เมื่อเขียนเรื่อง The Neverending Story ความคิดของเอ็นเด้ก็ลุ่มลึกมากขึ้น งานของเขาไม่เพียงเป็นการวิพากษ์สังคม หากยังล่วงไปถึงแนวคิดปรัชญา โดยเฉพาะปรัชญาตะวันออก
เอ็นเด้พยายามชี้ให้เห็นถึงพลังแห่งจินตนาการ อันเป็นหนทางในการเยียวยาสังคม แต่หากเอ็นเด้หยุดบทบาทของจินตนาการไว้เพียงเท่านี้ The Neverending Story ก็จะมีปลายทางไม่ต่างจากวรรณกรรมแฟนตาซีอื่นๆ
แนวคิดเรื่อง “กระจกสะท้อนแก่กัน” นี้นอกจากแสดงผ่านสัญญะจำนวนมากมายในเรื่อง The Neverending Story แล้ว เขายังมีเขียนรวมเรื่องสั้นเล่มหนึ่งชื่อ Mirror in the Mirror (๑๙๘๖) เรื่อง Jim Knopf และนิทานหลายเรื่องก็สะท้อนความคิดนี้
ความโด่งดังและยอดเยี่ยมของ The Neverending Story มีมากจนถึงขนาดมีผู้ซื้อลิขสิทธิ์ไปสร้างเป็นภาพยนตร์ กำกับโดยโวล์ฟกัง ปีเตอร์เซน ซึ่งมีผลงานโด่งดังในเวลาต่อมาอย่างเช่น Air Force One (๑๙๙๗) Perfect Storm (๒๐๐๐) และ Troy (๒๐๐๔)
และที่ดูจะร้ายแรงที่สุดก็คือ The Neverending Storyฉบับภาพยนตร์นี้ปล่อยให้อัทเทรอูกับมังกรนำโชคฟูคัวร์ทะลุมาสู่โลกมนุษย์เพื่อสั่งสอนพวกเด็กเกเรที่กลั่นแกล้งบาสเตียน มันเท่ากับเป็นการรื้อทิ้งแก่นความคิดในฉบับหนังสือลงอย่างป่นปี้จนกลายเป็นเรื่องแฟนตาซีดาดๆ
มิฆาเอ็ล เอ็นเด้ เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๑๙๙๕ ในช่วงบั้นปลายชีวิตของเขา ยังมีการนำเรื่อง The Neverending Story มาสร้างเป็นหนังภาคสองและสาม โดยที่ภาคสองหยิบเอาเหตุการณ์ย่อยๆ บางเหตุการณ์ในหนังสือครึ่งเล่มหลังของเขามาสร้างและร้อยเรียงใหม่จนต่างไปจากเรื่องเดิม ส่วนภาคสามนั้นคงอาศัยเพียงชื่อตัวละครเท่านั้น แต่เหตุการณ์ทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกับในหนังสือเลย
ตามรายงานไม่ได้แจ้งว่าเหตุใดเอ็นเด้ซึ่งผิดหวังจากการที่ผลงานของเขาถูกปู้ยี่ปู้ยำในหนังภาคแรก กลับยังคงยินยอมให้มีการสร้างภาคต่อได้อีก และเขาได้ดูมันหรือเปล่า ซึ่งหากเขาได้ดูก็คงกระอักเลือดมากเป็นสองเท่า เพราะ The Neverending Story ภาคแรกที่ว่าแย่แล้ว สำหรับสองภาคหลังนั้นกลับยิ่งแย่ไปกันใหญ่...