่ยในตอนนี้ไหนเลยจะสู้ได้ พูดถึงเรื่องกระบี่แล้วกู้เลี่ยงรุ่ยจึงคิดได้ กระบี่ตนหายไปตอนไหนกัน อาจจะตอนสู้กับประมุขซีซวนหลินหรือก่อนหน้านั้นก็ไม่แน่ใจแล้ว อีกทั้งกู้เลี่ยงรุ่ยไม่เหมือนเดิมแล้ว เขาในตอนนี้ไม่มีความรักหรือความรู้สึกเช่นกู้เลี่ยงรุ่ย จะให้แต่งงานกับฉีอ้ายอันและกลับเข้าสกุลฉีได้ยังไง ยังไงหัวจิตหัวใจของกู้เลี่ยงรุ่ยภายในก็เป็นหญิงแท้ๆคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นสาวบริสุทธิ์ จะให้ไปแต่งงานกับผู้หญิงด้วยกันก็รู้สึกจะฝืนใจกันเกินไป อีกอย่างทั้งนิสัยและท่าทางของกู้เลี่ยงรุ่ยในอดีตกับปัจจุบันแตกต่างกัน ช้าเร็วก็ต้องถูกจับได้ว่าไม่ใช่กู้เลี่ยงรุ่ยในอดีต เมื่อคิดคำนวนสารพัดสารเพแล้ว กู้เลี่ยงรุ่ยจึงคิดแล้วว่าหลังจากนี้เขาจะใช่ชีวิตใหม่ เป็นคนอื่นที่ไม่ใช่กู้เลี่ยงรุ่ยเพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องราวมากมายที่กู้เลี่ยงรุ่ยไม่อยากแบกรับ “เป็นข้าเองที่ไม่สามารถจะช่วยคุณชายเอาไว้ได้ อาจเป็นฝีมือข้าต่ำต้อยทำให้อาการท่านย่ำแย่อย่างยิ่ง คุณชาย ขออภัยด้วยข้าน้อยไร้สามารถ”ใบหน้าปรากฏความรู้สึกผิด ท่านหมอชราประสานมือค่อมกายจนกู้เลี่ยงรุ่ยต้องยกมือขึ้นห้าม “อย่าทำเช่นนี้เลยท่านหมอ ข้ารู้ดีว่าท่านทำเต็มที่แล้ว นี่จะโทษท่านได้อย่างไร ข้าเองที่สมควรจะขอบคุณท่านหมอกับความช่วยเหลือที่ท่านมีให้ ท่านหมอ ท่านอย่าเรียกข้าว่าคุณชายอะไรอีกเลย เรียกข้าว่าอะไรก็ได้ จริงสิท่านหมอ ท่านชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร ข้าเสียมารยาทแล้ว”รู้อยู่แก่ใจว่าท่านหมอคนนี้ชื่อว่าอะไร แต่มีหรือที่จะเผยไต๋ ตอนนี้เขาจะทำตัวแนบเนียบ กลมกลืนไปกับเหล่าคนที่นี้ กลายเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวอย่างแยบยล “เรียนท่าน ข้านั้นมีชื่อว่า เว่ยชิง เป็นเพียงผู้เฒ่าที่พอรู้วิชาแพทย์บ้างเท่านั้น ส่วนเด็กคนนี้ชื่อเว่ยจื่อ เป็นเด็กกำพร้าที่ข้าเก็บมาเลี้ยง ช่วงสามเดือนมานี่ ได้อาจื่อคอยช่วยท่านดื่มยารักษาตัว”เมื่อแนะนำตัวเองแล้วก็ไม่ลืมจะดึงตัวเว่ยจื่อวัยสิบกว่าขวบมาแนะนำด้วย กู้เลี่ยงรุ่ยพิจารณาผู้อาวุโสเว่ยและอาจื่อ ด้านผู้อาวุโสเว่ยนั้นอยู่ในวัยกลางคน รูปร่างสันทัด เส้นผมม้วนรวบไว้แล้วใช้ปิ่นไม้ง่ายๆเก็บให้เรียบร้อย ใบหน้าไม่มีอะไรโดดเด่น แต่เป็นคนที่แววตาอบอุ่นคนหนึ่ง ส่วนอาจื่อนั้นเป็นเด็กท่าทางใช้ได้ ซ้ำยังดูเฉลียวฉลาด บนศีรษะมีกลุ่มผมปกคลุมไว้ประบ่า “ผู้อาวุโสเว่ย อาจื่อ ของคุณพวกท่านที่ช่วยเหลือข้ามาตลอดสามเดือน ข้านั้นไม่มีอะไรเลย ไม่รู้จะตอบแทนพวกท่านเช่นไรดี ละอายใจนัก”กู้เลี่ยงรุ่ยประกบมือคารวะ เขาไม่มีอะไรตอบแทนกลับคืนความเมตตาของท่านหมอเลย อีกทั้งยังโกหกผู้มีพระคุณอีก ในใจรู้สึกไม่สบายใจนัก นิสัยแต่เดิมของกู้เลี่ยงรุ่ยนั้นเรียกได้ว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมน้ำใจ ไม่งั้นจะถูกฉีอ๋องล่อลวงออกมาแทงหนึ่งกระบี่บนเขารกร้างได้อย่างไร คิดแล้วก็อดปวดแปลบในอกไม่ได้ ความรู้สึกหลังถูกแทงเหล่านั้นเหมือนกู้เลี่ยงรุ่ยได้ประสบมาเมื่อวาน กู้เลี่ยงรุ่ยทอดสายตามองไปยังเว่ยจื่อที่ยิ้มเขินรับการคาราวะด้วยความเอ็นดู “มิได้ๆเป็นสิ่งที่ข้าควรกระทำ คุณชาย ในเมื่อท่านจำชื่อแซ่มิได้ อีกทั้งไม่สะดวกให้เรียกว่าคุณชาย งั้นข้าควรจะเรียกท่านว่าเช่นไรดี ท่านพอจะมีชื่อในใจหรือไม่ อย่าว่ากระนั้นกระนี่เลยคุณชาย ข้าไม่ถนัดตั้งชื่อให้ผู้อื่นจริงๆ” กู้เลี่ยงรุ่ยเองก็พอจะมีชื่อในใจบ้าง แต่ก็กลัวว่าถ้าพูดออกไปเลยจะดูไม่เหมือนคนความจำเสื่อม มันก็ต้องเป็นไปตามสเตปอยู่แล้ว นิยายเรื่องไหนที่ตัวเอกความจำเสื่อมก็มักได้ชื่อใหม่จากคนที่ช่วยไว้ คิดได้อย่างนั้นจึงได้ยิ้มเก้อๆ ผลักภาระคืน“ผู้อาวุโสเว่ย ลำบากท่านแล้ว ข้าไม่มีชื่ออะไรเลย” “เช่นนั้นท่านชื่ออารุ่ยเป็นอย่างไร ข้าเห็นว่าหยกบนตัวท่านมีตัวอักษรรุ่ย อาจจะเป็นชื่อของท่านก็ได้ อาจื่อ ไปนำหยกของคุณชายมาที” “ขอรับอาจารย์”อาจื่อหายไปไม่นานก็กลับมา ในมือประคองหยกแตกหายไปครึ่งหนึ่งไว้ บนผ้าป่านหยาบๆเมื่อส่งต่อให้ผู้อาจารย์แล้ว เว่ยชิงก็ส่งต่อให้คุณชายที่นอนอยู่บนตั่ง อธิบายไปด้วย “คุณชาย ท่านดู ตัวรุ่ยบนนี่เป็นรุ่ยตัวเดียวกับรุ่ยที่แปลว่าฉลาด ข้าคิดว่าในเมื่อคุณชายพกหยกไว้ ไม่แน่ อาจจะเป็นชื่อคุณชาย แต่น่าเสียดาย ตัวหยกแตกหักไป ก่อนหน้าตัวรุ่ย ไม่แน่ว่าเป็นอักษรใดอีก” ย่อมต้องเป็นกู้เลี่ยงรุ่ย ทว่าจะพูดออกไปได้อย่างไร อีกทั้งนี่ยังเป็นหยกที่กู้เลี่ยงรุ่ยพกติดตัวเสมอตั้งแต่เล่มหนึ่ง มีหรือที่นักอ่านที่อ่านจนตัวตายอย่างเธอจะจำไม่ได้ หยกชิ้นนี้ไม่ชัดเจนว่าผู้ใดเป็นคนให้ไว้ อ่านมาจนถึงเล่มที่ห้าก็ยังไม่เฉลย ตัวหยกสีเขียวมรกตใสกระจ่าง ขนาดเท่าฝ่ามือเด็กแรกเกิด“นี่เป็นหยกที่ท่านเก็บได้หรือ ข้ารู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง เช่นนั้นเรียกข้าว่าอารุ่ยก็แล้วกัน” อย่างไรเสีย ชื่อรุ่ยก็เป็นชื่อที่ดี จะให้กู้เลี่ยงรุ่ยใช้ชื่ออื่นก็ดูจะทรยศกู้เลี่ยงรุ่ยเกินไป ยังไงร่างนี้ก็เป็นของเขา มีเพียงวิญญาณที่จากอนาคตมาแย่งชิงร่างนี้ก็เกินพอแล้ว ความเย็นลื่นของหยกที่บิ่นแตกทำให้กู้เลี่ยงรุ่ยรู้สึกเย็นลงอย่างไม่น่าเชื่อ คลายกับหยกชิ้นนี้เป็นของเขาจริงๆ “เช่นนั้นเรียกอารุ่ยก็แล้วกัน ข้าเองก็รู้สึกว่าชื่อนี่เหมาะกับท่านเช่นกัน” ผู้อาวุโสเว่ยสรุป กู้เลี่ยงรุ่ยประสานมือคาราวะอีกหน ก่อนจะดื่มยาเพราะถึงยามอู่พอดี หลังยาขมปี๋ชามนั้นกู้เลี่ยงรุ่ยก็หลับไปอีก เขาตื่นอีกทีตอนทีอาจื่อมาส่งยาและโจ๊กใสแจ๋ว กู้เลี่ยงรุ่ยทานโจ๊กไปด้วยความรู้สึกเปี่ยมล้นไปด้วยชีวิต รสชาติจืดชืดและไร้ความอร่อยไม่เป็นปัญหาใดๆ ในวันนี้แค่กู้เลี่ยงรุ่ยยังมีชีวิตอยู่ก็เพียงพอแล้ว หลังจากตายมาแล้วหนหนึ่ง เรื่องราวทุกอย่างที่เคยดูน่าเบื่อหน่ายและธรรมดาทั่วไปในสายตากลับดูมีคุณค่าขึ้นมา ตอนนี้แค่ได้เหม่อมองแสงไฟเต้นระยิบจากตะเกียงกู้เลี่ยงรุ่ยก็รู้สึกพอใจแล้ว ทั้งยังกล่าวขอบคุณฟ้าดินและอะไรก็ตามที่ได้ให้โอกาสกำเนิดใหม่ที่แสนน่าอัศจรรย์ใจนี้ ก้าวสู่วันที่สาม นับแต่กู้เลี่ยงรุ่ยฟื้น ผู้อาวุโสเว่ยก็มานั่งจับชีพจรตรวจอาการเป็นปกติ ทว่าวันนี้หลังตรวจชีพจรแล้ว สีหน้าผู้อาวุโสไม่ค่อยสู้ดีนัก คล้ายมีเรื่องอยากจะกล่าวแต่ก็ไม่ได้กล่าวออกมา กู้เลี่ยงรุ่ยนั้นเป็นคนปลงตกอย่างแท้จริง เขาสูญเสียวรยุทธ์ก็ไม่เป็นไร ความจำเสื่อมก็ไม่เป็นไร อาการของเขาหนักก็ไม่เป็นไร มีเพียงอาวุโสเว่ยที่แสดงท่าทางเดือดร้อน ยิ่งนานวันอาการกู้เลี่ยงรุ่ยยิ่งแย่ เขากระอักเลือดเป็นพักๆ ร่างกายที่โปร่งสูงเริ่มซูบผอม ตกกลางคืนกู้เลี่ยงรุ่ยเหมือนตายทั้งเป็น ภายในกายเหมือนมีแมลงวิ่งพล่าน ทรมานจนแทบจะสิ้นใจ อาการของเขาไม่เหมือนคนถูกพิษ แต่เป็นเพราะผลของฝ่ามือ ‘พรากวิญญาณ’ของซีซวนหลินที่ทำให้กู้เลี่ยงรุ่ยสิ้นชีพ มันยังคงส่งผลกระทบต่อกู้เลี่ยงรุ่ยคล้ายเป็นสิ่งที่แทรกตัวอยู่ในร่างกาย ยากจะหาหนทางสามัญรักษา ยิ่งเป็นผู้ที่สูญสิ้นวรยุทธ์แล้ว การจะต้านทานต่อรอยประทับ ‘พรากวิญญาณ’ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ “ท่านอาวุโสเว่ย ข้าอาการแย่มากหรือ” “เจ้าสูญสิ้นวรยุทธ์ไปหมด อาการบาดเจ็บจึงไม่หายดีเสียที ภายในเจ้ากำลังค่อยๆเสื่อมลงอย่างช้าๆ ข้าเองก็จนใจนัก”หลังตรวจดูอย่างละเอียดก็พบว่าเป็นฝ่ามือพรากวิญญาณ ซึ่งเป็นอาคมชนิดหนึ่ง ไม่มียารักษา ไม่มียาแก้ เป็นอาคมที่จะประทับอยู่บนร่างของผู้ถูกอาคมจนกว่าจะสิ้นชีพ เพราะเช่นนี้เว่ยชิงจึงรู้ว่าอารุ่ยรุ่ยถูกประมุขซีซวนหลินทำร้าย เพราะนอกจากเขาแล้ว ไม่มีใครมีวิชาเช่นนี้อีก ที่น่าประหลาดก็คืออีกฝ่ายรอดชีวิตมาได้แล้ว แม้จะรอดมาแบบขาข้างหนึ่งเข้าสู่ยมโลกแล้วก็ตาม กู้เลี่ยงรุ่ยตกใจอยู่บ้าง แต่ในเมื่อมาถึงตอนนี้ มีชีวิตมาสามเดือนกว่าแล้ว นี่ไม่ใช่ถือว่าเป็นกำไรแล้วจะเรียกว่าอะไร อีกอย่างกู้เลี่ยงรุ่ยมั่นใจนักหนาว่ายังไงร่างนี้ก็ไม่ตายง่ายๆ ไม่งั้นเรื่องราวอีกห้าเล่มจะทำยังไงล่ะ เข้าใจความสำคัญของพระเอกแล้วหรือไม่ ก็คือผู้ที่ตายไม่ได้ไม่ว่าจะเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นยังไงล่ะ ชีวิตนี้ของกู้เลี่ยงรุ่ยจะว่าราบรื่นก็ไม่ราบรื่นแต่ถึงแก่ชีวิตนั้นยังเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้“ผู้อาวุโสเว่ย ท่านอย่าเศร้าไป ข้าเข้าใจดี นี่ไม่ใช่ความผิดของท่าน” ฝ่ามือพรากวิญญาณของประมุขซีซวนหลินเลื่องชื่อในใต้หล้า ไม่มีผู้ใดที่โดนอาคมจากเขาแล้วมีชีวิตรอด แน่นอนว่าไม่นับกู้เลี่ยงรุ่ยด้วย เพราะเขานั้นนับได้ว่าตายไปแล้ว ไม่รู้ว่ากู้เลี่ยงรุ่ยเป็นพระเอกประสาอะไร สุดท้ายก็โดนลอบโจมตีจนตาย ฝ่ามือพรากวิญญาณนั้นของประมุขซีซวนหลินในใต้หล้าไม่มีใครต้านทานได้ ไม่งั้นอีกฝ่ายจะกลายเป็นประมุขมารอันดับหนึ่งที่มีศัตรูเป็นสำนักคุ้มภัยสกุลกู้ได้อย่างไร แต่ถึงอย่างไรในเล่มที่หกก็ยังมีเนื้อหาต่อ กู้เลี่ยงรุ่ยไม่ตายง่ายๆหรอก สุดท้ายไม่ว่าด้วยวิธีไหนก็ตาม กู้เลี่ยงรุ่ยย่อมต้องมีชีวิตต่อ “อารุ่ยข้ารู้ว่าเจ้าเป็นพวกจิตใจดี แต่จะปล่อยให้เจ้าตายโดยไม่หาหนทางรักษา ข้าทำไม่ได้ สองสามวันหลังจากนี้ข้าจะออกเดินทางไปหาสมุนไพร มีเรื่องเล่าขานว่าบนหุบเขาเดี่ยวดายมีพืชชนิดหนึ่งชื่อ โสมคืนวิญญาณ ของสิ่งนั้นช่วยเจ้าฟื้นฟูร่างกายได้ แม้ว่าจะไม่สามารถฟื้นคืนวรยุทธแต่จะช่วยชีวิตเจ้านั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่เรื่องพวกนี้เป็นเพียงตำนานเล่าขานนับแต่บรรพกาลไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นโสมชนิดนี้” ในนิยายได้ระบุไว้ชัดเจนว่าสาเหตุที่ผู้อาวุโสเว่ยมาพบกู้เลี่ยงรุ่ยเพราะเข้าป่าหาสมุนไพร เรื่องที่ต้องออกเดินทางไกลก็คงไม่แคล้วเป็นการเดินทางหาสมุนไพรเช่นกัน อีกทั้งการเดินทางฝ่าหิมะไม่เหมาะกับกู้เลี่ยงรุ่ยจริงๆเขาในตอนนี้แค่เดินได้ สวรรค์ก็เมตตาแล้ว “ลำบากท่านแล้ว ข้าเองก็ละอายใจที่เป็นตัวถ่วงท่าน ผู้อาวุโส แม้ข้าจะบาดเจ็บหนักแต่ก็ดีขึ้นมากแล้ว สิ่งที่ท่านพูดมาฟังดูดีอย่างยิ่ง แต่คงจะอันตรายมาก ผู้อาวุโสเว่ย ข้ามีชีวิตเพิ่มขึ้นอีกวันก็นับว่าเป็นกำไรแล้ว”ถึงจะรู้ว่ายังไงก็ไม่ตายแน่ๆ แต่จะกระดี้กระด๊าไม่ได้ อีกทั้งไม่รู้ว่าวิธีไหนทำให้กู้เลี่ยงรุ่ยรอดด้วย โสมคืนวิญญาณในนิยายนั้นไม่เคยปรากฏ ในตอนท้ายๆฉีอ้ายอันขอร้องให้ฉีอ๋องตามหาโสมคืนวิญญาณด้วย แต่ก็ไม่รู้ว่าเจอมั๊ย ยังอ่านไมจบก็ซีม่องแท่งก่อน ดังนั้นความหวังของกู้เลี่ยงรุ่ยย่อมอยู่ที่ผู้อาวุโสเว่ย ซึ่งอันที่จริงเรื่องราวของเว่ยชิงมีบทบาทแค่เล็กหน่อยเท่านั้น เรียกได้ว่าโผล่มาหน้าเดียว มีบรรยายไว้สั้นๆว่าเป็นคนจิตใจดี วิชาแพทย์สูงส่ง ส่วนของอาจื่อ มีโผล่มาแค่นิดเดียว สักวรรคหนึ่งเห็นจะได้ กู้เลี่ยงรุ่ยในตอนนี้ก็เลยไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไปบ้าง หลังจากฉากงานแต่งแล้ว ก็ไม่ได้อ่านต่อไปอีก ตอนนี้กู้เลี่ยงรุ่ยไม่รู้ความอะไรทั้งสิ้น เนื้อเรื่องในตอนนี้กำลังดำเนินไปอย่างไร กู้เลี่ยงรุ่ยก็เดาไม่ออก ในตอนนี้เขาบาดเจ็บหนัก ดูจากสิ่งที่ผู้อาวุโสเว่ยพูดแล้ว บางทีกู้เลี่ยงรุ่ยคงเหลือเวลาอีกไม่มาก ความทรมานในตอนกลางคืนยิ่งนานยิ่งทวี แต่กำลังใจที่ว่าพระเอกย่อมไม่ตาย เป็นสิ่งที่ช่วยชูใจกู้เลี่ยงรุ่ยให้อดทนผ่านมาได้ “มิได้ๆเป็นสิ่งที่ข้าควรทำ พืชโสมคืนวิญญาณหมื่นปี มีเวลาเดียวที่จะเก็บได้คือช่วงสิ้นฤดูเหมันต์เท่านั้น อารุ่ย ข้าไม่อาจนิ่งเฉยรอเจ้าตาย ในเมื่อมีหนทาง แม้จะเป็นเรื่องราวในตำนานแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีปฎิหาริย์ ข้าอยากจะค้นหาโสมคืนวิญญาณให้พบเพื่อนำมารักษาเจ้า แม้จะอันตรายไปบ้าง แต่ข้าย่อมต้องเสี่ยงสักคราเพื่อเจ้า”เวลาสามเดือนจะว่าสั้นก็สั้น จะว่ายาวก็ยาว ทุกวันทุกเวลาที่ได้รักษาและคอยมองดูอีกฝ่ายกลับมาจากปากเหว ในใจบังเกิดความสงสารเห็นใจแล้วครึ่งหนึ่ง กู้เลี่ยงรุ่ยอดทนอย่างหนัก บาดแผลเหล่านี้ใช้ว่าจะหายได้ง่ายๆ อีกทั้งจิตใจอันยิ่งใหญ่ที่ไม่ถือสาเรื่องที่สูญสิ้นวรยุทธ์ ทั้งๆที่คนทั่วไปคงยอมตายดีกว่า แต่จิตใจแน่วแน่ห้าวหาญไม่ยึดติดเรื่องวรยุทธ์ที่สูญสิ้นไป คนเช่นนี้ทำให้ผู้คนที่ได้พบเห็นเกิดศรัทธา “ผู้อาวุโส ท่านทำเช่นนี้ข้าจะตอบแทนท่านกลับเช่นไร”เรื่องที่อีกฝ่ายพูดมานั้นไม่ได้โกหกเสแสร้ง เป็นความจริงใจอย่างแท้จริง สายตาสีจางบ่งบอกชัดเจนว่าหมายความตามที่พูดทำเอากู้เลี่ยงรุ่ยใจไหวหวั่น นอกจากพ่อแม่บุญธรรมแล้วในอดีตก็ไม่ใครคอยห่วงหา เพื่อนน้อยและเก็บตัว มาวันนี้ได้พบกับคนใจดีที่กำลังจะเสี่ยงอันตรายเพื่อหาสมุนไพรมารักษากู้เลี่ยงรุ่ย ก็รู้สึกซาบซึ้ง “อารุ่ย เจ้าเป็นคนที่ข้านับถือ ใต้หล้านี่จะมีสักกี่คนที่สามารถรับกับเรื่องสูญสิ้นวรยุทธ์ได้อย่างเจ้าอีก นี่ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆก็รับได้ ไม่แน่ว่าในอดีตเจ้าคงเป็นคนผู้หนึ่งที่เปี่ยมคุณธรรมน้ำใจ ข้าทนเห็นเจ้ากลายเป็นเช่นนี้มิได้ อย่างน้อยชีวิตของเจ้าข้าต้องรักษาไว้ได้แน่” “ผู้อาวุโสเว่ย ข้าไม่รู้จะพูดเช่นไรดีต่อความเมตตาของท่าน ข้า...” “อารุ่ย เจ้าฟังข้านะ อาการของเจ้าอาจจะทนได้ไม่นาน ข้าจะรีบไปรีบกลับมา เจ้าต้องอดทนจนถึงเวลานั้น เข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่”กู้เลี่ยงรุ่ยพยักหน้าอย่างซึ้งใจ รับรู้แล้วว่าโสมคืนวิญญาณน่าจะเป็นตัวช่วยให้กู้เลี่ยงรุ่ยรอดตาย ยามนี้รู้สึกอ่อนล้าอยู่บ้างที่ต้องตอบโต้ยาวๆกับผู้อาวุโสเว่ย จึงหลับไปอีกหน สองสามวันถัดมา ผู้อาวุโสเว่ยก็ออกเดินทางไกล โดยมีอาจื่อคอยพยุงกู้เลี่ยงรุ่ยออกมาส่งที่ประตู ท่ามกลางหิมะขาวโพลน ผู้อาวุโสเว่ยขี่ม้าจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้แค่ร่องรอยบนหิมะว่าเคยมีคนผู้หนึ่งขี่ม้าจากไป... #มาอ่านนิยายกันเถอะ
บทที่ 1 เกิดใหม่ แสงแดดยามเที่ยงของประเทศไทยแผดเผาร้อนแรงเหมือนซ้อมตกนรก อุณหภูมิในช่วงหน้าร้อนพุ่งสูงจนแตะสี่สิบห้าเป็นปกติมาหลายวันแล้ว สาววัยกลางคนที่สวมแว่นตาหนาเตอะยกมือบังสายตามองไปยังทางข้ามถนน เห็นภาพลอยๆจากอากาศร้อนจัด เหงื่อไหลออกมาตามขมับจนชุ่ม มืออีกข้างหอบหิ้วของกินพะรุงพะรังจากตลาด เธอหายใจอย่างอึดอัดเนื่องด้วยมีหน้ากากอนามัยที่ต้องสวมเพื่อป้องกันจากเชื้อโรคและไวรัสที่ต้องประสบพบเจอทั่วโลกอย่างในตอนนี้ เธอชื่อมัดหมี่ อายุปีนี้ก็ปาไปสามสิบกว่าแล้ว เป็นสาวร่างท้วมหน่อยๆที่เป็นคนเนิร์ดจัด มัดหมี่ชื่นชอบและทำงานเกี่ยวกับการผลิตเกมส์ที่บริษัทแห่งหนึ่งมานาน แม้ว่าตำแหน่งของเธอก็ยังอยู่ในระดับล่างแต่ด้วยใจรักก็ยังคงทำต่อไป เป็นมนุษย์กินเงินเดือนที่ต้องดิ้นรนในเมืองใหญ่ที่ทั้งวุ่นวายและอลหม่านจนสุดจะทนในบางทีเหมือนกัน แต่พอได้อยู่คนเดียว กินของที่ชอบอย่างชาไข่มุก ชาบู หมูกระทะก็สามารถทำให้มัดหมี่คืนชีพได้ในเวลาอันรวดเร็ว เธอมักจะมีชีวิตชีวาและตื่นเต้นอยู่เป็นประจำกับการกิน ชีวิตเรียกได้ว่าเรียบง่ายในเรียบง่าย ทันทีที่ก้าวเดินออกมาจากตลาด มัดหมี่ก็เลี้ยวเข้าไปในซอยที่เธอพักอยู่ ระหว่างนั้นด้วยความที่สวมแว่นตาและหน้ากากอนามัย ไอหมอกจึงมักจะจับตัวที่เลนส์ยามหายใจเสมอ มัดหมี่ร้อนก็ร้อน เหนื่อยก็เหนื่อย แต่ก็ต้องเดินเลี่ยงเข้าไปชิดตึกเล็กน้อยก่อนจะดึงแว่นตาออกมาเช็ดกับเสื้อให้ไอมันหายไป พอเรียบร้อยก็สวมแว่นกลับเข้าไปเหมือนเดิม แต่ตอนนั้นเองที่มัดหมี่เห็นว่าตรงข้ามตึกมีร้านอะไรสักอย่างที่มัดหมี่ไม่เคยเห็นมาก่อนเปิดใหม่ ป้ายหน้าร้านเป็นภาษาจีนที่มัดหมี่อ่านออกเพราะเรียนเอกภาษาจีนมา แม้ตอนนี้จะไม่ได้ใช้มากมาย แต่มัดหมี่ที่เรียนได้เกียรตินิยมมา และถึงขั้นเคยไปใช่ชีวิตอยู่ที่จีนเป็นปีก็ไม่เป็นปัญหาหรอก อีกทั้งมีหลายๆเกมส์ที่มัดหมี่ชอบเล่นก็เป็นสัญชาติจีน ภาษาจีนสำหรับมัดหมี่จึงไหลเวียนและดำรงอยู่ในตัวเธอเสมอ ตอนนั้นเองที่สายฝนพลันพร้อมใจกันตกลงมาอย่างไม่คาดคิด มัดหมี่สบถในใจอย่างเหนื่อยหน่ายกับสภาพอากาศแล้ววิ่งฉิวเท่าที่สองขาที่สวมแตะคีบจะอำนวย เธอเล็งร้านเปิดใหม่นั้นก่อนจะวิ่งผลุบหายเข้าไปจากประตูร้านราวกับหนีตาย เสียงกรุ้งกริ้งดังขึ้นตามหลัง กลิ่นเครื่องหอมโชยเข้าจมูกผ่านหน้ากากอย่างบางเบา มัดหมี่มองไปรอบร้านที่เธอถือวิสาสะวิ่งเข้ามาหลบฝน พลันเห็นว่าด้านในดูกว้างขวางอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะการตกแต่งของร้านก็ได้ ด้านในเป็นชั้นวางหนังสือหลากหลายละลานตา ที่เคาท์เตอร์ปราศจากผู้คน มัดหมี่กวาดตาไปรอบๆเริ่มรู้สึกเย็นๆก็ตอนที่มีร่างสวมชุดจีนโบราณเดินออกมาจากฉากหลังของชั้นหนังสือ เขาคนนั้นเป็นสุภาพสตรีที่ดูเย็นชา แต่ก็ดูสง่าและเต็มเปี่ยมไปด้วยมวลพลังบางอย่างที่ทำเอามัดหมี่ต้องถอยหลังหนึ่งก้าวไปข้างหลัง “ยินดีต้อนรับค่ะ”เขากล่าวเป็นภาษาจีนทำเอามัดหมี่ต้องงึมงำตอบไป อีกฝ่ายค่อมกายเล็กน้อยก่อนจะผายมือเชื้อเชิญว่าตามสบาย มัดหมี่ไม่ได้มีกะจิตกะใจจะซื้อหนังสืออยู่ทุนเดิม ครั้นจะปฏิเสธก็ไร้มารยาท จึงผงกศีรษะรับและเริ่มทำทีเป็นเดินดูไปเรื่อยๆเพราะเกรงว่าจะถูกไล่ออกไปจากร้านถ้าตอบไปว่ามาหลบฝนเฉยๆ จนกระทั่งไปสะดุดตากับกล่องหนังสือชุดเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนชั้น มีชื่อเรื่องว่า ‘เจ้าสำนักหวนรัก’มีทั้งหมดสิบเล่ม ราคาย่อมเยาอย่างไม่น่าเชื่อ มัดหมี่กระชับมือที่หิ้วของ เธอลูบสันปกแข็งๆด้วยความรู้สึกหลายหลาย เหมือนแรงดึงดูดบางอย่างที่กำลังผลักดันอยู่เงียบๆ ยิ่งเห็นภาพวาดของพระเอกที่ถือกระบี่ในชุดสีเขียวโบราณพริ้วไหวในบรรยากาศหิมะโปรยปรายมือเรียวพ้นชายแขนเสื้อออกมาเผยให้เห็นหลังมือนวลเนื้อ ใบหน้านั้นได้รูปและหล่อเหลาอย่างที่สุด เส้นผมมัดไว้กลางกระหม่อม มีชายผมตกลู่ยาวถึงกลางหลัง มัดหมี่ชอบผู้ชายทรีดีสามดีที่มีในการ์ตูนและนิยายอยู่แล้ว มาเห็นภาพปกพระเอกก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าซื้อขึ้นมาเลย แต่อย่างไงมัดหมี่ก็ไม่ลืมที่จะอ่านแนะนำนิยายเล็กน้อยว่าเนื้อเรื่องมีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง เรื่องราวคร่าวๆด้านหลังบอกเล่าถึง เจ้าสำนักคุ้มภัยสกุลกู้สั้นๆและนางเอกของเรื่องที่มีชะตากรรมอาภัพพิการแต่กำเนิด สุดท้ายมัดหมี่ก็ซื้อนิยายชุดนั้นมา เรื่องราวของนิยายเป็นจำพวกกำลังภายในต่อสู้ชิงความเป็นหนึ่งในใต้หล้าอย่างสนุกสนานของเจ้าสำนักคุ้มภัยสี่สำนัก มัดหมี่เก็บตัวอยู่ในห้องอ่านนิยายและทำงานไปด้วยอย่างไม่เบื่ออีกต่อไป จนกระทั่งอ่านมาถึงตอนกลางเรื่อง เล่มที่ห้าที่เป็นฉากการแต่งงานของเจ้าสำนักคุ้มภัยอันดับหนึ่ง สำนักคุ้มภัยสกุลกู้ ‘กู้เลี่ยงรุ่ย’กับนางเอกของเรื่องที่แม้จะชะตาอาภัพกำหนดให้ ‘ฉีอ้ายอัน’ต้องพิการเดินไม่ได้ตั้งแต่กำเนิด แต่ไม่ว่าอย่างไรก็นับเป็นหญิงงามล่มเมืองคนหนึ่งที่มีพี่ชายอย่างท่านฉีอ๋อง ‘ฉีคุน’ผู้ปกครองของรัฐฉีคอยเป็นห่วงใยราวไข่ในหินและปกป้องมาตลอดทั้งเรื่อง และเพราะรักมากจึงขัดขวางการแต่งงานของน้องสาวอย่างเอาเป็นเอาตาย ด้วยเป็นศัตรูกับกู้เลี่ยงรุ่ยอยู่แล้ว ฉีอ๋องนับเป็นตัวละครดำเนินเรื่องที่มีนักอ่านยกย่องให้กลายเป็นท่านอ๋องแห่งชาติ แม้แต่ตัวของมัดหมี่ที่เอาใจช่วยให้กู้เลี่ยงรุ่ยเอาชนะฉีอ๋องให้ได้เสียทีก็ยังต้องยอมรับว่าบุคลิกและบทบาทของฉีอ๋องมันโดดเด่นและมีมิติจนแทบจะเทียบรัศมีพระเอกอยู่แล้ว ฉีอ๋องไม่ใช่พระรองและไม่ใช่ตัวร้าย แต่เป็นตัวดำเนินเรื่องอีกคนที่ซ่อนอยู่ด้านหลัง ปรากฏตัวน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย จะว่าค่าตัวแพงก็ว่าได้ แต่ทุกๆครั้งที่ออกมาก็ทำเอาเกิดความพลิกผันในเนื้อเรื่องทุกครั้งไป อย่างเช่นตอนนี้ที่จู่ๆก็ออกมาเพื่อหาทางขัดขวางความรักที่ฟันฝ่ากันมาสี่เล่มของกู้เลี่ยงรุ่ยและฉีอ้ายอัน จนสุดท้ายกู้เลี่ยงรุ่ยตายลงเพราะโดนลอบทำร้ายทำให้ฉากงานแต่งที่ควรจะสวยงามกลายเป็นวิวาห์เลือดที่แสนเศร้า อ่านมาถึงตรงนั้น มัดหมี่ที่ร้องไห้จนตาบวมและสะอื้นจนตัวโยน รู้สึกว่าการที่กู้เลี่ยงรุ่ยต้องตายเป็นอะไรที่ทำร้ายจิตใจจนเกินจะรับได้ มัดหมี่ก็รู้สึกแน่นหน้าอกหายใจไม่ออก เธอรู้สึกได้เลยว่าหัวใจกำลังมีปัญหา ทั้งๆที่ผ่านมามัดหมี่ไม่เคยมีปัญหาเรื่องสุขภาพมาก่อน มัดหมี่คลานลงจากเตียง เธอควานมือไปหามือถือเพื่อโทรขอความช่วยเหลือ แต่อนิจจา มัดหมี่ไปไม่ถึงก็หล่นตุบลงจากเตียงอย่างน่าสังเวช มือถืออยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่อย่างไรก็ไปไม่ถึง เธอสิ้นใจตรงนั้นเพราะหัวใจวาย หนังสือเล่มที่ห้าตกลงมาจากเตียง ในรูปแบบหงายหลัง สายลมพัดเข้ามาทางหน้าต่างเปิดไปยังหน้าที่สามร้อยสิบ ก่อนฉากแต่งงานของกู้เลี่ยงรุ่ยและฉีอ้ายอัน... #มาอ่านนิยายกันเถอะ!