Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บทเรียนจากเชื้อโรค
•
ติดตาม
5 ม.ค. 2019 เวลา 04:15 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
แบคทีเรียจรจัด: ตอนที่ 2 มัจจุราชแห่งโรงพยาบาล
ในเมื่อวิธีตายของคุณถูกกำหนดไว้แล้ว เพื่อที่คุณจะได้นอนตายตาหลับในวันที่คุณถูกลอบสังหารคาเตียงโรงพยาบาล เราจะมาเปิดเผยโฉมหน้าของเหล่าฆาตกรต่อเนื่องกัน
ใครฆ่า "ประเสริฐ"? (ละครเลือดข้นคนจาง)
ถึงจะเราจะเดาไม่ถูกว่าใครเหนี่ยวไก แต่ถ้าเปลี่ยนบทให้เขาไม่ตายทันที ไปนอนอยู่ไอซียูหลายสัปดาห์ค่อยตายในโรงพยาบาล เราจะบอกได้ทันทีว่าใครเป็นคนลงดาบสุดท้าย ผู้ต้องสงสัยมีอยู่ไม่กี่ราย
มันคือผู้ทรงอิทธิพล เจ้าที่ประจำโรงพยาบาล
คุณมองไม่เห็นมันด้วยตาเปล่า แต่ถ้าอยากให้เจ้าที่นี้ประทับร่าง ก็ง่ายนิดเดียว คือใช้ยาปฏิชีวนะ
อยากได้เจ้าที่แรง ๆ คุณก็ใช้ยาปฏิชีวนะแรง ๆ นาน ๆ
แล้วทำอย่างไรแพทย์ถึงจะยอมจ่ายยาปฏิชีวนะแก่คุณ
ก็ทำยังไงก็ได้ให้มีไข้ในฟอร์มปรอท จะเอาเทอร์โมมิเตอร์ไปจุ่มในโจ๊กหรือน้ำอุ่นก็ได้
เหมือนกับสุนัขของพาฟลอฟ (Pavlov) ที่ได้ยินเสียงกระดิ่งแล้วน้ำลายไหล พอแพทย์เห็นไข้ปุ๊บ ก็คันไม้คันมือ อดไม่ได้ที่จะให้ยาปฏิชีวนะทันที
มันมาแล้ว องค์ลงแล้ว รู้สึกไหม
คุณยังไม่รู้ตัว แต่ตอนนี้คุณกลายเป็นร่างทรง "เชื้อดื้อยา" ไปแล้ว
วันดีคืนดี ร่างกายของคุณก็จะสำแดงอภินิหาร เช่น สั่นเป็นเจ้าเข้า (ไข้สูง) ชักดิ้นชักงอ (ติดเชื้อที่สมองหรือชักจากยาปฏิชีวนะ) เสียงเปลี่ยน (เสมหะเต็มคอจากปอดบวม) มีจ้ำขึ้นตามตัวโดยไม่ถูกกระทบกระแทก (การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ) เข้าฌานสมาบัติขั้นสูงระดับปลุกไม่ตื่น (โคม่า) ฯลฯ
การติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยาในโรงพยาบาลนั่นเองที่จะเป็นวิธีหรือรูปแบบการตาย (mode of death) ของคนรุ่นเราทุกคนไม่ว่าจะ ดี-เลว รวย-จน ก็ตาม
การติดเชื้อพวกนี้บางครั้งก็รุนแรงถึงชีวิต บางครั้งก็ไม่รุนแรงนักแต่ทำให้ร่างกายของคุณทรุดลงไปเรื่อย ๆ ถึงกำจัดเชื้อได้ร่างกายก็อาจไม่กลับมาเหมือนเดิม
และการกำจัดเชื้อดื้อยาก็ต้องใช้ยาปฏิชีวนะที่แรงขึ้น ส่งผลให้เชื้อที่ดื้อยาโหดขึ้น มาอาศัยร่างกายคุณเป็นร่างทรง รอวันสำแดงอภินิหารรอบถัดไป แล้วคุณก็จะได้ยาฏิชีวนะที่แรงขึ้นไปอีก กลายเป็นวัฏจักรแห่งความตาย
ถ้ารอบนี้คุณรอด ได้กลับบ้านก็ไม่เป็นไร มาโรงพยาบาลรอบหน้า ก็จะได้เจอกันอีก
ณ ตอนที่คุณเสียชีวิต คุณอาจจะไม่ได้กำลังติดเชื้อดื้อยาพวกนี้อยู่ แพทย์อาจไม่ได้ระบุในใบมรณบัตรว่าการติดเชื้อเป็นสาเหตุหรือรูปแบบการตายของคุณ
แต่ถ้าคุณนอนอยู่โรงพยาบาลนานพอ การติดเชื้อดื้อยาจะมีส่วนร่วมพาคุณไปสู่จุดจบไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม
ถ้าจะหนีมันให้พ้นก็พอมีวิธี คือคุณต้องตายทันที มาโรงพยาบาลให้แพทย์ช่วยไม่ทัน เช่น โดนไข้โป้งเข้ากลางหัว โดนสิบล้อทับ เส้นเลือดแดงใหญ่แตก ฯลฯ
ก่อนจะไปยลโฉมหน้าเชื้อดื้อยาทั้งหลาย เรามาปูพื้นเรื่องยาปฏิชีวนะซักนิด
ยาปฏิชีวนะมีมากมายแต่ที่แพทย์นิยมใช้ที่สุด คือ กลุ่มเบต้าแลคแทม (beta-lactam) ซึ่งทำหน้าที่ยับยั้งการสร้างผนังเซลล์ (cell wall) ของแบคทีเรีย
ในยากลุ่มนี้ยังแบ่งเป็นกลุ่มย่อยอีก เรียงตามความสามารถในการครอบคลุมเชื้อต่าง ๆ จากน้อยไปมาก คือ กลุ่มเพนนิซิลิน (penicillin) กลุ่มเซฟาโลสปอริน (cephalosporin) และกลุ่มคาร์บาพีเนม (carbapenem)
วิธีที่แบคทีเรียนิยมใช้ในการดื้อยาคือสร้างเอนไซม์ (beta-lactamase) มาย่อยยา
เอนไซม์นี้มีมากหมายหลายชนิด บางชนิดย่อยได้เฉพาะเพนนิซิลิน บางชนิดย่อยเซฟาโลสปอรินที่ย่อยยากกว่าได้ด้วย และมีน้อยชนิดที่ย่อยคาร์บาพีเนมที่ย่อยยากที่สุดได้
โดยแบคทีเรียนิยมแบ่งตามคุณสมบัติของผนังเซลล์ เป็น 2 กลุ่ม คือกรัมบวก (gram positive) ซึ่งมีผนังหนาย้อมติดสีน้ำเงิน และ กรัมลบ (gram negative) ที่ผนังบางย้อมติดสีแดง
ทีนี้พร้อมแล้วก็มาดูกันว่าในอนาคตคุณจะตายด้วยเชื้อดื้อยาตัวไหน (ขอเรียกชื่อตามแบบที่แพทย์ทั่วไปนิยมเรียกกัน)
กลุ่มแบคทีเรียกรัมบวก
เชื้อแบคทีเรียคลอสตริเดียม ดูจากกล้องจุลทรรศน์
เริ่มด้วยเชื้อ "ซีดิฟ" หรือ คลอสตริเดียม ดิฟฟิเซียว [Clostridium difficile] อาศัยอยู่ในลำไส้
ถ้ากระเบื้องที่มาเรียงกัน ต้องมียาแนวเพื่อกันรั่วซึม เซลล์บุผนังลำไส้ก็เช่นกัน ต้องมีที่ยึดเซลล์ (tight junction) เชื่อมเซลล์เข้าด้วยกัน
เชื้อซีดิฟสามารถสร้างพิษ (toxin) ที่ทำลายโครงสร้างเซลล์ (cytoskeleton) ทำให้ที่ยึดเซลล์เหล่านี้เสียหาย เซลล์บุผนังลำไส้หลุดแยกออกจากกัน ทำให้มีอาการได้ตั้งแต่ท้องเสียเล็กน้อยไปจนถึงลำไส้ทะลุได้
เชื้อนี้ดื้อยากลุ่มเบต้าแลคแทมทั้งหมดต้องใช้ยากลุ่มอื่น เช่น แวนโคมัยซิน (vancomycin) หรือ เมโทรนิดาโซล (metronidazole) ซึ่งฆ่ามันได้เฉพาะตอนที่มันเติบโตเพิ่มจำนวน แต่ไม่มียาใดที่ทำลายสปอร์ของมันที่ยังไม่งอกได้ จึงกลับเป็นซ้ำ(recurrent) ได้บ่อย
ข้อน่ารู้คือเชื้อนี้เป็นญาติกับเชื้อบาดทะยัก [Clostridium tetani] ที่ทำให้เราต้องฉีดวัคซีนเวลาเป็นแผลลึก และเชื้อโบทูลินั่ม [Clostridium botulinum] ที่ทำให้เกิดข่าวคนท้องเสียเป็นอัมพาตหลังไปกินหน่อไม้ปี๊บที่ปนเปื้อน และเป็นสาเหตุที่ทารกห้ามกินน้ำผึ้ง พิษของมันคือสิ่งที่เอามาฉีดแก้รอยเหี่ยวย่นในการทำโบท็อกซ์ (Botox) นั่นเอง
พวงองุ่นแห่งความตาย เชื้อสแตฟิโลคอคคัส ออเรียส [Staphylococcus aureus] ในหนองที่ดูด้วยกล้องจุลทรรศน์
ถัดไปคือเชื้อ "เมอร์ซ่า" หรือที่แพทย์ไทยนิยมสะกดตัวย่อตรง ๆ ว่า เอ็มอาร์เอสเอ (MRSA: Methicillin-Resistant [Staphylococcus aureus]) อาศัยอยู่บนผิวหนัง และในรูจมูก มักทำให้เกิดการติดเชื้อในแผล ติดเชื้อในสายสวนหลอดเลือดและเกิดฝีหนองตามที่ต่าง ๆ
เชื้อนี้ดื้อยาเบต้าแลคแทมทุกตัว ต้องใช้ยาแวนโคมัยซิน ยานี้แพทย์ทั่วไปมักชื่นชมบูชาว่าเป็นสุดยอดยาปฏิชีวนะ เป็นด่านสุดท้ายสำหรับเชื้อกรัมบวกเพราะเชื้อดื้อได้ยากมาก แต่จริง ๆ แล้วเป็นยาห่วย ฆ่าเชื้อได้ช้า แต่จำใจต้องใช้เพราะเชื้อดื้อยาอื่นหมดแล้ว
2
แม้กระนั้นก็ยังมีเชื้อที่ดื้อยานี้ได้ นั่นคือเชื้อ "วีอาร์อี" (VRE: Vancomycin-Resistant Enterococci) ซึ่งอาศัยอยู่ในลำไส้ ทำให้เกิดการติดเชื้อในทางเดินน้ำดีและที่อื่น ๆ ได้ประปราย ถ้าเจอเชื้อนี้ก็ตัวใครตัวมัน ต้องไปขุดยาปฏิชีวนะแปลก ๆ ที่แพทย์ทั่วไปไม่รู้จักมาลอง
มาฝั่งแบคทีเรียกรัมลบบ้าง
เชื้อ "สูโด" หรือ สูโดโมแนส แอรูจิโนซา [Pseudomonas aeruginosa] ซึ่งเป็นเจ้าแห่งเชื้อดื้อยาในอดีต อาศัยอยู่ในตัวเรา ในน้ำ รวมไปถึงน้ำก๊อกที่เราเอามาล้างมือ หรือแม้กระทั่งในน้ำสบู่ฆ่าเชื้อ ทำให้เกิดการติดเชื้อได้หลากหลาย
หนองที่เกิดจากเชื้อนี้จะเขียวเป็นพิเศษซึ่งเป็นสีของพิษ (pyocyanin) ที่มันสร้างมาเพื่อทำลายเซลล์และฆ่าเชื้อแบคทีเรียอื่น ๆ ที่บังอาจมาแย่งเหยื่อกับมัน
แม้จะร้ายกาจเพียงใด แต่ปัจจุบันมันต้องหลีกทางให้กับเชื้อที่เหลือ
จดจำชื่อเชื้อต่อไปนี้ไว้ให้ดี เวลาคุณไปเจอพญายมจะได้บอกถูกว่า คุณเป็นอะไรตาย
เชื้อเอบอม (จุดแดงกลมเล็ก ๆ ที่เห็นอยู่เป็นคู่ ๆ) ในเสมหะที่ดูด้วยกล้องจุลทรรศน์
เชื้อ "เอบอม" (เอ-บอม) หรือ อะซิเนโตแบคเตอร์ บอมแมนนิอาย [Acinetobacter baumannii] อาศัยอยู่ได้แทบทุกที่ บนผิวหนัง ในลำไส้ บนพื้นผิวของสิ่งของอุปกรณ์ต่าง ๆ แม้แต่พื้นผิวที่น้ำไม่เกาะ (hydrophobic) เชื้อนี้ก็ยังเกาะติดอยู่อาศัยได้
เชื้อเอบอมที่โตในจานเพาะเลี้ยงเชื้อ
มันสามารถอยู่บนพื้นผิวแห้ง ๆ ได้นานเป็นเดือน ส่วนใหญ่ทำให้เกิดปอดบวมในผู้ป่วยที่ใส่เครื่องช่วยหายใจ หรือติดเชื้อในกระแสเลือด และมันดื้อยาแทบทุกชนิดหรือทุกชนิด
มันครองแชมป์เชื้อดื้อยาในโรงพยาบาลอยู่กว่าสิบปีจนกระทั่งมีผู้ท้าชิงอีกรายปรากฏขึ้น
กลุ่มเชื้อ "ซีอาร์อี" (CRE: Carbapenem-Resistant Enterobacteriaceae) เป็นกลุ่มเชื้อน้องใหม่มาแรงที่พึ่งแพร่เข้ามาในไทยได้ไม่กี่ปี
เชื้อกลุ่มนี้มีหลายตัว แต่ส่วนใหญ่คือเชื้อ "อีโคไล" [Escherichia coli] กับ "เครบเซลล่า" [Klebsiella pneumoniae] ที่สามารถสร้างเอนไซม์ย่อยยากลุ่มคาร์บาพีเนม
เชื้อเครบเซลล่า (ลูกศร) จากหนองในกระดูก เมื่อดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ มีลักษณะเป็นแท่งสีแดงและมีแคปซูลสีขาวอมชมพูหุ้มรอบ
เชื้อเครบเซลล่าบนจานเพาะเชื้อ ลักษณะที่เป็นเมือกเยิ้ม แสดงว่าเชื้อสร้างแคปซูลได้ ซึ่งแคปซูลนี้ทำให้เม็ดเลือดขาวจับมันกินได้ยาก
เชื้อกลุ่มนี้อาศัยอยู่ในลำไส้ ก่อโรคได้หลากหลาย ส่วนใหญ่ได้แก่ กรวยไตอักเสบ ปอดบวม ติดเชื้ิอในกระแสเลือด
แต่เดิมเชื้อพวกนี้ เราสามารถใช้ยากลุ่มเพนิซิลลินหรือเซฟฟาโลสปอรินรุ่นเก่าได้
ต่อมาเชื้อเริ่มดื้อ แพทย์ก็หันมาใช้เซฟฟาโลสปอรินรุ่นใหม่
ต่อมามันก็พัฒนาสร้างเอนไซม์ อีเอสบีแอล (ESBL: Extended-Spectrum Beta-Lactamase) มาทำลายยารุ่นใหม่ที่ว่าได้อีก
แพทย์ต้องงัดยาปฏิชีวนะด่านสุดท้าย (last resource) ซึ่งก็คือยากลุ่มคาร์บาพีเนม มาต่อกรกับมัน
เชื้อซีอาร์อีก็ทำลายปราการด่านสุดท้ายได้อีก
แพทย์ไม่รู้จะทำยังไง เพราะแทบไม่มียาปฏิชีวนะตัวใหม่ ๆ ออกมาขายเลย
เราก็เลยไปขุดยาโบราณ โคลิสติน (Colisin) ที่เคยเลิกใช้ไปแล้วเพราะผลข้างเคียงสูงกลับมาใช้ใหม่
ข้อมูลงานวิจัยก็พบว่าเชื้อกลุ่มนี้ก็เริ่มดื้อยาโคลิสตินได้แล้ว
3
แต่ในโรงพยาบาลทั่วไปไม่สามารถทดสอบการดื้อยาโคลิสตินได้ เพราะยามีประจุบวกสูงมาก จึงไปเกาะพวกหลอดทดลองที่มีผิวเป็นประจุลบซะหมด ผลทดสอบจึงเชื่อไม่ได้ และยกเลิกไปในที่สุด
แพทย์เลยยังหลอกตัวเองไปวัน ๆ ว่ายาโคลิสตินคงยังใช้ได้ (มั้ง)
ทั้งเอบอมและซีอาร์อีก็สูสีกันในการล่าสังหารคนไข้ซึ่งในอนาคตอาจเป็นคุณ ไม่ว่าคุณจะเข้าโรงพยาบาลด้วยสาเหตุอื่นใดก็ตาม
ถ้าคุณไม่อยากตายด้วยเชื้อสองกลุ่มนี้ ก็ไม่ยาก เวลาป่วยคุณก็บินไปนอนโรงพยาบาลที่อเมริกา คุณจะตายด้วยเมอร์ซ่าหรือวีอาร์อีแทน
3
ด้วยเหตุผลใดก็ไม่ทราบ อาจเป็นเพราะสิ่งแวดล้อมหรือพันธุกรรม ในเอเชียมีปัญหาเชื้อดื้อยากรัมลบ ในขณะที่พวกฝรั่งจะมีปัญหาเชื้อดื้อยากรัมบวก
ยาปฏิชีวนะอันน้อยนิดที่ถูกพัฒนาโดยประเทศที่พัฒนาแล้ว ในช่วงหลังจึงมีแต่ยาที่ออกฤทธิ์ต่อแบคทีเรียกรัมบวกที่เป็นปัญหาในบ้านเค้า
หมายความว่าถ้าเราอยากได้ยาต้านเอบอมกับซีอาร์อีที่เป็นแบคทีเรียกรัมลบ เราต้องพัฒนายาปฏิชีวนะเอง แต่การพัฒนายาแต่ละตัวใช้เวลานับสิบปี ใช้เงินทุนกว่าพันล้านเหรียญสหรัฐ (ไม่ใช่บาทนะ)
ขนาดการวิจัยแอนติบอดีต้านมะเร็งของจุฬาฯ ที่ฮือฮากัน ตอนนี้ยอดเงินบริจาคอยู่ที่ประมาณ 250 ล้านบาท ยังพอแค่ให้ตั้งไข่ได้ ตามที่ผู้รับบริจาคแจ้งไว้ จะให้สำเร็จจริงได้ อย่างน้อยต้องมีเป็นพันล้านบาทถึงจะพอ แต่ก็พอแบบจำกัดจำเขี่ย
1
นั่นเป็นสาเหตุที่สมุนไพรดี ๆ ของไทยไปไม่ถึงดวงดาว เงินวิจัยหลักหมื่นถึงแสน อย่างมากก็พอแค่พิสูจน์ได้ว่ามันมีสารประกอบที่พอจะออกฤทธิ์ได้
ซึ่งจากจุดนี้ไป ต่อให้ค้นพบสารประกอบนับหมื่นหรือแสนชนิดที่ออกฤทธิ์ในหลอดทดลองได้ จะเหลืออันที่ออกฤทธิ์ในคนได้จริงและผลข้างเคียงยอมรับได้แค่ 1-2 ขนานเท่านั้น
3
นั่นหมายความว่าต่อให้เรามีทีมบุคลากรที่เก่งกาจและเป็นเจ้าของเทคโนโลยีสุดล้ำ เราก็ยังต้องใช้งบเพิ่มอีกแสนถึงล้านเท่า ถึงจะผลิตยาใหม่ ๆ ที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลแข่งกับบริษัทยาข้ามชาติได้
ดูท่าอนาคตของเราช่างมืดมนเสียนี่กระไร แม้ส่วนใหญ่เชื้อดื้อยาจะเล่นงานคนไข้หนัก แต่ก็มีบ้างที่เข้าไปโรงพยาบาลดี ๆ แต่กลับออกมาเป็นศพจากการติดเชื้อดื้อยา
ก่อนที่เราจะไปหาวิธีแก้ไขสถานการณ์
เราคงต้องมาเรียนรู้ก่อนว่าเรามาถึงจุดนี้ที่เชื้อดื้อยาทุกชนิดได้อย่างไร
มันคงไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติอย่างเดียว
แล้วมันเป็นความผิดของใครกันแน่
มาติดตามตอนถัดไป
แบคทีเรียจรจัด: ตอนที่ 3 มหันตภัยยาปฏิชีวนะ
27 บันทึก
84
27
24
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
แบคทีเรียจรจัด
27
84
27
24
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย