6 ส.ค. 2019 เวลา 09:27 • ธุรกิจ
อยากจะขายของออนไลน์มีอะไรที่ต้องรู้ก่อน?
ตอนที่ 2
เมื่อเรารู้ว่าเราจะทำอะไรจาก 4 หัวข้อหลักของการทำการตลาดจากตอนที่ผ่านมา ซึ่งเชื่อมโยงมาจากตอนที่ื 1 ของเรื่อง "ในวันที่ยอดขายตกหรือทำยอดขายไม่ได้ตามเป้า คนส่วนมากคิดว่าเกิดจากอะไร?" (สามารถย้อนไปอ่านได้ใน Series) เราก็รู้แล้วว่าจะทำตลาดด้วยสินค้าหรือบริการอะไร แล้วจึงมาเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะกับธุรกิจ
ในตอนที่แล้วได้เกริ่นเรื่อง Digital marketing กับ Market place ไว้ เพราะว่าการทำตลาดออนไลน์ในปัจจุบันมี 2 รูปแบบหลักๆนี้ และการทำตลาดออนไลน์เกิดขึ้นมาทำให้ข้อจำกัดเรื่องที่ต้องผลิตครั้งละมากๆเพื่อจำหน่าย (Economic of scale) กลายมาเป็นการจำหน่ายโดยการส่งมอบให้รวดเร็ว (Economic of Speed) แม้ว่าจะมีสินค้ามาชิ้นเดียวก็ขายได้
ถึงแม้ว่ารูปแบบการตลาดจะเปลี่ยนไปแต่แกนการทำการตลาดยังคงเดิม คงเดิมอย่างไรผู้เขียนจะแบ่งปันให้รับทราบถึงความแตกต่างดังนี้
1. Digital marketing คือ การทำการตลาดโดยใช้เครื่องมือผ่าน Social Media ต่างๆที่เปิดให้บริการ ที่มีทั้งเสียเงินและไม่เสียเงิน เช่น Face book, Instragram. Line, Whatsapp, Youtube หรือ Blockdit ที่เป็นของคนไทย ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเพียงตัวกลางที่สื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจเรา ไม่มีกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่จับต้องได้ เช่น มีพื้นที่วางสินค้าหน้าร้าน ส่งสินค้าให้ มีพนักงานช่วยตอบข้อสงสัย ฯลฯ ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆคืิอการที่เราเปิดร้านสักแห่งที่ต้องจัดการทุกกระบวนการตั้งแต่ต้นน้ำจนปลายน้ำ ตั้งแต่หาสินค้า หาพนักงาน ทำบัญชี และอีกมากมายหลายสิ่ง แล้วเราเอาสินค้าไปประกาศขายผ่านสื่อต่างๆ เช่น ทีวี วิทยุ ป้ายโฆษณา เป็นต้น
Digital marketing ก็คือการทำตลาดในรูปแบบเดียวกัน เพียงแต่มีต้นทุนเริ่มแรกที่ต่ำ ทุกคนเข้าถึงได้ ขอเพียงอ่านออกเขียนได้สื่อสารรู้เรื่อง แต่ที่แตกต่างคือ การเข้าถึงลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายทำได้ในต้นทุนที่ต่ำและสามารถวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าจากฐานข้อมูลอันมหึมาได้
2. Market place คือ การทำตลาดในรูปแบบการนำสินค้าไปให้ผู้ให้บริการจัดการการขายและการส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้า ซึ่งผู้ให้บริการ อาทิ amazon, lazada, alibaba, Shoppee, Kaidee, ebay, paypal และอีกหลายราย จะเป็นผู้ดำเนินการขายให้ทั้งหมด โดยเราไม่ต้องทำการบรรจุสินค้าส่ง ไม่ต้องติดต่อลูกค้า ไม่ต้องแก้ปัญหาให้ลูกค้าโดยตรง ฯลฯ
เปรียบเสมือน เรานำสินค้าเข้าไปขายในห้างค้า เช่น Makro, Tesco, BigC, 7Eleven, Tops, Familymart, CJ เป็นต้น ซึ่งเราไม่ต้องเข้าไปช่วยเขาขายและทำการตลาด ห้างเหล่านั้นจะจัดการดำเนินการเอง ทั้งการขาย การส่งสินค้า การบริการหลังการขาย รวมถึงการให้บริการอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
เราจะเลือกรูปแบบใดหรือเลือกทั้งคู่ ขึ้นอยู่กับรูปแบบธุรกิจที่เราทำ รวมถึงตลาดที่เราขายด้วย
ในตอนต่อไปจะได้เปรียบเทียบให้เห็นข้อดีและข้อจำกัดรวมถึงการขายสินค้าอะไรจะเหมาะกับแต่ละรูปแบบทั้งที่เป็น Digital marketing และ Market place
ข้อมูลมุมมองการตลาดที่ทันสมัยจากประสบการณ์จริง
อ่านได้ใน Blockdit ยุคใหม่การตลาดของไทย
โหลดที่ http://www.blockdit.com
โฆษณา