6 ส.ค. 2019 เวลา 13:19 • ปรัชญา
ขงจื่อ
ตอนที่4
ชายหนุ่มผู้มากด้วยอุดมการณ์ความสามารถ
ในปีก่อนคริสตศักราชที่ 535 ขณะนั้นขงจื่อมีอายุ 17 ปี ปีนี้ได้สร้างความโทมนัสเสียใจให้กับขงจื่อไม่น้อย เพราะเป็นปีที่มารดาของท่านได้ถึงแก่กรรมนั่นเอง
ทั้งนี้ เนื่องจากมารดาของขงจื่อได้ถึงแก่กรรมอย่างกะทันหัน ดังนั้นจึงไม่ทันได้บอกที่ตั้งสุสานของบิดาขงจื่อให้ทราบ เรื่องนี้จึงทำให้ขงจื่อรู้สึกเสียใจเป็นยิ่งนัก โดยเฉพาะเมืองชวีฟู่ก็ไม่ใช่เมืองที่ท่านกำเนิด ดังนั้นจึงไม่มีเพื่อนบ้านคนใดที่ทราบเรื่องราวของบิดาท่านเลยสักคน
ด้วยความสำนึกในความกตัญญูกตเวทิตา ท่านจึงได้เคลื่อนศพมารดาไปคุกเข่าอยู่ที่ทางแยกแห่งหนึ่ง โดยหวังว่าจะมีหนึ่งในผู้คนที่สัญจรไปมารู้จักบิดามารดาของท่านและสามารถแนะนำตำแหน่งที่ตั้งสุสานของบิดาท่านได้ ในภายหลัง ได้มีเพื่อนบ้านของมารดาในสมัยก่อนผ่านมาพอดี นางได้แนะนำที่ตั้งสุสานของสูเหลียงเฮ่อให้ขงจื่อทราบ จึงทำให้ขงจื่อสามารถนำศพมารดาไปฝังร่วมกับบิดาได้สมประสงค์
เมื่อครั้งที่ขงจื่ออายุ 20 ปี ภรรยาของท่านนามว่าฉีกวนซื่อได้ให้กำเนิดบุตร ร่ำลือว่าเพียงเจ้าแคว้นหลู่เจากงได้ทรงทราบข่าวก็มีรับสั่งให้ประทานปลาหลี่ (ปลาคราฟ) แก่ขงจื่อเพื่อเป็นสิริมงคล และด้วยเพราะเหตุนี้ ขงจื่อจึงตั้งชื่อบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านว่าข่งหลี (คำว่าหลี่ผันวรรณยุกต์เป็นคำว่าหลี) แต่จากเรื่องนี้ก็สะท้อนให้เห็นความจริงอย่างหนึ่งว่า ในช่วงเวลาที่ขงจื่อมีอายุเพียง 20 ปี เวลานั้นท่านก็มีชื่อเสียงกิตติคุณเกริกไกรไปทั่วแคว้นหลู่แล้ว
สำหรับชีวิตราชการของขงจื่อนั้น ท่านได้เริ่มฉายแววอัจฉริยะในด้านการปกครองเมื่อสมัยที่มีอายุเพียง 20 ปีเท่านั้น ในเวลานั้นท่านทำหน้าที่เพียงแค่ผู้คุมโกดัง ดูแลที่นา และบริหารงานปศุสัตว์ แม้นจะเป็นเพียงตำแหน่งเล็กๆ แต่ท่านก็สามารถบริหารงานให้มีความเจริญก้าวหน้า มีผลงานที่เป็นประจักษ์สรรเสริญของผู้คนโดยทั่ว แม้นท่านจะสามารถบริหารราชการจนมีผลงานเป็นที่ประจักษ์มากก็จริง แต่ด้วยเพราะจิตริษยาได้กัดกร่อนแทรกซึมในทุกห้องหัวใจของเหล่าขุนนาง จึงทำให้ขงจื่อกลับไม่ค่อยประสบความสำเร็จในวงราชการสักเท่าไหร่
สำหรับภูมิหลังการปกครองของประเทศจีนในสมัยนั้นจะเป็นการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช ช่วงสมัยของขงจื่อจะอยู่ในช่วงราชวงศ์โจวตอนปลาย และการปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ในสมัยก่อนจะเป็นการปกครองโดยระบอบศักดินา ซึ่งเหล่าผู้ครองศักดินาจะเป็นราชนิกุลที่กษัตริย์ทรงไว้วางพระราชหฤทัยแต่งตั้งให้ไปกินเมืองในที่ต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่นเจ้าแคว้นหลู่ก็อยู่ครองเมืองหลู่ เจ้าแคว้นฉีก็อยู่ครองเมืองฉี เจ้าแคว้นฉู่ก็อยู่ครองเมืองฉู่ เจ้าแคว้นซ่งก็อยู่ครองเมืองซ่ง เป็นต้น
และในแต่ละแว่นแคว้น ต่างก็จะมีระบอบการปกครองภายในเป็นของตนเอง สามารถเก็บภาษีอากรเอาไว้ใช้จ่ายเป็นการภายในของตนเอง มีกองกำลังของตนเอง
สำหรับแคว้นหลู่ในสมัยนั้น เนื่องจากเจ้าแคว้นหลู่ทรงอ่อนแอไร้ความสามารถ ดังนั้นอำนาจการปกครองจึงตกไปอยู่ในมือของตระกูลขุนนางใหญ่เพียงสามตระกูลคือ ตระกูลจี้ซุน ตระกูลสูซุน และตระกูลเมิ่งซุน และทั้งสามตระกูลนี้ก็ค่อนข้างจะรวมตัวกันอย่างสามัคคีในการลดทอนอำนาจของเจ้าแคว้นมาไว้ที่ตน และในตระกูลทั้งสามนี้ ก็ต้องนับว่าตระกูลจี้ซุนมีอำนาจมากที่สุด ร่ำรวยมากที่สุด
ภายใต้สภาพสังคมและสภาพการปกครองเช่นนี้ ขุนนางที่มีเส้นสายพรรคพวกจึงจะถูกสนับสนุน หากไม่มีเจ้านายที่มีกำลังอยู่คอยหนุนหลัง การที่จะประสบความสำเร็จในวงราชการค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่ลำบากอยู่พอสมควร ดังนั้นคนดีที่มากด้วยความสามารถเช่นขงจื่อจึงไม่ค่อยมีโอกาสได้แสดงฝีมือเท่าไรนัก

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา