11 ส.ค. 2019 เวลา 00:44 • ปรัชญา
ขงจื่อ
ตอนที่11
กอบกู้ศักดิ์ศรีแคว้นหลู่
แคว้นฉีและแคว้นหลู่ เดิมเป็นมิตรแคว้นที่สนิทชิดเชื้อกันเป็นอย่างมาก ต้นสายของแคว้นฉีก็คือเจียงไท่กง ผู้ซึ่งเป็นกุนซือให้กับปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์โจว ส่วนต้นสายของแคว้นหลู่คือโจวกง ผู้ซึ่งเป็นพระอนุชาในปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์โจว
แต่หลังจากเวลาได้ผ่านพ้นไป ความทรงจำที่เป็นมิตรภาพอันแน่นแฟ้นระหว่างสองแว่นแคว้นก็พลอยเลือนหายไปตามกาลเวลา แคว้นหลู่กลายเป็นแคว้นเล็กที่มีความอ่อนแอ ส่วนแคว้นฉีกลับกลายเป็นแคว้นที่มีความยิ่งใหญ่ทะเยอทะยาน และจ้องแต่จะรุกรานแคว้นหลู่อยู่ตลอดเวลา
หลังจากขงจื่อดำรงตำแหน่งสมุหนายกแล้ว ท่านก็สามารถนำปรัชญาการบริหารของท่านมาใช้กับการบริหารบ้านเมืองได้อย่างเต็มที่ ปรากฏว่าสามารถทำให้บ้านเมืองมีความสงบสุขและเจริญก้าวหน้าขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเรื่องนี้ก็ได้สร้างความอึดอัดไม่สบายใจให้แก่แคว้นข้างเคียงคือแค้วนฉีเป็นอย่างมาก
ดังนั้นแคว้นฉีจึงพยายามคิดหาวิธีที่จะสกัดความเจริญรุ่งเรืองของแคว้นหลู่ให้จงได้ ด้วยเหตุนี้ อุปราชหลีสวีจึงเสนอแผนจัดประชุมเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างสองแว่นแคว้น ประการหนึ่งคือต้องการอาศัยการประชุมในครั้งนี้สร้างความอัปยศแก่แคว้นหลู่ อีกประการหนึ่ง หากว่าจังหวะอำนวย ก็จะถือโอกาสจับกุมเจ้าแคว้นหลู่เป็นเชลยได้
การที่ฝ่ายรุกรานอยู่ๆ ก็เสนอให้มีการเจริญสัมพันธไมตรีขึ้น แน่นอนว่าได้สร้างความคลางแคลงใจให้กับหลู่ติ้งกงและขุนนางน้อยใหญ่อยู่ไม่น้อย ดังนั้นเจ้าแคว้นหลู่ติ้งกงจึงทรงแต่งตั้งขงจื่อให้ดำรงตำแหน่งอุปราช เพื่อทำหน้าที่เป็นเสาหลักในการรับมือกับเหตุการณ์อันมิอาจคาดฝัน ขงจื่อทูลเสนอว่า “ด้วยแม้นการเจริญสัมพันธไมตรีเป็นเรื่องดีก็จริง แต่ก็มิควรชะล่าใจจนละเลยการป้องกัน ดังนั้นจึงควรที่จะวางแผนป้องกันทางทหารให้รัดกุมจึงควร”
การประชุมเจริญสัมพันธไมตรีได้นัดจัดขึ้นที่ “ต้าเจี๋ยกู่” ซึ่งอยู่ระหว่างชายแดนของทั้งสองแคว้น มณฑลพิธีก่อขึ้นจากเนินดินที่มีบันไดสามชั้น
หลังจากสองเจ้าแคว้นได้ทรงชูจอกสุราขึ้นดื่มเพื่อมิตรไมตรีแล้ว เจ้าแคว้นฉีก็พลันสั่งให้เชลยที่เป็นคนป่าถืออาวุธพร้อมร่ายรำทำเพลงขึ้นสู่มณฑลพิธี โดยมีประสงค์ที่จะอาศัยจังหวะชุลมุนเข้าทำการจับกุมหลู่ติ้งกง
ครั้นขงจื่อเห็นแล้วก็รู้ถึงเจตนาอันชั่วร้ายของฝ่ายแคว้นฉีได้ในทันที จึงรีบโจนทะยานขึ้นขวางที่เชิงบันได พร้อมกับสั่งนายทหารแคว้นหลู่เข้ากุมตัวคนป่าเหล่านี้ไปประหารในทันที พร้อมกล่าวว่า “สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ เป็นสถานที่เจริญสัมพันธไมตรีแห่งประมุขแคว้น แล้วไยจึงปล่อยให้คนป่าข้าเชลย ถืออาวุธทำการร่ายรำในพิธีอันทรงเกียรติเช่นนี้ได้ คนป่าชายแดนมิควรก้าวก่ายกิจการมัชฌิมแดน เชลยศึกแพ้สงครามก็ยิ่งมิควรวุ่นวายกับการเจริญสัมพันธไมตรี ส่วนทหารเลวก็มิควรอย่างยิ่งที่จะถืออาวุธเข้าบีบคั้นมิตรประเทศ หากมองในแง่ของเทวสถานแล้วก็นับว่าไม่เป็นมงคล ครั้นมองในแง่ของคุณธรรมจรรยาแล้วก็ถือว่าผิดครรลองคลองธรรม และหากมองในแง่ของการเจริญสัมพันธไมตรีแล้ว การกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการเสียมารยาทอย่างยิ่ง สิ่งนี้จึงเป็นสิ่งที่เจ้าแคว้นฉีผู้สูงศักดิ์มิควรกระทำ”
คำเพ็ดทูลของขงจื่อเป็นคำพูดที่ทรงพลังและเปี่ยมด้วยเหตุผลที่มิอาจคัดค้าน จึงทำให้เจ้าแคว้นฉีทรงรู้สึกอับอายยิ่งนัก สุดท้ายจึงได้แต่รับสั่งให้กลุ่มเชลยถอยออกไปทั้งหมด
แต่ต่อมาไม่นาน ก็มีคนออกคำสั่งให้คณะจำอวดเข้าสู่มณฑลพิธี พวกเขาร้องเล่นเต้นรำอย่างไร้ระเบียบ เจตนาเพื่อลบหลู่ศักดิ์ศรีของหลู่ติ้งกงให้เกิดความอับอาย เมื่อขงจื่อเห็นดังนั้น ก็รีบขึ้นขวางที่หน้ามณฑลพิธี พร้อมตวาดสั่งทหารว่า “พวกเจ้าช่างบังอาจทำการหมิ่นศักดิ์ศรีแห่งเจ้าแคว้น ทหารจงกุมตัวเหล่าจำอวดไปประหารชีวิตเดี๋ยวนี้” ทหารองครักษ์รีบดำเนินการประหารชีวิตเหล่าจำอวดต่อหน้าเจ้าแคว้นฉีในทันที
สองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เดิมเป็นแผนการของเหล่าขุนนางที่ต้องการทำลายศักดิ์ศรีของเจ้าแคว้นหลู่ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นศรที่ย้อนพุ่งใส่องค์เจ้าแคว้นฉีจนแทบอยากจะมุดดินหนีเลยทีเดียว
ระหว่างที่กำลังจะลงนามในสนธิสัญญาเจริญสัมพันธไมตรี แคว้นฉีกลับเพิ่มข้อตกลงที่อยู่นอกเหนือการเจรจาอย่างไม่มีเหตุผลว่า “เพื่อสัมพันธไมตรีอันดีงามระหว่างสองแว่นแคว้น ดังนั้น หากแคว้นฉีต้องออกรบทำศึก แคว้นหลู่ต้องส่งรถศึกเข้าช่วยสนับสนุนจำนวนสามร้อยคัน มิเช่นนั้นจะถือเป็นการละเมิดสัญญา”
ครั้นขงจื่อได้ฟังดังนั้น ก็กล่าวขึ้นอย่างสุขุมว่า “ยามที่มิตรแคว้นมีภัย การที่จะส่งรถศึกเข้าช่วยเหลือก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว เพียงแต่ ในเมื่อทั้งสองต่างเป็นมิตรแคว้นกันแล้ว แคว้นฉีก็ควรจะคืนดินแดนที่ยึดไปเมื่อหลายปีก่อนให้กับแคว้นหลู่ หาไม่แล้ว ก็จะถือว่าเป็นการละเมิดความเป็นมิตรประเทศระหว่างกัน”
การประชุมเจริญสัมพันธไมตรีในครั้ง ไม่เพียงแต่ไม่สามารถสร้างความอัปยศให้แก่เจ้าแคว้นหลู่ได้เท่านั้น หากกลับยังต้องคืนดินแดนที่ได้ยึดมา ทั้งยังทำให้เจ้าแคว้นฉีต้องทรงอับอายขายพระพักตร์อย่างมากมายอีกด้วย ครั้นคณะแคว้นฉีกลับถึงพระราชวังแล้ว เจ้าแคว้นฉีก็ทรงตำหนิเหล่าขุนนางว่า “ขงจื่อเสนอแต่สิ่งที่ชอบด้วยธรรม จึงทำให้ประเทศเจริญรุ่งเรือง เจ้าแคว้นมีศักดิ์มีศรี แต่พวกเจ้ากลับเสนอแต่สิ่งต่ำทราม จึงทำให้ข้าอัปยศอดสูไม่น้อย”
ข้อความข้างต้นได้มีการบันทึกอยู่ในหนังสือขงจื่อเจียอวี่ ครั้นอ่านแล้วก็ทำให้สามารถเห็นถึงคุณธรรมความสามารถ สติปัญญาและความกล้าหาญของขงจื่อได้เป็นอย่างดี

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา