เกิดใหม่ 3
หนึ่งวันผ่านไปอย่างเชื่องช้า กู้เลี่ยงรุ่ยเริ่มขยับตัวมาเดินเพื่อคลายกล้ามเนื้อ เขาสวมชุดป่านหยาบๆเพื่อกันหนาว มองอาจื่อคอยสุมไฟไล่ไอเย็นอยู่ไม่ไกล ด้านบนมีเหล็กเสียบลงมาห้อยกาน้ำ ข้างๆมีชั้นวางของเล็กน้อยที่มีมันเทศสองสามหัว แน่นอนว่านั้นคืออาหารเย็นของอาจื่อ ส่วนกู้เลี่ยงรุ่ยคือโจ๊กใสเช่นเดิม
กระท่อมน้อยของผู้อาวุโสเว่ยไม่ได้ซ่อมซ่อแต่ก็ไม่ได้ดีนัก ภายในมีที่พักอยู่แค่หนึ่งห้อง ซึ่งกู้เลี่ยงรุ่ยยึดครองมานานแล้ว ส่วนผู้อาวุโสเว่ยกับอาจื่อนอนด้วยกันที่ตั่งใหญ่ๆกลางโถง ตั้งแต่กู้เลี่ยงรุ่ยฟื้น เขาขอย้ายที่นอนมาตลอดแต่ก็ไม่สำเร็จ ผู้อาวุโสเว่ยยืนยันว่ากู้เลี่ยงรุ่ยควรจะนอนที่ตั่งในห้องเพื่อให้ดีต่อการรักษา จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้ย้าย เดือดร้อนผู้อื่นย้ายที่นอนในบ้านตัวเอง
สามเดือนกว่าแล้วที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในร่างกู้เลี่ยงรุ่ย ในดินแดนต่างชาติต่างภาษาที่ไม่คุ้นเคย แต่พอนานไปๆก็เริ่มจะชินเสียแล้ว รวมทั้งอาการเจ็บแทบตายตอนกลางคืนหรืออาการเหนื่อยล้าในยามปกตินี่ด้วย กู้เลี่ยงรุ่ยในตอนนี้จึงอยู่ไปวันๆเท่านั้น รอว่าเมื่อไหร่ผู้อาวุโสเว่ยจะเอาโสมคืนวิญญาณมารักษาร่างกายที่ผุพังนี่เสียที ความรู้สึกในตอนนี้ของกู้เลี่ยงรุ่ยเหมือนยังไม่ตื่น ใครจะคิดว่าอยู่ดีๆวันหนึ่งจะหัวใจวายตายแล้วมาโผล่ในนิยายเรื่องที่อ่านก่อนตาย ซ้ำยังมาเป็นตัวเอกถูกฆ่าอีก ชีวิตมันน่าเศร้าเหลือเกิน ทำไมทะลุมิติมาทั้งทีต้องอาภัพขนาดนี้ ให้เป็นใครก็ได้ แต่เป็นกู้เลี่ยงรุ่ย พระเอกชะตาขาดเสียได้ คิดๆแล้วก็ขำ ตอนนั้นไม่ใช่เธอหรอกเหรอที่ร้องไห้จนใจจะขาดตอนกู้เลี่ยงรุ่ยตาย แล้วเป็นไงล่ะ มาอยู่ในร่างนี้สะได้ ซาบซึ้งจนน้ำตาแทบจะเอ่อคลอเลยล่ะ
“พี่รุ่ย ท่านคิดอะไรอยู่หรือ”อาจื่อเป็นด็กตัวผอมวัยสิบขวบ เป็นคนร่าเริง ในตอนแรกติดขี้อายอยู่บ้าง พอคุ้นเคยก็เริ่มพูดคุยมากขึ้น ร่างเล็กที่อังมือจนอุ่น เดินมาจับมือกู้เลี่ยงรุ่ยที่เย็นเฉียบ “พี่รุ่ย มือท่านเย็นนัก”
“ข้าไม่เป็นไร เจ้าอย่าได้กังวลไปนักเลย”ถึงยังไงพระเอกก็ไม่ตายง่ายๆหรอก มีอะไรให้ต้องกังวงล่ะ ร่างกายนี่แม้จะผุพังในยามนี้ แต่อีกไม่นานก็จะหายดีแน่นอน แต่อยู่ดีๆในอกของกู้เลี่ยงรุ่ยก็รู้สึกเสียดแปลบ ต้องข่มกลั้นกลืนความเจ็บปวดลงไป หัวคิ้วยังคงยับย่น
“พี่รุ่ย ท่านเจ็บมากเลยใช่หรือไม่ อาจารย์บอกว่าท่านถูกอาคมฝ่ามือพรากวิญญาณของประมุขมารผู้นั้น”น้ำเสียงยามกล่าวก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจสามในห้าส่วน
“เรื่องนั้นพี่จำไม่ได้แล้ว...”กู้เลี่ยงรุ่ยยิ้มน้อยๆ เขายังคงรักษาภาพลักษณ์ที่แสนดีต่อไป แต่เมื่อพูดว่าจำไม่ได้ อาจื่อก็ยิ่งเศร้า ทำเอากู้เลี่ยงรุ่ยต้องหาอะไรมาพูดแต่ก็นึกสิ่งที่จะพูดไม่ออกจึงเงียบแล้วคิด ทั้งยังรู้สึกว่าอันที่จริงแล้วกู้เลี่ยงรุ่ยควรจะทำอะไรให้อาจื่อบ้าง เด็กตัวน้อยคนนี้ลำบากเพราะเขามามาก ทุกวันก็ตื่นแต่เช้าไปตักน้ำเย็นๆมาต้มให้ร้อน ปรนนิบัติพัดวีจนกู้เลี่ยงรุ่ยไม่ต้องลำบากแม้สักนิด แต่เห็นมือน้อยๆแดงก่ำและสวมเสื้อผ้าปะชุนทั่วตัว ทั้งยังดูไม่อุ่นสักนิด กู้เลี่ยงรุ่ยจึงคิดว่าจะหาเงินมาช่วยจุนเจือครอบครัวนี้สักหน่อย คิดไปคิดมาก็จำได้ว่าตำบลอู่เสวียนมีงานเทศกาลประจำปีที่น่าสนใจอยู่งานหนึ่ง เมื่อลองบวกลบในใจถึงวันแรกนับตั้งแต่หิมะตกก็พอดีกับวันพรุ่งนี้“จริงสิอาจื่อพี่จำได้ว่าใกล้ๆนี่มีตลาด ไหนๆก็ไหนๆแล้วพรุ่งนี้พวกเราไปชมดูสักหน่อยหรือไม่”เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องทั่วไป ใครๆก็รู้ ใกล้ๆตำบลอู่เสวียนมีตลาดนัดของตำบลที่คึกคักที่สุด
การปรากฏตัวของตลาดนัดตำบลอู่เสวียนอยู่ที่เล่มที่สอง เป็นสถานที่แรกที่กู้เลี่ยงรุ่ยกับฉีอ้ายอันนัดพบกันริมทะเลสาบตอนงานเทศกาลประจำปีอันโด่งดังของตำบลอู่เสวียน วันนั้นอากาศสดใส ดอกไม้ริมแม่น้ำบานสะพรั่ง กิ่งต้นหลิวโน้มลงสู่ริมน้ำ ยามสายน้ำพัดพามาก็โชยเอากลิ่นหอมหวานของมวลบุปผามาด้วย ทั้งสองพักเหนื่อยแถวนั้นหลังจากเที่ยวชมเทศกาลงานตลาดนัดที่จัดขึ้นทุกๆปีแล้ว คิดถึงตรงนี้กู้เลี่ยงรุ่ยก็สะบัดศีรษะไม่อยากคิดถึงเรื่องในอดีตอีก ตอนนี้จดจ่อแค่ปัจจุบันเท่านั้น
“จริงรึ ดียิ่ง แต่ว่าพี่รุ่ย พวกเราไม่มีเงิน...”ปลายเสียงเบาลงอย่างเจียมตัว
“ไม่มีเงินก็หาเงินได้ อาจื่อ มิใช่ว่าชุดนั้นของพี่ยังอยู่หรือ พวกเราเอาชุดนั้นไปขายเถอะ ยังไงก็ต้องได้ราคา”ตอนอ่านกู้เลี่ยงรุ่ยจินตนาการถึงบรรยากาศเทศกาลเอาไว้มากมาย มาวันนี้ได้มีโอกาสมาอยู่ที่นี้ ในใจตื่นเต้นไปแล้วกว่าอาจื่อเสียอีก
“นั้นเป็นชุดแต่งงานของพี่รุ่ย จะขายเอาเงินได้อย่างไร พี่รุ่ย ท่านต้องเก็บชุดเอาไว้ รอวันที่ท่านจำได้และกลับไปหาภรรยา อาจารย์พูดแล้ว เมื่อท่านหายดียังต้องส่งท่านกลับไปหาครอบครัวและภรรยา พี่รุ่ย ท่านต้องเก็บชุดไว้นะ”
“อาจื่อ ชุดนั้นสำหรับพี่แล้วคือชุดที่มีคุณค่า แต่ในตอนนี้พี่เห็นว่ามันจะสมควรกว่าที่จะเอาชุดไปแลกเงิน อย่างน้อยก็เพื่อให้อาจื่อน้อยของพี่ได้มีความสุขกับผู้อื่นบ้าง เรื่องอื่นๆนั้นพี่ไม่อยากใส่ใจ”นับตั้งแต่ตื่นมา กู้เลี่ยงรุ่ยได้สำรวจชุดแต่งงานแบบโบราณสุดประณีตไปหลายรอบ เห็นเนื้อผ้าก็เป็นเนื้อผ้าอย่างดี ลวดลายปักก็เป็นเอกลักษณ์มีฝีมือคงจะขายได้ราคาไม่น้อย จึงตัดใจทำลายไม่ลงทั้งๆที่อยากทำลายหลักฐานทุกสิ่งอย่างที่เกี่ยวข้องกับกู้เลี่ยงรุ่ยในอดีตทิ้งไป เหมือนลบตัวตนที่เคยมีมาเสีย อีกอย่างคือแม้ตำบลอู่เสวียนจะห่างไกลติดชายแดนจนข่าวสารมาถึงล่าช้า แต่สองสามวันมานี่อาจื่อที่ลงเขาไปตลอดได้กลับมาเล่าเรื่องชายชุดดำมาเดินตรวจอยู่แถวๆนี้ให้ฟัง กู้เลี่ยงรุ่ยรู้แล้วว่าข่าวการเสียชีวิตและหายไปอย่างไรร่องรอยของกู้เลี่ยงรุ่ยได้เดินทางมาถึงแล้ว แม้จะเสี่ยงที่จะออกไป แต่ยังไงก็ต้องกินต้องอยู่ หาเงินมาได้ก่อนค่อยว่ากัน มาวันนี้ได้ข้ออ้างขายเอาเงินแล้ว
ดวงตาอาจื่อเปล่งประกายแวววาว รอยยิ้มกว้างขวาง“พี่รุ่ย ท่านดียิ่งนัก”
ตำบลอู่เสวียนเป็นตำบลที่รุ่งเรืองตำบลหนึ่งของรัฐฉี ชาวบ้านอยู่ดีกินดีตามประสา ด้วยไม่ไกลจากชายแดนจึงมีชาวเผ่ามากกว่าสามชนเผ่ามาคอยแลกเปลี่ยนสินค้าอยู่เสมอ เนื่องเพราะอยู่ติดแม่น้ำหวงโฮ และทะเลป๋อไห่ ทั้งยังมีเส้นทางเดินเท้าข้ามทะเลสาบสุดสะดวกสะบายในช่วงที่น้ำจับตัวแข็งเป็นชั้น จึงทำให้ไม่ว่าจะเป็นเผ่าซยงหนูนอกด่าน ชนเผ่าเหมียว ชนเผ่าม่อจื่อ หรือรัฐใกล้ๆอย่างรัฐเยี่ยน รัฐจิ้น รัฐเว่ยและรัฐหลู่ก็ทำการค้าอย่างคึกคักในช่วงนี้
ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมากู้เลี่ยงรุ่ยพยายามรื้อฟื้นความทรงจำของตัวเองอย่างหนักเพื่อค้นหาว่าในยุคนี้ของหนังสือกำลังกล่าวถึงยุคไหนกันแน่ ความที่เรียนประวัติศาสตร์ชาติจีนมาบ้างทำให้มีความรู้ในเรื่องนี้อยู่พอสมควรแต่ไม่ได้เจาะลึกอะไรมากนัก แต่พอคิดทบทวนไปคิดทบทวนมากลับพบว่าตำบลอู่เสวียนในประวัติศาสตร์นั้นไม่มีอยู่จริง เรื่องราวของรัฐผู้ครองนครทั้งเจ็ดนั้นมีอยู่จริงในประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์โจว แต่ผู้เขียนได้ระบุเอาไว้ในตอนแรกแล้วว่าเรื่องราวเกิดจากการสมมติขึ้นมา ทั้งยังโยงเส้นเรื่องไปในยุคที่ประชาชนยังคงต้องต่อกรกับปีศาจและภูตผี บนโลกมีนักพรตผู้เก่งกาจ เทพเซียนบนเขาสูง และสำนักคุ้มภัยที่กำลังรุ่งเรือง เรียกได้ว่าเป็นนิยายกำลังภายในอย่างแท้จริง
และเพราะความที่เป็นนิยายกำลังภายใน ซ้ำยังเป็นเรื่องสมมติไม่อิงประวัติศาสตร์ กู้เลี่ยงรุ่ยจึงเดาไม่ออกเลยว่าเรื่องราวจะดำเนินต่อไปอย่างไร เขาจึงทำได้แค่นั่งทวนในใจว่าตั้งแต่เล่มแรกจนมาถึงเล่มที่ห้าของนิยาย ‘เจ้าสำนักหวนรัก’นั้นมีอะไรบ้าง แรกสุดเลยคือการพบเจอกันของกู้เลี่ยงรุ่ยและฉีอ้ายอัน ทั้งสองพบกันเพราะฉีอ้ายอันถูกปีศาจดักทำร้ายตอนกลับจากไปไหว้ขอพรพระที่วัด สกุลกู้ที่ตั้งสำนักคุ้มภัยมาหลายชั่วอายุคนแถบเมืองทางเหนือได้รับงานมาชิ้นหนึ่งให้ไปพบอารักขาเจ้าเมืองในตอนนั้นขณะที่กำลังกลับจากโรงทาน ระหว่างทางนั้นกู้เลี่ยงรุ่ยจึงได้บังเอิญช่วยฉีอ้ายอันไว้ได้ เรียกว่าเป็นพรหมลิขิตชักพา ทั้งสองต่างมีใจให้กันตั้งแต่แรกพบ แต่ด้วยฐานะและความต่างกันของที่ยืนในสังคมทำให้ทั้งสองต้องเก็บงำความรู้สึก ไม่อาจบอกให้ใครรู้ได้ ในตอนนั้นเองที่เรื่องราวของทั้งสองที่ไม่น่าจะบรรจบกันได้และหวนมาพบเจอกันอีกครั้งเมื่อเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่หลวงของรัฐฉี แม่น้ำหวงโฮในปีนั้นเอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือนและที่นาของชาวบ้าน แม่น้ำมหานทีกวาดเอาทุกสรรพสิ่งและชีวิตของคนไปกับสายน้ำอย่างเลือดเย็น หลังภัยครั้งนั้นเกิดความเดือดร้อนและทุกข์ยากไปทุกหย่อมหญ้า จวนสกุลฉีตั้งโรงทานเป็นพิเศษเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่กำลังจะอดตาย
เช่นเดียวกับสกุลกู้ พวกเขาลงจากเขาเพื่อปราบปรามเหล่าโจรที่เพิ่มขึ้นจากเดิมเพราะความขัดสนและไร้ทางเลือก และไม่ใช่แค่มนุษย์ที่เดือดร้อน เหล่าปีศาจและภูตผีก็เริงร่าเที่ยวฆ่าคนอย่างคึกคะนอง ในปีนั้นเกิดความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า จนฉีคุนอ๋องออกประกาศฉบับพิเศษเพื่อบรรเทาทุกข์และให้ขวัญกำลังใจชาวประชาพร้อมกับคำมั่นสัญญาว่าจะชดเชยและให้การช่วยเหลืออย่างที่สุด ฉีอ๋องทำอย่างที่พูด การช่วยเหลือมาถึงชาวบ้านทุกผู้ทุกคนอย่างเท่าเทียม ทั้งยังเตรียมแผนตั้งรับภัยอุทกภัยเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากจากการระดมกำลังนักปราชญ์และผู้มีสติปัญญาทั้งหลายเพื่อหารือ จนสามารถคิดแผนอันชาญฉลาดเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืน และหลังจากปีนั้น รัฐฉีก็ไม่เคยต้องประสบเหตุการณ์น้ำท่วมอีกเลย แต่ปัญหาเรื่องปีศาจภูตผี มนุษย์อย่างฉีอ๋องจะจัดการได้อย่างไร ย่อมต้องเป็นหน้าที่ของเจ้าสำนักคุ้มภัยอันโด่งดังทั้งสี่แห่งรับมือ
เรื่องราวส่วนใหญ่ของนิยายจึงไม่ค่อยบอกเล่าถึงความเป็นไปในโลกของมนุษย์ธรรมดาทั่วไปนัก โดยเน้นไปที่ตัวกู้เลี่ยงรุ่ยซึ่งเป็นวรยุทธ์ นับเป็นคนในยุทธภพ เรื่องราวจึงดำเนินไปที่การชิงความเป็นหนึ่งของสำนักคุ้มภัยที่โดดเด่นอยู่สี่แห่ง เช่นสำนักคุ้มภัยพรมบุปผา สำนักคุ้มภัยพยัคเมฆ สำนักคุ้มภัยหอนักปราชญ์และสำนักคุ้มภัยสกุลกู้ รวมทั้งต่อกรและประมือกับเหล่าปีศาจมารร้าย โดยมารร้ายอันดับหนึ่งที่ปรากฏในนิยายและเป็นตัวหลักคือประมุขซีซวนหลินจากลัทธิซีซวน พวกเขาออกตระเวนสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านทุกหย่อมหญ้า ฉีอ๋องแม้จะเป็นเจ้านครแต่ก็ไม่สามารถจะจัดการกับปีศาจร้ายแสนเจ้าเล่ห์อย่างซีซวนหลินได้ ทั้งยังต้องเผชิญหน้าและรับมือกับการบุกรุกของรัฐอื่นๆที่จ้องจะเล่นงานในยามยาก ในปีนั้นฉีอ๋องยกทัพจับศึกขับไล่ที่ชายแดน กู้เลี่ยงรุ่ยในฐานะเจ้าสำนักคุ้มภัยก็งานล้นมือ ระดมกำลังคนจากทุกสำนักคุ้มภัยและนิกายฝ่ายธรรมมะเพื่อร่วมต่อสู้กับมารร้ายอย่างซีซวนหลิน จนทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บและถอยไปได้ครู่หนึ่ง
มีคำกล่าวว่าเมื่อมีคนผู้หนึ่งโดดเด่นเกินผู้อื่นก็ย่อมเกิดหายนะ เจ้าสำนักอื่นๆล้วนไม่พอใจในตัวสำนักสกุลกู้อยู่เป็นทุนเดิม วันนั้นที่กู้เลี่ยงรุ่ยโดนทำลายปราณเสียหายจากการประมือกับประมุขซีซวนหลินจนสำนักพังยับและมีศิษย์เสียชีวิตไปจำนวนมาก ทุกสำนักต่างอยู่ห่างๆมีเพียงฉีอ้ายอันที่ดันด้นขึ้นเขามาเพื่อดูแลกู้เลี่ยงรุ่ย เป็นการจุดประกายไฟความรักให้โชติช่วง สำนักสกุลกู้สร้างขึ้นใหม่และความรักกำลังสุกงอมก็เป็นเวลาที่ต้องพบเจอขวากหนามชิ้นเดิมอีกครั้ง
ด้วยความแค้นสั่งสม ประมุขซีซวนหลินภายหลังได้ฝึกกำลังภายในอาคมต้องห้ามจนสำเร็จ ได้ออกอาละวาดอีกครั้งก่อนหน้าที่กู้เลี่ยงรุ่ยและฉีอ้ายอันจะแต่งงานกัน ประจวบเหมาะกับตอนนั้นฉีอ๋องที่ยกทัพไล่ต้อนข้าศึกได้รับชัยและกลับมาพอดี ทำให้เกิดเป็นหนามยอกอกอีกชิ้นที่ประกาศกร้าวว่าไม่ยินยอมให้ฉีอ้ายอัน น้องสาวที่เป็นดังแก้วตาดวงใจแต่งงานกับเจ้าสำนักคุ้มภัยสกุลกู้ที่ต่ำต้อยเพราะเบื้องหลังของกู้เลี่ยงรุ่ยก็เป็นแค่เด็กกำพร้าที่ประมุขกู้ไฉอี้เก็บมาเลี้ยง เวลานั้นกู้เลี่ยงรุ่ยลืมประมุขซีซวนหลินไปแล้ว เอาแต่หาวิธีเพื่อเอาชนะใจฉีอ๋อง ช่วงเวลาหอมหวานที่ความรักกำลังเบ่งบาน จนสุดท้ายกู้เลี่ยงรุ่ยก็สามารถข้ามผ่านฉีอ๋องมาได้และกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์ในเล่มที่ห้า ประมุขซีซวนหลินก็ปรากฏขึ้นและใช้อาคมฝ่ามือพรากวิญญาณกับกู้เลี่ยงรุ่ยจนวิญญาณสลาย พอคิดมาถึงตรงนี้กู้เลี่ยงรุ่ยสะดุดไปเล็กน้อย เพราะคิดไม่ออกว่าทำไมอยู่ดีๆกู้เลี่ยงรุ่ยจึงเดินทางอย่างรีบร้อนลงจากเขาทั้งชุดแต่งงานเพื่อมาพบฉีอ๋องและถูกเขาแทงหนึ่งกระบี่พร้อมกับถ้อยคำว่าจากนี้ลืมมันเสีย มันช่างไม่สมเหตุสมผลเลยมิใช่หรือ ตอนที่อ่านก็ไม่ได้ระบุหรือเฉลย เพียงแต่มีสาน์สลับจากองครักษ์ขึ้นมาถึงตีนเขาสกุลกู้และนั้นก็ทำให้กู้เลี่ยงรุ่ยใช้วิชาตัวเบาลงเขามา สุดท้ายจึงโดนฉีอ๋องแทงและโดนประมุขซีซวนหลินประทับอาคมฝ่ามือพรากวิญญาณ...
เหมือนทั้งสองนัดแนะกันมาเพื่อสังหารกู้เลี่ยงรุ่ยไม่ใช่หรือ?
คิดเรื่องราวในนิยายทั้งห้าเล่มจนจบแล้วกู้เลี่ยงรุ่ยก็รู้สึกว่ามันช่างเหมือนหมอกมัวๆเรื่องราวซับซ้อนและเต็มไปด้วยปริศนา ทำไมกันนะ ฉีอ๋องถึงแทงกู้เลี่ยงรุ่ยในวันนั้น ถึงจะไม่ชอบหน้ากันเช่นไรแต่ก็คงไม่ถึงขั้นจะต้องฆ่ากัน และที่สำคัญคือทำไมกู้เลี่ยงรุ่ยไม่รู้จักสู้ ด้วยวรยุทธ์ของกู้เลี่ยงรุ่ยแล้วฉีอ๋องไหนเลยจะสู้ได้ กระบี่พันทิวาของกูเลี่ยงรุ่ยใช่ของดาษดื่น แต่เท่าที่อ่าน เห็นได้ชัดว่ากู้เลี่ยงรุ่ยยอมรับและปล่อยให้ฉีอ๋องใช้กระบี่โรยราแทง แต่ความคิดทั้งหลายก็มีอันต้องสะดุดเมื่อใต้เท้าสะดุดก้อนหินก้อนหนึ่ง จนความคิดว้าวุ่นทั้งหลายปลิวหายไปกับความหนาวเย็น ดีที่ใช้ไม้เท้ายันไว้ได้
เส้นทางลงจากเขาขรุขระไปบ้าง อาจื่อคอยประกบกู้เลี่ยงรุ่ยไม่ห่าง แม้จะบอกว่าร่างกายผุพังบาดเจ็บหนัก แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นจะเดินเหินไม่ได้เลย กู้เลี่ยงรุ่ยในยามนี้แข็งแรงขึ้นมากแล้ว สามารถเดินคล่องโดยอาศัยไม้เท้าคอยช่วยพยุงผ่อนแรงบ้าง อากาศหนาวเหน็บและสภาพความเป็นอยู่แบบพลิกฝ่ามือก็สามารถรับมือได้แล้ว บนใบหน้ามีผ้าปิดเอาไว้จนถึงใต้ดวงตา กู้เลี่ยงรุ่ยทำเช่นนี้เพื่อป้องกันเรื่องยุ่งยากเพราะเขาไม่อยากจะให้ใครพบตัวในตอนนี้ ใครจะรู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง ยังไงก็ตามแต่ ชื่อเสียงของกู้เลี่ยงรุ่ยก็พอจะมีอยู่บ้าง ซ้ำแถวนี้อาจจะมีคนรู้จักมาเดินท่องเที่ยว กู้เลี่ยงรุ่ยไม่อาจไม่ป้องกัน ก็อย่างที่บอก กู้เลี่ยงรุ่ยคิดว่าบางทีอาจจะเป็นการร่วมมือกันของฉีอ๋องและประมุขมารผู้นั้นที่ร่วมมือกันล่อกู้เลี่ยงรุ่ยมาตาย เขาจึงต้องระวังมากเป็นพิเศษ
“พี่รุ่ย ท่านต้องปิดหน้าเช่นนี้ด้วยรึ มีเรื่องอะไรที่ท่านกังวลหรือ?”อาจื่อจะนับว่าฉลาดก็ยังได้ ท่าทางคล่องแคล่วและคล่องมือ ทำอะไรก็ดีไปหมด เด็กน้อยวัยสิบกว่าขวบที่ทำทั้งโจ๊กและต้มยาให้กู้เลี่งรุ่ยดื่มในทุกๆวันก็คืออาจื่อ
“พี่แค่กันไว้ก่อน อย่างไรเสีย ตามที่พี่คิดดูคงมีคนปองร้ายอยู่บ้าง เกรงว่าตอนนี้พี่ยังจำตัวเองไม่ได้ก็จะถูกคนร้ายเอาชีวิตก่อน พี่ทำเช่นนี้อาจื่ออย่าใส่ใจเลย”
“เข้าใจแล้วขอรับ พี่รุ่ยวางใจ อาจื่อจะคอยดูแลพี่รุ่ยเอง”ใบหน้าน้อยๆฉายแววมุ่งมั่น ในมือถือโคม บนหลังสะพายห่อผ้าที่บรรจุชุดแต่งงาน
“ขอบใจเจ้ามาก”ด้วยความเอ็นดู กู้เลี่ยงรุ่ยก็วางมือลงบนศีรษะของอาจื่อแล้วโยกไปมาสองสามที หลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก ทั้งสองเดินช้าๆค่อยๆลงจากเขามายังเส้นทางหลักที่ปลอดภัยจากภูตผีปีศาจ แถวนี้เป็นเขตรักษาความปลอดภัยของสำนักคุ้มภัยสกุลพยัคเมฆ เจ้าสำนักตู้จิ้งกง ซึ่งก็ทำได้ยอดเยี่ยม ไม่งั้นจนถึงดึกดื่นผู้คนไหนเลยจะเดินทอดน่องสบายใจได้ ถึงอย่างนั้นชื่อเสียงของเจ้าสำนักตู้จิ้งกงก็ไม่ได้ดีนัก ทั้งยังถือว่าเป็นคู่ปรับอันดับหนึ่งของกู้เลี่ยงรุ่ย ในงานประชุมของสมาคมเฟิงซานเล่อปู้เพื่อคัดเลือกผู้นำของสำนักคุ้มภัย เจ้าสำนักตู้จิ้งกงได้พ่ายแพ้ให้กับกู้เลี่ยงรุ่ยในการประลองด่านสุดท้ายไปอย่างน่าเสียดาย
อาจื่อที่ลงเขามาซื้อข้าวของบ่อยๆย่อมรู้ดีว่าจะสามารถไปขายของได้ที่ร้านใด ดังนั้นทั้งสองจึงตรงไปยังร้านค้าก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อยิ่งใกล้ก็ยิ่งได้ยินเสียงคึกคักสนุกสนานและแสงไฟสว่างไสว กู้เลี่ยงรุ่ยหยุดกายลงหน้าร้านที่อาจื่อหยุดลงก่อนหน้านี้ เป็นร้านขายผ้าสกุลอิ๋นที่มีชื่อเสียงของตำบลอู่เสวียน ภายในร้านคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย ด้วยเทศกาลตลาดนัดที่หนึ่งปีมีหนึ่งหนทำให้ได้รับความสนใจและมีประชาชนออกมาเที่ยวชมหนาตา ดูท่ากิจการของร้านขายผ้าสกุลอิ๋นจะได้กำไรมากเป็นแน่
ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปร่างของหญิงวัยกลางคนเกล้าผมด้วยปิ่นห้อยก็รีบมาต้อนรับ ด้วยเรือนร่างและรูปโฉมที่แม้จะซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าอยู่ทั้งหมดแต่ไม่ว่าอย่างไรก็สามารถบอกได้ในทันทีว่าคนผู้นี่มีรูปโฉมไม่ธรรมดา ชุดผ้าหยาบที่สวมอยู่เหมือนไม่อาจลดทอนสิ่งใดบนตัวได้ จึงละความสนใจลูกค้าท่านอื่นมาต้อนรับ“คุณชาย ไม่ทราบว่าสนใจจะซื้อแบบไหนหรือเจ้าค่ะ”
อาจื่อกระตุกแขนเสื้อกู้เลี่ยงรุ่ย “พี่รุ่ย ท่านนี้คือเถ้าแก่เนี้ยของร้าน”
พอรู้ว่าเป็นเจ้าของร้านมาเอง กู้เลี่ยงรุ่ยก็เริ่มทำการค้าทันที“สอบถามแม่นาง ไม่ทราบว่าร้านผ้าของท่านรับซื้อชุดหรือไม่ พอดีข้ามีชุดอยู่ชุดหนึ่ง มีรอยขาดไปจุดหนึ่งสามารถต่อรองราคากันได้ตามเหมาะสม”
“ชุดหรือ? คุณชายร้านขายผ้าสกุลอิ๋นหากไม่ใช่ผ้าชั้นดีและมีลวดลายที่ละเมียดละไมเกรงว่าจะรับซื้อไว้ไม่ได้ คุณชาย ท่านดูร้านเราเป็นร้านขายผ้า ไหนเลยจะรับซื้อเสื้อผ้าอีก คุณชาย ท่านคงไม่ได้เอาผ้าแปลกๆอะไรมาย้อมแมวขายหรอกนะเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นข้าคงต้องเชิญท่านออกไปแล้ว”
“แม่นางเข้าใจผิดแล้ว เป็นชุดอย่างดีไม่ย้อมแมวแน่นอน เชิญแม่นางลองดูก่อน ไม่แน่อาจจะเข้าตาแม่นางบ้างไม่มากก็น้อย หากว่าแม่นางชมแล้วยังไม่อยากจะรับซื้อ ข้าจะไม่เซ้าซี้”ด้วยระดับชุดที่ฉีอ้ายอันปักแล้ว กู้เลี่ยงรุ่ยไม่กังวลใจเลยสักนิด จึงส่งสัญญาณให้อาจื่อส่งห่อผ้าไปให้นางดู
“คุณชายนี่มัน...”ชุดแต่งงานที่สวยที่สุดที่นางเคยเห็นมาตั้งแต่เกิด อีกทั้งรอยขาดที่ว่าก็เล็กเท่าสองนิ้วผ่านได้เท่านั้น รอยนั้นอาจจะเป็นจากกระบี่ที่อกซ้าย ซึ่งนอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีร่องรอยตำหนิอื่นใดอีก นางเอามือลูบไล้ผ้าเพื่อสัมผัสกับความนุ่มลื่นและเพ่งมองรอยปักอย่างดีด้วยหัวใจรัวแต่ก็ยังต้องเก็บอาการเหล่านั้นลงไปในอก ก่อนจะแสร้งตีราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็นเพื่อกดราคา ทั้งๆที่หากซ่อมรอยขาดนั้นแล้วจะขายเอากำไรสักร้อยตำลึงทองก็ยังได้
“ผ้าดีจริงแต่มีรอยตำหนิทั้งยังเป็นชุดใส่แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นชุดที่ขโมยมา ร้านสกุลอิ๋นหากจะทำการค้าก็ยังต้องคิดอยู่บ้าง แต่เห็นว่าคุณชายดูคุ้นเคย ข้าจึงจะช่วยซื้อไว้ด้วยราคาห้าตำลึงทอง”ปากบอกว่ากลัวของโจรแต่ก็แอบเลื่อนชุดมาใกล้ตัว ในใจนั้นอยากได้จนตัวสั่น แค่คิดภาพว่าเอาชุดไปซ่อมรอยขาดและเอามาแขวนขายหน้าร้าน คงมีคุณชายวัยใกล้ออกเรือนมาเลือกซื้อเป็นแน่
“แม่นาง ท่านกล่าวหนักไปแล้วชุดนี้เป็นของญาติของข้าเอง ด้วยช่วงนี้ลำบากจึงได้แต่นำชุดมาขาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะขายถูกๆแค่ห้าตำลึงทอง แม่นางท่านจะทำกำไรมากเกินไปหรือไม่ เกรงว่าชุดนี้ถ้าขายไปคงจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบตำลึงทองกระมั่ง”ของที่ฉีอ้ายอันคัดสรรล้วนดีที่สุด ลายปักประณีตและเต็มไปด้วยเทคนิกที่หาในงานฝีมือทั่วไปไม่ได้ อีกทั้งราคาที่เถ้าแก่เนี้ยกล่าวมาจะขูดรีดเกินไปแล้ว อย่างไรราคาการซื้อขายของที่นี้กู้เลี่ยงรุ่ยเข้าใจแจ่มแจ้ง ราคาแค่ห้าตำลึงทองนั้น คิดจะหลอกใครกัน
“คุณชาย เป็นท่านเองที่อยากจะขาย ร้านเราไม่ขาดชุดขาดผ้า หากท่านไม่อยากจะทำการค้านี่ ข้าเองก็คงไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”นางมั่นใจว่าร้านแถวนี้ไม่ว่าที่ใดก็ไม่มีทางให้ราคามากไปกว่านางแล้ว ชุดนี่ดีจริง แต่ว่าการค้าก็เช่นนี้ ใครๆก็ต้องการกำไร อีกทั้งนางประเมินแล้ว คุณชายท่านนี้จะอย่างไรก็คงไม่มีหน้าไปเร่ขายที่อื่นอีก ต้องจำใจขายให้นางอย่างแน่นอน
“เช่นนี้ข้าคงต้องขอลาก่อน ขอบคุณแม่นางที่สละเวลามาพูดคุยด้วย ไปเถอะอาจื่อ”เล่ห์เหลี่ยมของแม่ค้าที่กดราคากับผู้ขายตาดำๆแม้แต่ยุคนี่ก็ยังมี กู้เลี่ยงรุ่ยไม่คิดจะเสียเวลาอีก
“อย่างนั้นการค้านี่คงทำไม่ได้แล้ว เชิญคุณชาย”
“ขอบคุณแม่นาง”กู้เลี่ยงรุ่ยคาราวะทีหนึ่ง จูงมืออาจื่อจากมาทันที ก่อนจะมายืนอยู่ด้านหน้าตลาดที่ผู้คนพลุ่กพล่าน ในมือยังถือชุดแต่งงานและไม้เท้าเอาไว้ อากาศภายนอกร้านเย็นเฉียบ ผู้คนจำนวนหนึ่งต่างจับจ้องด้วยความสนใจว่าสองผู้นี้เป็นใคร ด้วยอีกหนึ่งอยู่ในวัยชายหนุ่ม อีกหนึ่งเป็นเพียงเด็กน้อย หากจะบอกว่าเป็นบิดากับบุตรชายก็คงจะใช่ กู้เลี่ยงรุ่ยไม่สนใจสายตาของคนเหล่านั้น มีเพียงอาจื่อที่เงยหน้าขึ้นถามด้วยเสียงไม่มั่นใจที่กู้เลี่ยงรุ่ยใส่ใจ
“พี่รุ่ย ชุดนี่จะทำอย่างไร...”อาจื่อพูดไม่ออกบอกไม่ถูก จริงๆราคาห้าตำลึงทองก็นับว่ามากแล้ว ตั้งแต่เกิดไหนเลยที่อาจื่อจะเคยจับเงินมากขนาดนั้น ทว่าพี่รุ่ยกลับยังไม่ยอมขายและจากมา อาจื่อมั่นใจว่าพี่รุ่ยคิดดีแล้ว ทว่าถ้าในท้ายสุดยังไม่สามารถจำหน่ายชุดไปได้เล่า
“วางใจเถอะอาจื่อ พี่รุ่ยจะเอาเงินร้อยตำลึงทองมาให้เจ้า”กู้เลี่ยงรุ่ยเอ่ยแต่ไม่ได้บอกวิธี หลังจากนั้นจึงขอตัวไปเตรียมตัวเล็กน้อย ก่อนจะขอให้อาจื่อช่วยไปจับจองพื้นที่ด้านหน้าของตลาดนัดให้หน่อย ต้องเป็นที่คนพลุ่กพล่านและอยู่หน้าหอรื่ื่นรมย์ อาจื่อพยักหน้ารัวๆก่อนจะไปจัดเตรียมให้อย่างที่กู้เลี่ยงรุ่ยขอ แม้จะไม่เข้าใจแต่ก็ทำตามอย่างเคร่งครัด
กู้เลี่ยงรุ่ยไม่อยากจะคิดว่าจะต้องกลับมาสวมชุดนี้อีกหน เบื้องหน้าของเขาเต็มไปกลุ่มที่คนที่ส่งสายตามองมามิได้ขาด แทบจะเรียกได้ว่าความสนใจจับอยู่บนตัวกู้เลี่ยงรุ่ยหมดแล้ว สองเท้าที่ก้าวเดินจึงสั่นบ้าง แต่ก็ไม่มีเผยออกไป กู้เลี่ยงรุ่ยในตอนนี้คือชายหนุ่มรูปงาม ยังมีอะไรที่ต้องเขินอาย อีกทั้งยังคงสวมผ้าปิดหน้า ไม่มีใครจดจำได้แน่นอน ร่างสูงเดินไปหาอาจื่อที่จองพื้นที่เอาไว้ตามคำสั่ง กู้เลี่ยงรุ่ยหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนลงไปบนผ้าชุดเดิมของตัวเองก่อนจะปักไว้ด้านหน้า พลางส่งสัญญาณให้อาจื่อว่าตีกลองสักหน่อยเรียกร้องให้คนหันมามอง แม้กระทั่งเถ้าแก่เนี้ยจากร้านขายผ้าสกุลอิ๋นก็แทรกกลุ่มคนมาชมด้วยสีหน้าตื่นตะลึง เมื่อครู่ยามเห็นชุดก็รู้สึกว่าสวยมากแล้ว บัดนี้สวมอยู่บนร่างกู้เลี่ยงรุ่ยยิ่งขับเสริมให้ราวกับเทพเซียนกำลังจะแต่งงาน
“แม่นางทั้งหลาย คุณชายทั้งหลาย ตัวข้านั้นมีเรื่องหนึ่งจะมานำเสนอ ชุดบนตัวของข้านั้นเป็นของญาติผู้หนึ่ง วันนี้ขัดสนเงินทองจึงอยากจะมาชวนทุกท่านร่วมกับประมูลชุดนี้ แต่เดิมชุดนี้ยังมีตำหนิที่ไม่ได้แก้ไข ไม่ปิดบังทุกท่าน เป็นรอยกระบี่รอยหนึ่งตรงอกซ้าย ดังนั้นจึงไม่คิดเอาเปรียบทุกท่าน ชุดนี้จะเริ่มต้นประมูลที่ราคาห้าตำลึงทอง หากมีท่านใดที่อยากจะซื้อชุดนี้เพียงบอกราคามา ผู้ใดเสนอราคาที่มากที่สุดจะได้ชุดนี้ไป”
การประมูลชุดนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ไม่รู้ด้วยเหตุผลใดถึงได้ทำให้การกระทำนี้ของกู้เลี่ยงรุ่ยได้รับความสนใจจากผู้คนอย่างมากมาย จะเป็นเพราะชุดอย่างเดียวก็คงมิใช่ ต้องเป็นคนสวมที่เปรียบดังไม้แขวนชั้นดีที่ทำให้ใครต่อใครก็อยากจะได้ชุดมาครอบครอง เหล่าคุณชายมีเงินต่างอยากได้ชุด เหล่าแม่นางต่างยกผ้าเช็ดหน้าเอียงอายด้วยขวยเขินต่อกู้เลี่ยงรุ่ยที่อยู่อย่างโดดเด่นอยู่ตรงกลาง
“ข้าไปสิบตำลึงทอง”ชายร่างบึกบึนยกมือ อีกไม่นานก็ต้องแต่งภรรยาอยู่แล้ว จะซื้อชุดไว้ก่อนก็ย่อมไม่เสียหาย
อาจื่อทวนให้คนทั้งหมดได้ยินรอบหนึ่ง“สิบตำลึงทอง”
“ชุดนั้นเหมาะกับเจ้าที่ใด ต้องข้าใส่ถึงจะเหมาะ ข้าให้สิบห้าตำลึงทอง เอามาให้ข้า!”
“สิบห้าตำลึงทอง!”อาจื่อตะโกนด้วยเสียงดัง ราคาพุ่งสูงกว่าราคาที่เถ้าแก่เนี้ยจะให้เมื่อครู่ตั้งสิบตำลึงทอง! ชายผู้นี่ไม่บอกก็รู้ว่ามาจากตระกูลร่ำรวย แต่ก็ยังมีคนตะโกนให้ราคาที่สูงกว่าจากอีกทิศ กู้เลี่ยงรุ่ยบอกให้อาจื่อคอยจดคอยช่วยดู การประมูลดุเดือดกว่าที่คิดจนมาถึงราคาสูงสุดที่ห้าสิบตำลึงทองอย่างไม่น่าเชื่อจากฝูงชนเหล่านี้ และราคายังคงพุ่งสูงต่อไปเรื่อยๆ พริบตาเดียวก็เดินทางมาถึงหกสิบตำลึงทอง!
“หกสิบตำลึงทอง!”
“หกสิบตำลึงทอง!”
“หกสิบตำลึงทองพร้อมทองแท่งสิบแท่ง!”
อาจื่อยิ่งพูดยิ่งสนุก“หกสิบตำลึงทองพร้อมทองแท่งสิบแท่ง!”
กู้เลี่ยงรุ่ยยิ้มกริ่มในใจ การประมูลนี้ไม่เสียเปล่าจริงๆเขาพยักหน้าพอใจแต่ก็ยังมีคนที่ให้ราคาสูงขึ้นอีกต่อไป มาจนถึงตอนนี้อาจื่อที่คอยจดราคาที่สูงเรื่อยๆพร้อมตะโกนบอกก็ตื่นตะลึงแล้วตื่นตะลึงอีก จนราคามาแตะที่หนึ่งร้อยตำลึงทอง กู้เลี่ยงรุ่ยก็คิดจะปิดการประมูลไว้ที่ตรงนี้เสีย แต่ใครจะรู้ว่ามีร่างของคนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่บนชั้นสองของหอรื่นรมย์พูดขึ้น โดยให้บ่าวรับใช้พูดขึ้นก่อน
“หนึ่งร้อยตำลึงพร้อมกับทองยี่สิบแท่ง…”อาจื่อทวนแต่ก็รู้สึกเอ๊ะในใจจึงไม่พูดต่อ เมื่อครู่คนผู้นั้นพูดอะไรนะ?
สรรพสิ่งเหมือนถูกสาป ไม่มีใครส่งเสียงอีกเมื่อร่างนั้นยืนขึ้นก่อนจะเท้ามือกับระเบียงไม้อย่างเกียจคร้าน กู้เลี่ยงรุ่ยเพ่งมองอย่างคนติดนิสัยเคยสายตาสั้นในอดีตทั้งๆที่ไม่จำเป็นเพราะกู้เลี่ยงรุ่ยร่างนี้สายตาดีมาก
“ข้าพร้อมจะจ่ายให้เจ้ามากกว่าหนึ่งร้อยตำลึงทองกับทองยี่สิบแท่ง หากว่าเจ้ายินยอมไปกับข้า ไปกับข้าในที่นี้หมายถึงอะไร คิดว่าเจ้าคงเข้าใจ”
กู้เลี่ยงรุ่ยลอบสูดหายใจเย็นๆเข้าปอด มาแล้ว ตัวร้ายที่เคยมีบทบาทอยู่ในนิยายเพียงเล็กน้อยอย่าง ‘ป๋อหยวน’บุตรชายของคหบดีผู้ร่ำรวยที่สุดของตำบลอู่เสวียน และมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ประจำเมือง ว่ากันว่าป๋อหยวนมีรสนิยมชมชอบบุรุษ ในจวนเต็มไปด้วยชายบำเรอที่เลี้ยงไว้มากกว่าสิบคน เรื่องราวของป๋อหยวนไม่ค่อยปรากฏมากนักในห้าเล่มแรก มีประเด็นแค่ตรงเล่มที่สอง ตรงส่วนที่กู้เลี่ยงรุ่ยกับฉีอ้ายอันมาเที่ยวตำบลอู่เสวียนแล้วพบกับชาวบ้านที่เล่าเรื่องป๋อหยวนกันอย่างสนุกปาก ให้ฟัง นอกนั้นก็ไม่มีกล่าวถึงอีก แต่จากเค้าลางแล้ว ในอีกห้าเล่มต่อไปคงไม่แน่ เพราะหน้าแนะนำตัวละครมักจะมีชื่อของป๋อหยวนอยู่ด้วย น่าเสียดายที่กู้เลี่ยงรุ่ยในตอนนี้ไม่อาจจะรู้อะไรล่วงหน้าได้ เรื่องราวต่อจากเล่มห้าไปคือกระดาษเปล่าโดยแท้