10 ส.ค. 2019 เวลา 17:52 • ธุรกิจ
อยากจะขายของออนไลน์มีอะไรที่ต้องรู้ก่อน?
ตอนที่ 4
เมื่อเราทราบความแตกต่างของรูปแบบการทำตลาดออนไลน์แล้ว ต่อไปก็เป็นการพิจารณารูปแบบการทำตลาดแบบไหนที่จะเหมาะกับเรา ซึ่งการดำเนินการจะทำการแบ่งเป็น 3 รูปแบบหลักๆ คือ
1. Content Marketing เป็นการสร้างการรับรู้ให้กับลูกค้าผ่านสื่อออนไลน์ที่เป็นผู้ให้บริการสื่อในการนำเสนอ เช่น Face Book Instragram Line Youtube Blockdit และอีกหลากหลายผู้ให้บริการ ซึ่งจะมีทั้งสร้างให้ผู้คนจดจำตัวตนกับสื่อสารให้ผู้คนจดจำในตัวสินค้าและบริการ แต่เราต้องเป็นผู้ดำเนินการขั้นตอนการจัดการทั้งการติดต่อลูกค้า การจัดส่งสินค้าการจัดเก็บชำระค่าสินค้า การรับประกันสินค้า และอีกหลากหลายขั้นตอนในการจัดการ ซึ่งสามารถจำหน่ายได้ทั้งสินค้าของตัวเองและสินค้าของผู้ผลิตรายอื่นได้
วิธีการนี้สร้างผลตอบแทนให้ผู้ดำเนินการได้มาก แต่จะมีขบวนการจัดการที่ยุ่งยากมากมายซึ่งต้องมีทีมในการจัดการร่วมด้วย ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายประจำ(Fixed Cost)ที่แม้ว่าจะขายได้หรือไม่ได้ก็ต้องจ่าย
2. Drop Ship คือการที่ตัวเราเป็นตัวกลางในการรับคำสั่งซื้อจากลูกค้า ด้วยการนำเสนอผ่านผู้ให้บริการ เช่น Ebay Amazon Welove Shoppee Lazada Kaidee.com เป็นต้น แล้วเราทำการส่งรายการสั่งซื้อไปยังผู้ผลิตหรือเจ้าของสินค้าเพื่อทำการจัดส่งให้ลูกค้า โดยทำการทำเงินในจำนวนที่เราได้ทำการหักส่วนต่างไว้แล้ว ซึ่งทำให้เราสามารถที่จะได้รับเงินในทันทีโดยมีต้นทุนการดำเนินการที่ต่ำมากหรืออาจจะไม่มีเลยก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญในสินค้า ขจัดความเสี่ยงในการทำธุรกิจทั้งด้านการผลิต ด้านการจัดเก็บ ด้านการดำเนินงาน เป็นต้น และผู้ขายก็ได้รับผลประโยชน์ในการระบายสินค้าได้อีกช่องทางหนึ่งโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มเช่นกัน
แต่เนื่องจากตัวเราไม่ใช่เจ้าของสินค้าอาจจะเกิดเหตุการณ์ที่เจ้าของสินค้าเอาไปดำเนินการเอง จึงไม่เหมาะกับการดำเนินการระยะยาว ที่สำคัญเราต้องจัดหาผู้ผลิตหรือเจ้าของสินค้าที่เชื่อถือได้สูง เนื่องจากการเข้าสู่ธุรกิจเป็นไปได้ง่ายจึงทำให้มีคู่แข่งจำนวนมาก
3. Fulfillment Model วิธีการนี้คือการที่เราสมัครเปิดร้านค้าออนไลน์กับผู้ให้บริการที่รับจัดเก็บสินค้าไว้ให้เรา จากนั้นจึงทำการส่งสินค้าไปไว้ยังคลังสินค้าของผู้ให้บริการ เช่น amazon.com, SCG Logistics, Shipyours, Akita เป็นต้น และผู้ให้บริการจะเป็นผู้ดำเนินการขายให้เราโดยการนำข้อมูลสินค้าให้ลูกค้าได้เห็น ทำการบรรจุและจัดส่ง ทำการรับประกันสินค้าให้ลูกค้า(เรียกเก็บจากเราภายหลัง) ทำการตอบข้อสงสัยลูกค้า
โดยมากผู้ให้บริการนี้จะมีฐานข้อมูลลูกค้าเป็นจำนวนมหาศาล จึงทำให้มีโอกาสสูงในการขาย เนื่องจากกระบวนการดำเนินการส่วนมากเกิดจากผู้ให้บริการ จึงทำให้ตัวเราจะต้องผ่านการคัดเลือกตามกฎเกณฑ์ของผู้ให้บริการก่อนจึงจะทำการขายได้ และต้องเสียค่าดำเนินการในส่วนของค่าจัดเก็บสินค้า ค่าขนส่งสินค้า ค่าใช้จ่ายในการคืนสินค้าและค่าใช้จ่ายอื่นๆตามข้อตกลงของแต่ละผู้ให้บริการ หากต้องการทำการตลาดต่างประเทศเราต้องดำเนินการเรื่องกฎเกณฑ์ข้อกำหนดของแต่ละประเทศให้แล้วเสร็จก่อน นอกจากนี้ยังต้องจ่ายกำไรส่วนต่างให้ผู้ให้บริการตามหมวดสินค้าที่อาจจะมีส่วนต่างแตกต่างกันไป โดยทั่วไปจะอยู่ระหว่าง 12-25%
ทั้ง 3 วิธีข้างต้นมีข้อดีข้อจำกัดต่างกันไปตามความเหมาะสมของชนิดสินค้า กลุ่มเป้าหมายและความถนัดของเรา ซึ่งเราจะต้องพิจารณาให้รอบครอบในการใช้แต่ละรูปแบบการทำตลาดออนไลน์ บางครั้งก็ไม่สามารถทำได้หลายรูปแบบบางครั้งก็สามารถทำได้ทุกรูปแบบ
แล้วเราจะจำหน่ายสินค้าให้กับใครอย่างไรบ้าง คำตอบจะมีในตอนต่อไปครับ
FB Page: Thailand Modern Marketing
ข้อมูลมุมมองการตลาดที่ทันสมัยจากประสบการณ์จริง
อ่านได้ใน Blockdit ยุคใหม่การตลาดของไทย
โหลดที่ http://www.blockdit.com
โฆษณา