4 มิ.ย. 2019 เวลา 13:19 • บันเทิง
เรื่องสั้น : แสงสว่างกลางป่าดิบที่มืดมิด
บางอารยธรรมมีความเชื่อว่าวิญญาณหรือดวงจิตของมนุษย์ไม่เคยดับสูญ มันวนเวียนและหมุนย้อนกลับไปมาในภพภูมิต่างๆ แต่มันไม่เคยดับสลายไป
คืนนั้นอากาศแปรปรวนมาก คลื่นลมไม่เป็นใจในการเดินทางเท่าไหร่นัก แต่ "เจมส์" ยังคงตั้งใจออกเรือเพื่อข้ามไปยังฝั่งปีนังให้ได้ เพราะสถานการณ์ในตอนนี้ทางฝั่งอินโดนีเซียนั่น ถูกพวกฮอลันดาไล่บีบมาจนยึดพื้นที่ได้เกือบหมดทั้งเกาะแล้ว เจมส์ต้องรีบกลับปีนังโดยด่วน เพื่อความปลอดภัยของตัวเค้าและลูกน้อง ซึ่งเหล่ากองร้อยที่เค้ารับผิดชอบนั้น เดินทางล่วงหน้าไปตั้งแต่เช้ามืดแล้ว เจมส์ต้องรีบเก็บเอกสารลับบางอย่าง และบันทึกการบุกเบิกบนเกาะสุมาตราที่เค้าสู้บันทึกไว้ตั้งแต่ย่างกรายเข้ามาเหยียบดินแดนแห่งเกาะแก่งแห่งนี้
"หมวดครับ ขึ้นเรือเถอะครับ ก่อนที่อากาศจะเลวร้ายกว่านี้ เราต้องรีบแล้ว สายรายงานมาว่า อีกไม่เกินสองวัน พวกฮอลันดาจะมาถึงกัมปงเมดันแล้ว ถึงตอนนั้นเราลำบากแน่ครับ"
"กล่องใส่ของส่วนตัวผมขึ้นเรือเรียบร้อยนะจ่า"
"เรียบร้อยครับ เสบียงก็พร้อมแล้ว รีบเดินทางเถอะครับ"
เจมส์เดินขึ้นเรือด้วยไม้กระดานที่พาดทอดยาว พลางหันไปมองทางทิศที่ตั้งของเมืองกัมปงเมดัน ที่มีแสงสว่างจากดวงไฟในเมืองส่องสว่างอยู่ไม่ไกลนัก ตอนนี้เค้าต้องรีบออกเรือเพื่อข้ามไปปีนังแล้ว โอกาสที่จะได้กลับมาบุกเบิกดินแดนลี้ลับแห่งสุมาตราแห่งนี้อีกซักครั้งคงลางเลือนเต็มที
ท้องฟ้าหลังอาทิตย์ตกดินยังสีออกแดงฉาน แสงสีแดงอมส้มฉาดฉายไปทั่ว ดูแล้วน่าพรั่นพรึงอยู่ไม่น้อย อุกาฟ้าเหลืองคือคำที่เรียกกันในประเทศสยาม
เหล่าชาวเรือพยามบ่ายเบี่ยงที่จะออกเรือ เพราะท้องฟ้าสำแดงอาการแบบนี้ ชาวบ้านรู้ดีว่าจะมีพายุใหญ่เป็นแน่ จึงเคร่งครัดที่จะงดออกเรือกันหมด แต่ทว่าเจมส์ยังสั่งลูกน้องให้มอบเงินจำนวนมากเพื่อเป็นสินน้ำใจในการนำเรือออกในคืนนี้ให้ได้ แต่เงิน.. จ้างผีโม่แป้งก็ยังได้
เรือเดินทางไปได้ราวสามชั่วโมงก็เกิดพายุพัดกระหน่ำมาจริงๆ เสียงตะโกนของลูกเรือเป็นภาษาพื้นถิ่นฟังไม่ได้ศัพท์ คงด้วยเสียงลมที่อื้ออึงผสมเสียงตะโกนโหวกเหวกไปมา เจมส์รู้สึกคุ้นเคยกับสภาวะแบบนี้ดี มันเหมือนพาร่างของเค้ากลับไปยืนอยู่กลางสมรภูมิระหว่างการรบกับชาวพื้นเมืองเพื่อยึดอาณานิคมมาเป็นของชาติตนให้ได้
เสียงปืนที่ประหัดประหารชาวพื้นเมืองและชนเผ่าต่างๆ ดังก้องอยู่ในหูของเจมส์ทุกค่ำคืนในยามนิทรา ภาพร่างไร้อาภรณ์ใดๆ มีเพียงส่วนล่างที่ห่อหุ้มด้วยใบไม้แห้งถักรวมกันเป็นเครื่องสวมใส่รูปร่างคล้ายกระโปรง ที่กำลังโดนห่ากระสุนจากปืนคาบศิลากำลังทะลวงร่างออกไป เลือดสาดกระเซ็นพุ่งไปในอากาศราวกับเป็นน้ำพุร้อนโลหิตขนาดย่อมๆ ที่กำลังประทุด้วยความเดือดดาล
เลือดไหลนองไปทั่วผืนป่าในหมู่เกาะสุมาตรา จนชนเผ่าพื้นเมืองหลายพวก ต้องหลบลี้หนีหายเข้าไปยังป่าที่ลึกมากขึ้น เพื่อหนีจากคมกระสุนของพวกคนที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์แต่กลับเข่นฆ่าผู้ที่อยู่อาศัยมาแต่กาลก่อนอย่างไร้ความปราณี เพียงเพื่อทรัพยากรและเครื่องเทศ ชีวิตก็ไร้ซึ่งความหมายหากขัดขวางความมั่งคั่งของชาติตน
"ยิงได้! ยิงเข้าไป อย่าให้พวกมันรอดไปได้"
เสียงของตัวเองดังก้องอยู่ในหัวเจมส์คืนแล้วคืนเล่า รวมถึงคืนนี้ด้วย แม้ว่าเสียงสายฟ้าฟาดจะดังเกรี้ยวกราดแค่ไหน เรือจะถูกโยนขึ้นสูงจนข้าวของและลูกเรือกระจัดกระจาด ถูกกระแทกถูกฟาดจากแรงคลื่นจนตกลงทะเลไปหลายคน แต่เจมส์ก็ยังยืนจับกรอบประตูไว้มั่น แต่สายตากลับเหม่อลอยอย่างคนไร้สติ
"หมวดเจมส์! หมวด! เรือจะล่มแล้ว หาทางเอาชีวิตรอดเถอะ ผมไปก่อนแล้ว ขอพระเจ้าคุ้มครองคุณนะ.."
จ่าที่ติดตามเค้ามานานจากอังกฤษ ถึงตอนนี้คงต้องแยกทางกันเสียแล้ว คลื่นบ้าระห่ำระดมซัดใส่เรือจนเอียงไปด้านหลังอย่างแรง เจมส์ถูกแรงโน้มถ่วงดึงให้ร่วงลงไปกระแทกกับโต๊ะที่ตอนนี้ไปกองอยู่ท้ายห้อง จนมีเสียงดังกร๊อบ
กระดูกส่วนไหนซักชิ้นของเจมส์คงหักไปซะแล้ว คลื่นอีกลูกสูงราวแปดเมตรกำลังโถมเข้ามา มันซัดจนห้องใต้ท้องเรือที่เจมส์อยู่ตอนนี้ ขาดออกราวกระดาษว่าวโดนน้ำ
ร่างชายฝรั่งผมสีทอง ปลิวล่องลอยในกระแสน้ำ ไหลไปตามกระแสน้ำจะพัดพาไป ดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ ลงไปสู่ใต้ท้องทะเลสีดำทมึน ราวกับจะลงไปยังหุบเหวปากประตูนรกที่ไร้ปลายทาง
เสียงนกนานาชนิดร้องกันราวกับร้องเรียกกันไปมา เสียงใบไม้ถูกแหวกออกจากกัน มีเพียงแสงที่ลอดจากยอดไม้สู่งลิ่วที่ส่องลงมากระทบเปลือกตาของเจมส์ จนเค้าต้องเปิดเปลือกตาออกช้าๆเพราะเสียงนกที่ดังอยู่รอบกาย แถมด้วยแสงที่แยงตาเป็นระยะ คงยากที่จะข่มตาหลับอยู่ได้
ความรู้สึกปวดแปล๊บเกิดขึ้นแทบทันทีที่เค้าเริ่มขยับขา เจมส์ลืมตาขึ้นช้าๆด้วยความปวดที่กำลังถาโถมมากขึ้นเรื่อยๆ เค้าเห็นเพียงแสงจากยอดไม้ที่ส่องเข้านัยตาอย่างจัง จนเค้าต้องหลับตาลงอีกจนได้ ความปวดที่ขาซ้ายยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เค้าพยายามขยับขาข้างนั้น แต่ความเจ็บปวดแสนสาหัสกลับวิ่งเข้ามาในสมองในทันที
"อ๊าก! "
เจมส์สิ้นสติลงไปอีกครั้ง ชายสี่คนร่างกายกำยำที่กำลังแบกแคร่ที่เจมส์นอนอยู่ บ่นกันพึมพำฟังไม่ได้ศัพย์ แคร่ถูกโยนขึ้นลงตามจังหวะการก้าวเดินบนพื้นป่าที่ไม่ได้ราบเรียบนัก รู้เพียงว่ามันกำลังเคลื่อนที่ลึกเข้าไปยังภูเขาเบื้องหน้า
ไกลออกไปจากชายหาดที่เจมส์เกยตื้นอยู่เมื่อวันก่อน เค้าหมดสติมาสองวันแล้ว นี่เป็นการตื่นขึ้นครั้งแรกในชีวิตหลังเกือบผ่านความตายมาหมาดๆ
"มูซาตู..มูซาตู..อิสตาฟา!"
เสียงร้องดังแว่วแทรกความมืดในสมองของเจมส์ขึ้นมา มีแรงเขย่าเค้าที่ตัวเบาๆ เหมือนพยายามเรียกให้ตื่น เค้าค่อยลืมตาขึ้น แสงสลัวๆและกลิ่นควันทำให้เค้ารู้สึกแสบตาเล็กน้อยเมื่อลืมตา
ข้างๆ มีผู้หญิงผิวสีน้ำตาลอ่อน หน้าตาเป็นสาวเอเชียแท้ๆ รูปร่างผอมบางแต่ดูกำยำ มีกล้ามเนื้อมัดแน่น อาจจะดูแข็งแรงกว่าผู้ชายบางคนด้วยซ้ำ เธอยังคงส่งภาษาพื้นถิ่นใส่เค้า พร้อมเขย่าตัวเค้าแรงขึ้น สีหน้าเธอเหมือนคลายความกังวลอะไรบางอย่าง พร้อมมีรอยยิ้มกว้างเกิดขึ้นที่มุมปาก
"น้ำ...ผมขอน้ำ...water....ใช่..water"
เค้าพยายามยกแขนที่อ่อนแรง เพื่อทำท่าทางเหมือนกำลังเทน้ำเข้าปาก ริมฝีปากที่แห้งกรังทำให้เจมส์พูดไม่ค่อยสะดวกนัก คงเพราะลำคอที่แห้งผากไม่น้อยไปกว่ากันด้วย เสียงของเค้าจึงพร่าแหบจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง
หญิงสาวคนนั้นเดินไปหยิบกระบอกไม้ไผ่ที่วางไว้ที่ข้างกระท่อม เธอนำมันยื่นมาให้เค้า แต่เจมส์ไม่มีแรงแม้จะยกมือขึ้นรับ เธอจึงประคองเค้าขึ้นเล็กน้อยแล้วเอียงกระบอกน้ำให้ไหลรินเข้าปาก แต่อาจจะยากเกินไปสำหรับคอที่แห้งผาก ที่จะกลืนน้ำได้อย่างรวดเร็วเช่นตอนปกติ เจมส์สำลักน้ำจนไอออกมาหลายครั้ง หญิงคนนั้นผละแขนออกจากตัวเค้า เจมส์รีบคว้าข้อมือเธอไว้
"ผม..ผมอยู่่ที่ไหน..คนอื่นๆมีใครรอดมั้ย มีใครรอดอีกมั้ย บอกผมที"
เธอพยายามดึงมือกลับ แต่เจมส์พยายามสุดแรงที่จะดึงมันไว้ แต่เรี่ยวแรงที่น้อยนิดจะสู้แรงจากกล้ามเนื้อแขนของเธอที่ดูเป็นมัดๆได้อย่างไร เธอสะบัดจนหลุดแล้ว ตะโกนเสียงดังเป็นภาษาประหลาดอีกแล้ว เธอทำท่าไม่พอใจมาก อาจเป็นเพราะเจมส์ถูกเนื้อต้องตัวเธอเหมือนพยายามใช้กำลังกับเธอ
เธอเดินออกจากกระท่อมทันที แล้วจากไปนานราวชั่วโมง เธอกลับมาอีกครั้ง คราวนี้เธอถืออาหารใส่ถาดไม้มาด้วย มีทั้งเนื้อสัตว์ย่างจนเกรียม ผมไม้หน้าตาประหลาดที่ไม่เคยเห็นในอังกฤษมาก่อน แถมด้วยถ้วยไม้ไผ่เล็กๆบรรจุของเหลวสีดำ มีกลิ่นฉุนกึกจนเจมส์ต้องหยิบมันออกไปวางไว้ไกลมือ
"อาซา...ชารีฟ่า..ชารีฟ่า"
เธอทำมือชี้ไปที่อก ทำซ้ำๆ พร้อมส่งเสียง "ชารีฟ่า" อยู่นับสิบครั้ง เจมส์รู้ได้ทันทีว่านั่นคือชื่อของเธอ
"ชา..รีฟ่า เธอชื่อ ชารีฟ่า ใช่มั้ย"
เจมส์ชี้มือไปยังเธอ เธอพยักหน้ารับ พร้อมรอยยิ้มอีกครั้ง เจมส์จึงชี้ที่ตัวเค้า แล้วกล่าว
"ผม เจมส์...จอ เอ มอ ..เจมส์ เข้าใจใช่มั้ย"
ชารีฟ่าพยามออกเสียงตาม สุดท้ายก็ได้เสียงที่ใกล้เคียงที่เธอเรียกเค้าคือ "เจซึ" ชื่อใหม่ก็ดูเท่ไม่หยอก เจมส์พยายามนึกในใจเพื่อให้ลืมความเจ็บปวดที่ขาซ้ายของเค้า ซึ่งตอนนี้มันบวมแดงและช้ำมากแต่ถูกดามไว้ด้วยกิ่งไม้ ชารีฟ่าหยิบถ้วยไม้ไผ่ที่ฉุนจัดมาให้เจมส์ดื่ม เธอคะยั้นคะยอจนเค้าดื่มจนหมด กลิ่นฉุนและความรู้สึกร้อนผ่าววิ่งดิ่งลงไปในลำคอ มันทั้งขมทั้งเผ็ดซ่าๆที่ลิ้น ซักพักเดียวเจมส์ก็รู้สึกปวดน้อยลง และง่วงนอนอย่างประหลาด ตาเค้าเริ่มจะปิดลงช้า ภาพชารีฟ่าเดินออกจากกระท่อมค่อยๆ มืดลงและมืดลง "มันคงเป็นสมุนไพรแก้ปวดละมัง" เค้าคิดก่อนความคิดจะดับวูบไปในไม่ช้า
ผ่านมาเกือบสามสัปดาห์แล้วที่เจมส์นอนพักในกระท่อมและชารีฟ่าดูแลเค้าอยู่ทุกวัน ตอนนี้เจมส์มีแรงขยับตัวแล้ว เค้าได้ไม้พยุงตัวแล้วเดินออกจากกระท่อมได้แล้ว เค้ายังใช้ภาษามือในการสื่อสารกับชารีฟ่า เค้าออกเดินไปรอบๆ กระท่อม ชาวพื้นเมืองที่เดินผ่านไปมา มักมองเค้าด้วยสายตาไม่เป็นมิตรนัก ดวงตาทุกคู่มองราวกับเค้าเป็นเหมือนสัตว์ตัวหนึ่ง ไม่มีใครแม้เพียงทำท่าทักทายกับเค้าด้วยซ้ำ ทั้งที่เจมส์พยายามทุกครั้งหากได้พบใคร
เจมส์กับไม้เท้าพยุงคู่ใจซึ่งพาเค้าสำรวจไปรอบๆ กระท่อม เค้าพบว่าชาวพื้นเมืองที่นี่ค่อนข้างเงียบขรึม ไม่ค่อยมีการพูดคุยหรือปฏิสัมพันธ์กันมากนัก บ้านเรือนก็ปลูกอยู่ห่างๆ กัน แต่ความรู้สึกเวลาเดินในหมู่บ้านคล้ายมีสายตาคอยจับจ้องอยู่ทุกฝีก้าว
บริเวณป่าข้างๆหมู่บ้านมีไม้ประหลาดๆ ปักเรียงกันอยู่ บนยอดมีชิ้นส่วนกระดูกชิ้นเล็กๆมัดติดเอาไว้ ดูแล้วน่าสยดสยองไม่เบา และแถวบริเวณกลางหมู่บ้านมีลานกว้าง ตรงกลางมีโต๊ะหินขนาดใหญ่นั่งได้ราวสิบคน วางขนานกันอยู่สองตัว เจมส์ครุ่นคิดกับตนเองว่าแถวนี้คงเป็นที่ประชุมของเผ่าเป็นแน่ มันคล้ายห้องประชุมกลางแจ้งประมาณนั้น
ชาวพื้นเมืองพวกนี้จริงจริงก็ดูมีอารยะพอสมควร เจมส์นึกในใจก่อนเดินสำรวจรอบๆ ต่อไป เค้าอยากได้สมุดบันทึกการเดินทางเล่มนั้นที่พัดปลิวหายไปกับเกลียวคลื่นเสียแล้ว มีเรื่องราวมากมายที่เค้าบันทึกตลอดเวลาที่ออกมาจากอังกฤษ ถ้าตอนนี้ได้บันทึกเรื่องราวของชาวพื้นเมืองที่เค้ามาอาศัยอยู่ด้วย คงเป็นเรื่องวิเศษสุดเพราะยากนักที่นักเดินทางคนไหนจะได้เข้าใกล้วิถีชีวิตของชนเผ่าพื้นเมืองได้ใกล้ชิดแบบนี้ เพราะโดยมากชนเผ่าพื้นเมืองมักไม่ชอบขี้หน้าคนผิวขาวผมทองอย่างเค้าเท่าไหร่ ชาวพื้นเมืองรู้ดีว่าพวกเค้าเป็นพวกอันตราย
เจมส์ถอนหายใจแล้วเดินต่อไป จริงๆ เค้าก็เริ่มชินกับชีวิตที่เรียบง่ายแบบนี้แล้ว ไม่ต้องมีตำแหน่งหรือหน้าที่ ไม่ต้องดิ้นรนหาทรัพย์สินมากมาย หรือต้องทำตัวให้ดูโก้หรูเพื่อให้คนอื่นยกย่อง ในป่าดงดิบแบบนี้ ทุกชีวิตดูกลมกลืนกันเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ทั้งป่า คน สัตว์ และธรรมชาติทุกๆอย่าง เจมส์ยังเดินชื่นชมความงดงามของป่าดิบชื้นรอบๆ หมู่บ้านจนเพลินเลยทีเดียว
มีสายตาหลายคู่คอยจับตาดูเจมส์เดินกระเผลก บางคู่มีเสียงครางอยู่ในลำคอเบาๆ
เจมส์รู้สึกรำคาญหนวดเคราที่รุงรังของเค้าพอสมควร เพราะเค้าไม่ได้โกนมานานมากแล้ว เพราะตั้งแต่ย้ายมาอยู่กัมปงเมดัน เขตสุมาตราเหนือ เค้าก็ไว้หนวดมาตลอดตามแบบที่ชายหนุ่มอังกฤษนิยมไว้กัน เค้าพยายามเดินลากขาไปรอบๆ กระท่อม
ตอนนี้เค้าพอจะลุกได้โดยไม่ต้องใช้ไม้เท้าอีกแล้ว เค้าพบมีดทำจากโลหะบางๆ ไม่คมนักแต่พอตัดหนวดให้สั้นลงได้ เค้าหยิบมีดดึงหนวดที่ยาวเกือบสี่นิ้ิวแถมด้วยเคราที่ยาวรุ่มร่ามเพื่อเฉือนมันออก เค้าพยายามเอาส่วนที่คมที่สุดเฉือนใต้คางใกล้คอหอยเพื่อให้เคราสั้นลงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
"เจซึ! "
เสียงชารีฟ่าร้องเรียกมาจากด้านหลัง เจมส์สะดุ้งตกใจ หันควับมาพร้อมยกมีดในมือชี้ออกไปด้านหน้า ซึ่งห่างจากลำตัวชารีฟ่าเพียงสองสามนิ้วแค่นั้นเอง เธอสะดุ้งเฮือกแต่สายตากลับไม่ได้จับจ้องมีดปลายแหลมที่ยื่นมาประชิด แต่กลับเป็นใบหน้าที่ไร้หนวดเคราของเจมส์ต่างหาก ที่สายตาเธอจับจ้องอย่างไม่กระพริบตา
ร่างกายชารีฟ่าสั่นเทาเหมือนกำลังกลัวบางสิ่งหรือตื่นเต้นจนควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่เธอก็คว้ามีดในมือเค้าจนมันบาดเข้าที่มือเธอ มีเลือดไหลเยิ้มจากฝ่ามือเธอ เจมส์มัวตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนรู้ตัวอีกที ชารีฟ่าก็ดึงเอามีดไปจากมือเค้า แล้วรีบพุ่งตัวออกจากกระท่อมไปในทันที เจมส์รีบก้าวเท้าตามออกไป แต่อาการปวดยังไม่หายดีนัก มันปวดแปล๊บจนเค้าต้องล้มลงนั่งกับพื้นดิน เห็นเพียงชารีฟ่าเดินทำท่าเหมือปาดน้ำตาแล้ววิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว เห็นเพียงหลังไวๆ แค่นั้นเอง
คืนนั้นในความเงียบ เจมส์ได้ยินเสียงชารีฟ่ากระซิบกับใครซักคนอยู่ไม่ไกลจากกระท่อม เธอพูดน้ำเสียงละล่ำละลักปนสะอื้น เสียงอีกคนเป็นเสียงผู้ชายดูจะสูงอายุจากน้ำเสียงที่แหบพร่า
"เกิดอะไรขึ้น ผมทำอะไรผิดเนี่ย หรือเธอจะโกรธที่ผมเอามีดไปจี้เธอซะใกล้ขนาดนั้น" ผมรำพึง
หลังเหตุการณ์ดังกล่าว เจมส์ไม่ได้พบชารีฟ่าอีกนานเกือบสัปดาห์ จนวันนี้เธอนำอาหารเย็นและยามาส่งให้เช่นเดิม เจมส์พยายามส่งสัญญาณมือให้เธอเพื่อแสดงว่าเค้าขอโทษ แต่เธอไม่ใส่ใจทำเพียงยกถ้วยบรรจุยาให้และรอจนเจมส์ดื่มมันจนหมดทั้งถ้วย ยาวันนี้รสชาติขมปนหวานดื่มง่าย แต่มีรสเผ็ดซ่าและชาที่ลิ้นตามมาตอนท้าย มันรสชาติต่างจากยาที่ดื่มทุกวันก่อนหน้านี้ เพียงหลังดื่มยาไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เจมส์ก็หลับฟุบบนโต๊ะที่ทานข้าวอยู่ตรงนั้นเลยทีเดียว
มีชายร่างกำยำสองคนเดินเข้ามาในกระท่อม หิ้วปีกเจมส์ออกไปในทันที
เสียงร้องรำทำเพลงและเสียงกลองดังตึงๆจนร่างกายเจมส์สั่นสะเทือน เค้าเริ่มรู้สึกตัวบ้างแล้วความรู้สึกของสติเลือนลางแต่ความรู้สึกตามแขนขานั้นหมดสิ้นราวกับตัวเค้ามีแค่สมองเท่านั้นที่พอจะทำงานได้ เค้าพยายามลืมตาขึ้น เห็นเงาร่างคนจำนวนหนึ่งนั่งเรียงรายกัน เค้าพยายามขยับตัวแต่มันแทบไม่มีเรี่ยวแรงเลย
เจมส์พยายามขยับหัวเพื่อหันไปมองรอบๆ ตอนนี้เค้าถูกมัดไว้บนท่อนไม้ขนาดใหญ่ ตั้งไว้ด้านหน้าโต๊ะหินยาวสองตัวกลางหมู่บ้าน เค้าเห็นมือของตนทั้งสองข้างกางออก มีมีดเล่มหนาปักอยู่กลางผ่ามือลึกลงเกือบมิดด้าม มีเลือดไหลรินออกจากมือทั้งสองข้าง หยดลงไปยังพื้นเบื้องล่างที่มีภาชนะดินเผารองอยู่ เจมส์กำลังสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นกับเค้า
"นี่มันอะไรกัน ทำไม...เราโดนลงโทษอะไรเนี่ย"
เจมส์กำลังพยายามดิ้น แต่ยาที่เจมส์กินเข้าไปครั้งล่าสุดกำลังออกฤทธิ์เต็มที่ มันเป็นยาพิษที่ออกฤทธิ์กับระบบรับความเจ็บปวดจนมันไม่ทำงาน รวมถึงระบบประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อลายด้วย เค้าพยายามครางในลำคอแต่ไร้เสียงใดๆ ของเหลวรสเค็มๆคาวๆไหลเข้าในคอเจมส์อยู่เรื่อยๆ ลิ้นของเค้าไม่มีแล้วเหลือเพียงก้อนเลือดเต็มช่องปากไปหมด เลือดสดๆ ค่อยๆไหลนองออกจากปากจนอาบไปทั่วหน้าอกที่เปลือยเปล่าของเค้า
ซักพักชายชราที่มีหนวดขาวยาวลากพื้น นั่งอยู่ตำแหน่งหัวของโต๊ะหินยาว ส่งเสียงพร้อมกระแทกไม้เท้าที่ปลายมีกระโหลกมนุษย์เสียบติดไว้ ทุกคนเงียบเสียงทันทีและสงบนิ่งจนน่าใจหาย ชายชราพูดอีกสามสี่ประโยคก่อนนะเอาไม้เท้าชี้ไปที่ชารีฟ่า ซึ่งตอนนี้เธอสวมชุดเต็มยศประดับด้วยขนนกจำนวนมากและลูกปัดร้อยคล้องคอนับสิบเส้น แต่ใบหน้าเขียนทับด้วยสีขาวและสีแดงเต็มใบหน้า เหล่าชาวพื้นเมืองตะโกนโห่ร้อง บ้างเอาขวานหรือหอกในมือทำท่าท่างเกรี้ยวกราด ฟาดซ้ายขวา บ้างเอากระแทกพื้น บ้างยื่นหอกปลายโลหะแหลมยาวมาจี้ที่อกเจมส์จนเกือบเสียบเข้าไปในเนื้อสีขาวที่อาบไปด้วยเลือดที่ไหลจากปากเค้า
 
ชายชรายื่นกริชสีเงินยาวราวหกนิ้วให้ชารีฟ่า เธอคว้ามันแล้วเดินดิ่งมาที่เจมส์ เจมส์พยายามดิ้นแต่ก็ไร้ความหมาย ชารีฟ่าตะโกนกรีดร้องเสียงดังขึ้นสุดเสียง ยกมือทั้งสองที่กำกริชไว้แน่นขึ้นเหนือหัว
เสียงกรีดร้องนั่นฟังดูคล้ายเหมือนเจมส์จะเคยได้ยินมาก่อน ซักครั้ง ซักแห่ง เมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง
ภาพตอนที่เจมส์นำกองทหารเพื่อผ่านป่าดงดิบระหว่างทางเพื่อเข้ายึดกำปงเมดัน พวกเค้าพบกับหมู่บ้านชาวพื้นเมืองกลุ่มหนึ่งซึ่งพวกนั้นพยายามต่อต้านเหล่าทหารอังกฤษ มีชายชาวเผ่าคนหนึ่งแอบแก้มัดและฉวยเอาหอกซัดพุ่งเข้ามาใส่เหล่าทหารที่ยืนจับกลุ่มคุยกันหลังจับเหล่าเฉลยไว้ได้
หอกแทงทะลุร่างทหารนายหนึ่งเข้าที่หน้าอกทะลุออกด้านหลังล้มลงสิ้นใจทันที เหล่าทหารตกใจมาก ทันใดนั้นเสียงตะโกนของเจมส์ดังขึ้น เค้าหันหน้าที่กำลังโกรธจัดเพราะเสียเพื่อนร่วมชาติไปต่อหน้า พี่น้องที่ติดตามกันมาจากเกาะกลางทะเลอันไกลโพ้น
"ยิงพวกมันให้หมด อย่าให้พวกมันรอดไปได้ ฆ่ามัน!!!!!"
เสียงกรีดร้องของหญิงสาววันรุ่นคนหนึ่งแผดดังขึ้น ร่างชายผู้หนึ่งซึ่งคงเป็นหัวหน้าครอบครัวผุดขึ้นบังกระสุนนับสิบนัดให้เด็กสาวที่ยืนหลบด้านหลัง ผู้เป็นแม่โดนกระสุนสิ้นใจลงไปก่อนหน้านี้เพียงเสี้ยววินาที เด็กสาวถูกดึงแขนวิ่งหายไปด้านหลังป่าดิบชื้น โดยชายผู้ขว้างหอกซัดออกไปคนนั้นนั่นเอง หลังห่ากระสุนสังหารทุกชีวิตตรงหน้าลงแล้ว เจมส์ยืนกัดกรามจนเลือดไหลจากริมฝีปาก หน้าแดงเหมือนกำลังจะระเบิดออก น้ำตาไหลรินออกจากเบ้า ทั้งโกรธและเสียใจคละเคล้ากันจนเกือบเสียสติ
ดวงตานั่นเหมือนกันไม่มีผิด เด็กสาวคนนั้นนั่นเอง
กริชสีขาวราวเงินยวง แทรกตัวผ่านผนังหน้าท้องเจมส์เข้าไปอย่างง่ายดาย เลือดค่อยๆ พุ่งออกมาปุดๆ จากข้างกริช ชารีฟ่ากรีดร้องโหยหวน พร้อมลากกริชยาวลงไปถึงใต้สะดือ ลำไส้สีขาวไหลทะลักออกมาในทันที เหล่าชาวเผ่าโห่ร้อง บ้างแลบลิ้นเลียปากอย่างอยากกระหาย ชารีฟ่าใช้กริชตัดลำไส้ออกมาหนึ่งขด ชูขึ้นเหนือหัวให้เลือดหยดลงบนใบหน้าที่เงยมองฟ้าที่มืดมิด ตอนนี้หน้าตาเธอราวกับปีศาจที่น่าสะพรึง กลิ่นคาวเลือดคุ้งไปทั่ว ไส้ของเจมส์ถูกดึงออกมากองบนใบไม้ที่วางบนโต๊ะหินยาว เหล่าผู้เฒ่าที่นั่งรายรอบโต๊ะหินต่างรุมกันแย่งหยิบไส้สดๆ เหล่านั้นเข้าปากอย่างเก้ๆกังๆ
เจมส์เห็นภาพสยองตรงหน้า แต่ไร้ซึ่งความรู้สึกเจ็บปวด เพียงชั่วครู่กริชเล่มเดิมปักเข้ามาตรงหน้าอกตัดลึกเข้าผ่านซี่โครงเข้าไป เธอออกแรงดึงสุดแรงจนซี่โครงหักสะบั้นออกจากกัน ชารีฟ่าใช้มือค่อยล้วงเข้าไปใต้หน้าอกที่แดงฉานของเจมส์ ดวงตาที่แดงก่ำมีน้ำตาไหลรินออกมาจนเลือดที่หน้าถูกล้างออกเป็นทางยาวอาบแก้ม เธอตะหวัดกริชอีกครั้ง เจมส์รู้สึกได้ถึงความอาการเจ็บแปล๊บขึ้นเล็กน้อยในช่องอก
เธอหยิบหัวใจดวงใหญ่กว่าฝ่ามือออกมา มันยังเต้นตุ๊บๆ ชารีฟ่าคว้าเข้าไปกัดสุดแรงแล้วกระชากออกราวกับไฮยีน่ากัดกระฉากซากสัตว์อย่างหิวกระหาย เลือดพุ่งกระเด็นมาเปื้อนหน้าเจมส์ ไหลย้อยเข้าไปในดวงตา ภาพตรงหน้าเริ่มลางเรือนลงช้า มีเพียงแสงไฟจากกองไฟที่ส่องผ่านโลหิตสดๆที่ดวงตาเค้าเป็นแสงสีแดงเท่านั้นที่พอจะมองเห็น
ความมืดเริ่มปกคลุมดวงตาเค้าอีกครั้ง ได้ยินเพียงเสียงโลหะเสียบเข้าไปตามร่างกายทุกส่วนของเค้าและเสียงร้องระงมด้วยความโหยหวน ความมืดปกคลุมไปทั่วแล้ว มันทั้งมืดและเย็นเฉียบ
หากจะมีมนุษย์บนโลกที่พบเห็นเจมส์เป็นครั้งสุดท้าย คงเป็นตอนที่ส่วนหัวของเค้าถูกโยนทิ้งลงในทะเลสาบท้ายหมู่บ้าน ภาพใบหน้าที่ไร้ร่างกำลังปลิวล่องลอยในกระแสน้ำ ไหลไปตามกระแสน้ำจะพัดพาไป ดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ ลงไปสู่ใต้ท้องทะเลสาบสีดำทมึน ราวกับจะลงไปยังหุบเหวปากประตูนรกที่ไร้ปลายทาง
เจมส์คงได้อยู่สำรวจเกาะสุมาตราไปได้อีกนานชั่วนิจนิรันดร์ นานเท่าที่เค้าจะพอใจ อาจจะชั่วกัลป์เลยก็เป็นได้.....
:ชุมชนของเผ่ามนุษย์กินคนยังพบได้ในหลายหมู่บ้านของอินโดนีเซีย นักท่องเที่ยวยังนิยมเดินทางไปชมโต๊ะหินยาวที่ใช้ทำการกินเนื้อมนุษย์ และเชื่อกันว่าพวกเค้าจะกินเนื้อมนุษย์เฉพาะที่เป็นศัตรูของตนเท่านั้น เพราะเชื่อว่าจะเป็นการกักขังและสยบวิญญาณของศัตรูไม่ให้กลับมาทำร้ายกันได้อีกต่อไป

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา