Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บทเรียนจากเชื้อโรค
•
ติดตาม
10 ม.ค. 2019 เวลา 19:10 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
แบคทีเรียจรจัด: ตอนที่ 3 มหันตภัยยาปฏิชีวนะ
จากปาฏิหารย์ไปสู่มหันตภัย
เมื่อกระสุนวิเศษกลายเป็นระเบิดนิวเคลียร์
อันที่จริงถ้าคุณอยากฆ่าเชื้อแบคทีเรียก็ไม่ยาก
ต้ม ย่าง รังสียูวี หม้อนึ่งความดัน (autoclave) น้ำยาฆ่าเชื้อ รมแก๊ส
2
ยากที่เชื้อจะดื้อต่อวิธีการฆ่าเหล่านี้ได้
แต่ปัญหาคือวิธีการเหล่านี้อาจใช้ฆ่าเชื้อในสิ่งของหรืออาหาร แต่ถ้าเอามาใช้กับคนไข้โรคติดเชื้อ ก็คงตายทั้งคนทั้งเชื้อ
เราจึงต้องการกระสุนวิเศษ (magic bullet) ที่ทำลายวิญญาณร้าย (แบคทีเรียก่อโรค) โดยไม่ทำอันตรายร่างคนที่มันสิงสู่ ฟังดูแล้วไม่น่าเป็นไปได้ เหมือนเราพยายามหาน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์มาไล่ผี
ปาฏิหารย์คือสิ่งที่เราต้องการ
1
There can be miracle when you believe. (จากเพลง When You Believe ประกอบภาพยนตร์ The Prince of Egypt)
คำว่า เชื่อ (believe) ในที่นี้คงไม่ใช่การเชื่อว่าปาฏิหารย์จะเกิดขึ้นเองหรือจะมีพระเจ้ามาดลบันดาลให้ แต่เป็นความเชื่อว่าเราจะทำได้และลงมือทำมัน
ปาฏิหารย์ที่เล่าลือต่อ ๆ กันมาในตำนาน ในลัทธิความเชื่อหรือเกิดขึ้นในปัจจุบันก็ตามแต่ ไม่ว่าจะเกิดจากภูตผี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพ หรือคนที่อวดอ้างอิทธิฤทธิ์ เป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าเบื่อ ไม่สมเหตุสมผล ไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีอะไรให้เราเอาเยี่ยงอย่างได้
2
เทพเทวดาในความเชื่อต่าง ๆ ก็มีอำนาจทำได้ทุกอย่าง (omnipotent) อยู่แล้ว สิ่งที่เทวดา (ถ้ามีอยู่จริง) บันดาลได้อย่างง่ายดายก็ไม่น่าเรียกว่าปาฏิหารย์ด้วยซ้ำ
1
มีแต่มนุษย์ที่มีขีดจำกัดทั้งในแง่ความรู้ ความสามารถ ทรัพยากร และเวลา ต้องอาศัยความทุ่มเท แรงกาย แรงใจ เวลา เงิน ความร่วมมือ ความเชื่อมั่น ความดื้อรั้น ฯลฯ ที่จะเนรมิตสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยให้เกิดขึ้นจริงได้ ถึงจะควรค่าแก่การเรียกว่าปาฏิหารย์
มนุษย์เฝ้ารอยาปาฏิหารย์ (Miracle drug) ที่สามารถรักษาการติดเชื้อได้มานานหลายแสนปี ซึ่งการค้นพบและนำยานี้มาใช้ได้เป็นยิ่งกว่าปาฏิหารย์
ผู้ริเริ่มแนวคิดที่จะค้นหากระสุนวิเศษ (magic bullet) คือ พอล เออร์ลิช (Paul Ehrlich) แต่ตัวเขาเองทำไม่สำเร็จ ยาของเขา ซาลวาร์ซาน (Salvarsan) ที่มีสารหนู (Arsenic) เป็นองค์ประกอบ ใช้ในการรักษาซิฟิลิส ยังมีผลข้างเคียงรุนแรงเกินไป
แต่ไม่เป็นไร ปณิธานของเขาจะมีคนมาสานต่อ
เหมือนกับที่ โกล ดี โรเจอร์ ประกาศว่าได้ซ่อนสมบัติวันพีซไว้ก่อนโดนประหาร (ใครไม่เคยอ่าน One Piece ก็ขออภัยครับ) ทำให้เหล่าโจรสลัดแห่กันออกตามหา นักวิทยาศาสตร์มากมายก็เชื่อว่ากระสุนวิเศษมีอยู่จริงและออกผจญภัยตามหามัน
2
อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง (Alexander Fleming) ก็เป็นหนึ่งในนั้น และการค้นพบเพนนิซิลินของเขาก็แทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้
เผอิญเขาวางจานเพาะเชื้อแบคทีเรียไว้นอกตู้อบ แล้วเผอิญเขาไปพักร้อน เผอิญผู้ช่วยเขาเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ เผอิญมีเชื้อราสายพันธุ์หายากตกลงไปบนจานเพาะเชื้อนั้น เผอิญสภาพอากาศในช่วงนั้นเย็นกว่าปกติ ทำให้แบคทีเรียโตช้าและเชื้อราที่ชอบเย็นเติบโตเร็วพอที่จะสร้างสารเคมีมาทำลายแบคทีเรีย
แต่ที่สำคัญที่สุดคือเผอิญเขาเป็นหนึ่งในผู้ที่ตามหาวันพีซ - กระสุนวิเศษ ทำให้เขาเก็บเชื้อรานี้ไว้ศึกษาต่อไม่โยนมันทิ้งถังขยะ เมื่อเห็นว่าแบคทีเรียที่อยู่รอบเชื้อรานี้ไม่สามารถโตได้
จานเพาะเชื้อของเฟลมมิ่ง วงใหญ่สีขาวทางด้านล่างคือราเพนนิซิเลียม จุดสีขาวกระจายทางด้านบนคือแบคทีเรีย จะเห็นได้ว่าไม่ค่อยมีจุดของแบคทีเรียหรือจุดมีขนาดเล็กมากเมื่ออยู่ใกล้เชื้อรานี้ เครดิตภาพ: St Mary's Hospital Medical School/Science photo library
เชื้อรานี้ก็คือ เพนนิซิเลียม [Penicillium] ซึ่งสร้างยาปฏิชีวนะเพนนิซิลิน (penicillin) นั่นเอง
ที่มันเป็นกระสุนวิเศษยิงโดนแต่แบคทีเรียแต่แทบไม่ทำอันตรายมนุษย์ ถูกค้นพบในภายหลังว่า เป็นเพราะยานี้ยับยั้งการสร้างผนังเซลล์ (cell wall) ของแบคทีเรีย ซึ่งเซลล์ของสัตว์รวมถึงมนุษย์ไม่มีผนังเซลล์จึงไม่ได้รับผลกระทบ
หลาย ๆ คนบอกว่าเฟลมมิ่งก็แค่โชคดี
แต่การพบเชื้อราปนเปื้อนในจานเพาะแบคทีเรีย เป็นเรื่องที่พบได้เรื่อย ๆ แต่นักวิทยาศาสตร์ทั่วไปที่เจอก็คงแค่หัวเสีย และโยนมันทิ้งไป
1
อาจารย์ของผมสอนว่าโชค (luck) คือการมาบรรจบกันของ การเตรียมพร้อม (preparedness) กับโอกาส (opportunity)
ธรรมชาติ สถานการณ์ รวมถึงผู้คนมอบโอกาสให้เราอยู่เรื่อย ๆ คนส่วนใหญ่ดูไม่ออกหรือดูออกแต่ไม่กล้าหรือขี้เกียจเกินกว่าจะคว้าโอกาสนี้ไว้
หลังจากค้นพบเพนนิซิลิน เราก็ประสบความสำเร็จในการนำมาใช้รักษาโรคติดเชื้อนับแต่นั้น
ซะเมื่อไหร่ ผู้ป่วยรายแรกที่ใช้เพนนิซิลินตาย
อาการติดเชื้อของผู้ป่วยรายนี้ดีขึ้นอย่างมหัศจรรย์หลังได้เพนนิซิลิน
แต่ยาเพนนิซิลินหมด! ต้องไปสกัดยาที่หลงเหลือในปัสสาวะมาให้ผู้ป่วยใหม่ จนในที่สุดก็ไม่มีอะไรเหลือจะให้
อาการติดเชื้อก็กลับมาใหม่และแย่ลงจนผู้ป่วยนี้เสียชีวิตในที่สุด
1
การค้นพบเพนนิซิลินก็ว่าเป็นปาฏิหารย์แล้ว แต่มันตั้งอยู่บนพื้นฐานของความบังเอิญซะมาก การนำเพนนิซิลินมาใช้จริงต่างหาก ที่เป็นปาฏิหารย์ยิ่งกว่าเพราะเกิดจากความอุตสาหะของมนุษย์ล้วน ๆ
ปัญหาหลักคือเพนนิซิลินที่ได้จากเชื้อรานี้มันมีปริมาณน้อยมาก เรียกว่าต้องเพาะเชื้อราจำนวนมหาศาล จนเรียกว่าทำฟาร์มเชื้อราจะเหมาะกว่า และใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะสกัดยาได้มากพอที่จะใช้ในหนูทดลองตัวเท่าหัวแม่โป้งไม่กี่ตัว
นั่นเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เพนนิซิลินถูกดองไว้กว่าสิบปีถึงจะไปถึงมือแพทย์
ปล่อยให้ยาซัลฟา (sulfa) ซึ่งเป็นยาเคมีสังเคราะห์ที่ค้นพบทีหลังแซงหน้าออกมาจำหน่ายก่อน
ผู้ที่มีบทบาทสูงในการหาทางนำเพนนิซิลินมาใช้ ได้แก่ เชน (Ernst Boris Chain) และ ฟลอเร่ย์ (Howard Walter Florey) ซึ่งเป็น 2 คนที่ได้รางวัลโนเบลร่วมกับเฟลมมิ่ง
แท้จริงแล้วยังมีผู้อยู่เบื้องหลังอีกมากมายของความสำเร็จนี้
ทั้งเชื้อราและนักวิทยาศาสตร์ต้องระหกระเหินหนีไฟสงครามโลกครั้งที่ 2 จากอังกฤษไปยังอเมริกาที่มีความพร้อมกว่า เพื่อหาทางเพิ่มกำลังผลิตเพนนิซิลิน
2
เริ่มจากปรับปรุงสูตรอาหารที่ใช้เลี้ยงรา
เปลี่ยนวิธีเลี้ยงบนผิวเป็นเลี้ยงใต้น้ำยาแล้วปั๊มอากาศเข้าไป
ค้นหาเชื้อราเพนนิซิเลียมสายพันธุ์ใหม่ที่สร้างเพนนิซิลินได้มากขึ้น ด้วยการเก็บดินจากทั่วโลกเพื่อมาหาเชื้อราที่สร้างเพนนิซิลิน
1
อยู่มาวันหนึ่ง ในร้านชำของเมืองพีออเรีย (Peoria) อันเป็นที่ตั้งของที่ทำการวิจัย ปรากฏผลแคนตาลูปเน่าขึ้นราสีเหลืองทองงดงาม
ในสายตาเราคงมองเห็นมันเป็นเหมือนโคลนตม โยนมันทิ้งไป แต่ในสายตาของหญิงนางหนึ่ง เจ้าของฉายาแมรี่ขึ้นรา (Moldy Mary) หรือชื่อจริง แมรี่ ฮันต์ (Mary Hunt) ผู้ทำหน้าที่ตามล่าหาราเพนนิซิเลียม กลับเห็นมันเป็นดวงดาวพราวพราย
1
Moldy Mary's Melon (แคนตาลูป) ที่มาของเชื้อเพนนิซิเลียมที่ดีที่สุดจากทั้งหมด 100,000 สายพันธุ์ที่ได้รับการทดสอบ ที่มา: historiasdelahistoria.com
ราบนแคนตาลูปนั้นคือสายพันธุ์หนึ่งของ เพนนิซิเลียม คริสโซจีนัม [Penicillium chrysogenum] ซึ่งสร้างเพนนิซิลินได้มากขึ้นมหาศาล และสืบทอดสายพันธุ์ใช้กันมาจนทุกวันนี้
น่าสนใจว่าทำไมแม่ค้าไม่เอาแคนตาลูปเน่าขึ้นราชัดเจนไปทิ้งเสีย วางโชว์ไว้ทำไม หรือเขารู้ว่าแมรี่จะมาซื้อมัน คงเป็นเพราะความพยายามของแมรี่ที่ได้ตระเวนซื้อผักผลไม้ขึ้นราในเมืองนั้นมาก่อนหน้าแล้ว ไม่เช่นนั้นรามหัศจรรย์นี้ก็คงกลายเป็นอาหารหนูหรือแมลงสาบไปแล้ว
จากนั้นก็เอาเชื้อรานี้ไปฉายรังสีเอ็กซเรย์ให้มันกลายพันธุ์สร้างยาได้ดีขึ้น
ยังไม่หนำใจ ฉายรังสียูวีใส่มันด้วยให้ยิ่งกลายพันธุ์สร้างเพนนิซิลินเพิ่มอีก
ถึงจุดนี้เราได้เชื้อราสายพันธุ์ที่สร้างเพนนิซิลินได้มากกว่าเชื้อราตัวแรกของเฟลมมิ่งเป็นพันเท่า
กระบวนการผลิตเต็มรูปแบบก็สามารถดำเนินต่อไปด้วยความร่วมมือของหลายฝ่าย
ด้วยพลังของวิทยาศาสตร์ อเมริกาในตอนนั้นจึงมีทั้งระเบิดนิวเคลียร์ที่สามารถพรากชีวิตคนนับล้าน และเพนนิซิลินที่สามารถช่วยชีวิตคนนับล้าน กลายเป็นมหาอำนาจชนะสงครามโลกได้
"With great power comes great responsibility" คำพูดของลุงเบนแห่งสไปเดอร์แมน
อานุภาพอันมหาศาลของระเบิดนิวเคลียร์ถูกควบคุมอย่างดี หลังจาก ลิตเติ้ลบอย (Little Boy) กับ แฟตแมน (Fat Man) ถูกทิ้งไปถล่มฮิโรชิมากับนางาซากิ ก็มีคนพัฒนาระเบิดนิวเคลียร์ที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ไปจนถึง ซาร์ บอมบา (Tsar Bomba) จากรัสเซีย ซึ่งรุนแรงกว่า ลิตเติ้ลบอย กว่า 3,000 เท่า แต่ไม่มีใครกล้านำระเบิดนิวเคลียร์ที่พัฒนาจำนวนมากมายมาใช้ถล่มบ้านเมืองอีกเลย
ตรงข้ามกัน ยาปฏิชีวนะที่มีอานุภาพมหาศาลไม่แพ้ระเบิดนิวเคลียร์ในโลกใบเล็กของเหล่าเชื้อโรค ถูกใช้อย่างไร้ความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิงในช่วงแรก
หลังยาเพนนิซิลินประสบความสำเร็จ ก็เข้าสู่ยุคทองของยาปฏิชีวนะ โดยเฉพาะผลงานของ วัคส์แมน (Selman Waksman) ที่พบยาปฏิชีวนะหลากหลายชนิด จากเชื้อโรคต่าง ๆ ที่แยกได้จากดิน
ป้ายหลุมศพของวัคส์แมน จารึกข้อความจากคัมภีร์อิสยาห์ "แผ่นดินจะเปิดออกและนำมาซึ่งการรอดพ้น" ซึ่งสะท้อนถึงผลงานของเขาที่ค้นพบยาปฏิชีวนะหลายชนิดจากเชื้อในดิน ยาเหล่านี้ช่วยเหลือผู้คนได้มากมาย ที่มา: findagrave.com
หลังจากยุคนั้นเราก็พบยาปฏิชีวนะชนิดใหม่น้อยลงเรื่อย ๆ จนแทบไม่มียาใหม่อีกเลยในปัจจุบัน สวนทางกับเชื้อดื้อยาที่รุนแรงและมากขึ้นเรื่อย ๆ
เฟลมมิ่งได้เตือนไว้ก่อนแล้วว่าการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไร้ความรับผิดชอบจะนำมาซึ่งเชื้อดื้อยา
กระสุนวิเศษเริ่มด้าน เชื้อดื้อยาปรากฏให้เห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ เราก็ยังไม่สำนึก หันมาใช้ยาที่มีอานุภาพทำลายล้างมากขึ้นเรื่อย ๆ
จนวันนี้เราใช้ยากลุ่มคาร์บาพีเนม (carbapenem) ซึ่งเปรียบได้กับระเบิดนิวเคลียร์ ซาร์ บอมบา กันเกลื่อนโรงพยาบาล
หากจะหาตัวผู้ทำผิดก็คงมีหลายฝ่ายด้วยกัน
แสบสุดก็ต้องตัวหมอที่เจอใครมีไข้ปุ๊บก็ให้ยาปฏิชีวนะแรง ๆ ไว้ก่อน
1
ถัดมาก็ตัวคนไข้ที่บางคนชอบกดดันหมอขอยาปฏิชีวนะหรือไปซื้อยาปฏิชีวนะกินเอง
ร้านขายยาที่ยอมจ่ายยาปฏิชีวนะให้โดยไม่ต้องมีใบสั่งยา
กฎหมายหรือผู้มีอำนาจที่ไม่ควบคุมการใช้ยาปฏิชีวนะ
ปศุสัตว์ที่ใช้ยาปฏิชีวนะกันมหาศาล คิดเป็น 90% ของการใช้ยาปฏิชีวนะทั้งหมด (ในคนคิดเป็นแค่ 10%) สัตว์ป่วยหรือไม่ป่วยก็ให้ยาอยู่ดี และวัตถุประสงค์ของการใช้ยาปฏิชีวนะไม่ใช่เพื่อการรักษาหรือป้องกันการติดเชื้อแต่อย่างใด
แบคทีเรียกับเชื้อราฟาดฟันแย่งอาหารกันมานับล้าน ๆ ปี มีหรือที่แบคทีเรียจะยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างเดียว มันจึงพัฒนายีนดื้อยามาต่อกรยาปฏิชีวนะ
เชื้อดื้อยาเหล่านี้จึงมีในธรรมชาติอยู่แล้ว แต่มันมีอยู่น้อยมากและไม่เคยก่อปัญหาใด ๆ จนกระทั่งเราเอายาปฏิชีวนะมาใช้
1
จากการให้ยาปฏิชีวนะสารพัดอย่างไร้การควบคุมมานานหลายทศวรรษ แบคทีเรียจึงค่อย ๆ สะสมยีนดื้อยาเหมือนสะสมสแตมป์เซเว่น พอเก็บได้ครบ ก็เอาไปแลกของรางวัลเป็นชีวิตคุณหรือคนที่คุณรัก
2
ถ้าคุณคิดว่ากินยาตัวไหนก็ดื้อยาตัวนั้นตัวเดียว ก็ต้องขอบอกว่าเชื้อดื้อยาใจดี แจกรางวัลบ่อย คุณอาจโชคดี (รึเปล่า) ได้รางวัลซื้อ 1 แถม 10
เพราะยีนดื้อยาหลาย ๆ ยีนในเชื้อดื้อยา มักแพ็ครวมกันมาเป็นชุด เหมือนแพ็คเกจแต่งงาน ถ้าโชค (ซวย) เข้าข้าง คุณอาจได้เชื้อที่มีแพ็คเกจมรณะอัดแน่นไปด้วยยีนดื้อยาทุกชนิดมาสิงสถิตในตัวคุณ ทั้งที่คุณเพิ่งใช้ยาปฏิชีวนะเพียงแค่ตัวเดียว
ปัจจุบันหมอแทบไม่ต้องจำแล้วว่าจะใช้ยาปฏิชีวนะตัวไหนดีเวลาติดเชื้อดื้อยาในโรงพยาบาล เพราะมันดื้อยาทุกตัว
หอผู้ป่วยไหนใช้ยาปฏิชีวนะเยอะ ๆ บางทีคนไข้ทุกเตียงเจอเชื้อดื้อยาหมด
ว่าแต่ทำไมพวกหมอกับพยาบาลที่คลุกคลีอยู่กับเชื้อดื้อยาในโรงพยาบาลทั้งวันทั้งคืน ถึงไม่ตาย(โหง)เพราะเชื้อดื้อยาสักที?
หรือคนพวกนี้มีผีคุ้ม?
โปรดติดตามตอนถัดไป
แบคทีเรียจรจัด: ตอนที่ 4 สังหารเทพอารักษ์
8 บันทึก
57
18
12
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
แบคทีเรียจรจัด
8
57
18
12
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย