ในช่วงที่จูกัดเหลียงมีบทบาทเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ได้ตั้งเป้าหมายของจ๊กก๊กเป็นการฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่น ซึ่งจากมุมมองของจ๊กก๊กแล้วราชวงศ์ฮั่นโดนรัฐวุยก๊กแย่งชิงอำนาจไป จูกัดเหลียงเห็นว่าก่อนจะโจมตีวุยก๊ก ต้องสร้างเอกภพมั่นคงสมบูรณ์ในจ๊กก๊กเป็นอันดับแรก. จูกัดเหลียงกังวลว่ากลุ่มตระกูลท้องถิ่นจะร่วมมือกับชนเผ่าลำมัน (หนานหมาน) ในภูมิภาคหนานจงก่อกบฏขึ้น เกรงว่ากบฏจะบุกเข้ายึดพื้นที่โดยรอบเมืองหลวงเซงโต๋ระหว่างที่ตนยกทัพบุกวุยก๊กทางเหนือ จูกัดเหลียงจึงตัดสินใจจะสยบชนเผ่าทางใต้เป็นอันดับแรก ในฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ. 225 กลุ่มตระกูลต่าง ๆ ในภูมิภาคหนานจง รวมถึงตระกูลยง เกา จู และเมิ่งได้เข้ายึดเมืองทางใต้บางเมือง จูกัดเหลียงจึงนำทัพบุกไปยังหนานจง ม้าเจ๊กเสนอว่าควรพยายายามเอาชนะใจชาวลำมันและร่วมสนับสนุนกันแทนที่จะใช้กำลังทหารปราบปราม จูกัดเหลียงปฏิบัติตามคำแนะนำของม้าเจ๊กและเอาชนะเบ้งเฮ็ก (เมิ่ง ฮั่ว) ผู้นำกบฏเจ็ดครั้งตามที่มีระบุอ้างในบันทึกประวัติศาสตร์ในหนหลัง เช่น พงศาวดารหฺวาหยาง จูกัดเหลียงปล่อยเบ้งเฮ็กทุกครั้งที่จับตัวได้เพื่อให้เบ้งเฮ้กยอมสวามิภักดิ์จากใจจริง. เรื่องราวเกี่ยวกับการจับกุมเบ้งเฮ็กเจ็ดครั้งถูกตั้งคำถามเรื่องความน่าเชื่อถือโดยนักวิชาการสมัยใหม่หลายคน รวมถึงนักประวัติศาสตร์เช่น เมี่ยว เยฺว่, ถัน เหลียงเซี่ยว และจาง หฺวาหลัน เบ้งเฮ็กตระหนักว่าตนไม่มีโอกาสชนะ จึงยอมสวามิภักดิ์ต่อจ๊กก๊ก และได้รับการแต่งตั้งจากจูกัดเหลียงให้เป็นผู้ว่าการภูมิภาคเพื่อเอาใจชาวท้องถิ่นและป้องกันชายแดนทางใต้ของจ๊กก๊ก ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าการยกทัพบุกเหนือในอนาคตจะดำเนินต่อไปโดยไม่มีการหยุดชะงักด้วยสาเหตุจากภายใน ทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ที่ได้รับจากหนานจงถูกนำมาใช้เป็นทุนให้กับกองทัพจ๊กก๊ก รัฐจ๊กก๊กจึงเจริญรุ่งเรืองขึ้น
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น เมืองหลายเมืองในภูมิภาคหนานจงก่อกบฏต่อต้านจ๊กก๊ก แต่จูกัดเหลียงไม่ได้ส่งกำลังทหารไปปราบปรามการจลาจล เนื่องจากเล่าปี่เพิ่งสวรรคตไปไม่นาน เล่าปี่ถูกโน้มน้าวโดยลกซุนหลังเล่าปี่พ่ายแพ้ในยุทธการที่อิเหลงว่าจำเป็นต้องที่จ๊กก๊กต้องเป็นพันธมิตรกับง่อก๊ก จูกัดเหลียงส่งเตงจี๋และตันจิ๋นไปเจรจาสันติภาพกับง่อก๊กและกลับมาเป็นพันธมิตรกัน จูกัดเหลียงมักส่งทูตไปง่อก๊กเป็นประจำเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างทั้งสองรัฐ ในปี ค.ศ. 229 ซุนกวนสถาปนาตนเป็นจักรพรรดิ ทำให้ขุนนางของจ๊กก๊กหลายคนไม่พอใจเพราะถือว่าราชวงศ์ฮั่น (รวมถึงจ๊กก๊ก) เป็นราชวงศ์ดั้งเดิมเพียงราชวงศ์เดียว ขุนนางของจ๊กก๊กบางคนถึงกับเสนอให้ตัดความสัมพันธ์ระหว่างจ๊กก๊กและง่อก๊ก แต่จูกัดเหลียงให้ความเห็นว่าพันธมิตรจ๊กก๊ก-ง่อ๊กยังคงมีความจำเป็น จึงปล่อยวางเรื่องที่ซุนกวนตั้งตนเป็นจักรพรรดิไว้ชั่วคราว แล้วยังมีการส่งทูตของจ๊กก๊กไปแสดงความยินดีกับซุนกวนเพื่อกระชับความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย
จูกัดเหลียงเห็นคุณค่าของผู้มีความสามารถเป็นอย่างมาก จึงให้ความใส่ใจกับการศึกษาเป็นพิเศษเพื่อปลูกฝังและสรรหาขุนนางผู้มีสามารถเพิ่มเติมให้มารับราชการกับราชสำนักจ๊กก๊ก จูกัดเหลียงริเริ่มตำแหน่งขุนนางผู้ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ (勸斈從事 เชฺวี่ยนเสฺวียฉงชื่อ) ซึ่งมีผู้ดำรงตำแหน่งเป็นปัญญาชนท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงหลายคนเช่นเจียวจิ๋ว เจียวจิ๋วดำรงตำแหน่งนี้เป็นเวลานานมากและมีอิทธิพลเป็นอย่างสูง ลูกศิษย์คนหนึ่งของเจียวจิ๋วชื่อตันซิ่ว (เฉิน โช่ว) เป็นผู้เขียนจดหมายเหตุสามก๊ก (ซันกั๋วจื้อ) ต่อมาจูกัดเหลียงได้ก่อตั้งสำนักศึกษาใหญ่ (太斈府 ไท่เสฺวียฝู่) ซึ่งเป็นสถานที่ฝึกอบรมโดยใช้วรรณกรรมขงจื๊อเป็นตำราเรียน จูกัดเหลียงยังได้สร้าง "สำนักอ่านตำรา" หลายแห่งทั้งในเซงโต๋และในแนวหน้าระหว่างการบุกขึ้นเหนือ สำนักต่าง ๆ ดังกล่าวทำหน้าที่เป็นสถานที่สำหรับการอภิปรายในหัวข้อต่าง ๆ และด้วยการอภิปรายเช่นนี้จะทำให้สามารถค้นพบและสรรหาผู้มีความสามารถได้ Yao Tian ผู้ว่าการเขตก๋งฮาน (กวั่งฮั่น) ของจ๊กก๊กได้แนะนำผู้มีความสามารถจำนวนมากให้ราชสำนัก จึงได้รับการชื่นชมอย่างมากจากจูกัดเหลียง จูกัดเหลียงยังได้จัดตั้งกลไก "สำนักอภิปราย" เพื่อรวบรวมการอภิปรายทั้งหมดของนโยบายบางอย่าง และส่งเสริมให้ขุนนางยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์ของผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อวินิจฉัยอย่างเหมาะสมและใช้ความสามารถทั้งหมดผู้ใต้บังคับบัญชาให้เป็นประโยชน์ จูกัดเหลียงดำเนินนโยบายคุณธรรมนิยม ส่งเสริมและประเมินบุคคลตามผลงานและความสามารถมากกว่าชื่อเสียงหรือภูมิหลัง