7 ก.ย. 2019 เวลา 03:24
EP 10 ที่มาแพ้ชนะ (รู้จักกับอ้วนเสี้ยว)
(เนื้อหายาวไปมีคลิปเสียงเล่าให้ฟังนะครับ)
ในตอนที่แล้วเราพูดถึงยุทธการกัวต๋อ โจโฉเอาชนะอ้วนเสี้ยวได้อย่างราบคาบ มีที่ปรึกษาของอ้วนเสี้ยว ได้คาดการไว้ก่อนแล้ว ว่าจะจบลงแบบนี้ ก็คือ ชีสิวและเตียนห้อง โดยในตอนนั้นชีสิวและเตียนห้องคัดค้านอย่างสุดตัว เพื่อไม่ให้อ้วนเสี้ยวก่อสงครามในครั้งนี้ แต่อ้วนเสี้ยวไม่ฟัง ผลสุดท้ายชีสิ้วถูกโจโฉจับเป็นเชลย เตียนห้องถูกขังคุกและตอนหลังโดนประหารในที่สุด
เหตุผลหลักในการคัดค้านของชีสิวและเตียนห้องก็คือ ความชอบธรรมทางการเมือง ชีสิวกล่าวกับอ้วนเสี้ยวไว้ว่า “ในตอนนี้ทั่วหล้าปั่นป่วน ประชาราษฎร์ยังระส่ำระสาย ฮ่องเต้พึ่งจะลงหลักปักฐานได้ จึงไม่มีเหตุในการก่อสงครามครั้งนี้
ในตอนนี้ ดินแดนของเรามีทั้ง จี้โจว ชิงโจว โยวโจว ปิ้งโจว และเราได้กำจัดกองซุนจ้าน ทางตอนเหนือได้แล้ว ดังนั้นเราควรรายงานชัยชนะตอนนี้ ว่าเรานั้นได้พยายามรวบรวมประเทศชาติให้มั่นคง ต่อฮ่องเต้เสียก่อน และถ้าหากโจโฉขัดขวาง เราจึงฉวยโอกาส ตั้งข้อหาโจโฉ ว่า “กีดกั้นฮ่องเต้” ขณะเดียวกัน เราควรใช้สงคราจรยุทธ คือรบแบบยืดเยื้อกับโจโฉ โดยการเข้าโจมตี ก่อกวนไม่หยุดหย่อน ให้มันอยู่นิ่งไม่ได้ เมื่อมันอ่อนแรง อิดโรย ในเวลาสามปี เราจึงลงมือจัดการขั้นเด็ดขาด”
อ.อี้จงเทียนแสดงความคิดเห็นตรงนี้ว่า “คำแนะนำของชีสิวนั้น ถูกต้องแล้ว”
ประการแรก แนะนำถึงการสร้างความชอบธรรม เพื่อให้ มีเหตุผลในการโจมตีโจโฉ
ประการที่สอง แนะนำให้ทำสงครามแบบยืดเยื้อกับโจโฉ เพื่อให้อ้วนเสี้ยวลดความเสี่ยงในการทำผิดพลาด ประการที่สาม การค่อยๆรุกคีบ ไปข้างหน้า ค่อยๆก่อกวนและฉกฉวยโอกาสเมื่อพร้อม แสดงถึง การหาข้อได้เปรียทางยุทธศาสตร์ ดังนั้น จึงเรียกได้ว่าเป็นแผนที่ดีมาก
แต่อ้วนเสี้ยวไม่ฟัง กลับฟังคำแนะนำของ สิมโพยกับกัวเต๋าแทน กัวเต๋า ว่า “ตามพิชัยสงครามว่าไว้ สิบเท่าให้ล้อมตี ห้าเท่าให้ไล่ตี เสมอให้เข้าตี ดังนั้นเรามีกำลังมากกว่าโจโฉถึงสิบเท่า จะทำสงครามยืดเยื้อไปทำไม และรวมกับความปรีชาสามารถ ของท่านอ้วนเสี้ยวแล้ว กองทัพของเรานั้น ไม่มีทางพ่ายแพ้แน่นอน การกำจัดโจโฉนั้นจึงง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ” คนประจบประแจงมักชอบใช้คำพูดแบบนี้
อ.อี้จงเทียนอธิบายตอนนี้ว่า สิมโพยนั่นคือคนจำพวกเลอะเลือน ส่วนกัวเต๋านั่นคือคนจำพวกสอพอ โดยกัวเต๋ารู้ดีว่าอ้วนเสี้ยวนั้น เป็นพวกเห็นแก่ประโยชน์โดยใช้เวลาระยะสั้นๆ และคิดว่าตัวเองนั้นถูกต้องเสมอ ดังนั้นอ้วนเสี้ยวในตอนนี้ จึงคิดว่าตัวเองนั้นยิ่งใหญ่กว่าใคร ได้เปรียบคนอื่นในทุกๆด้าน จึงไม่จำเป็นต้องรบแบบกองโจร ทำสงครามให้ยืดเยื้อ ให้เสียเวลา เมื่อกัวเต๋ารู้ว่าอ้วนเสี้ยวเป็นแบบนี้ ก็พยามพูดให้ตรงกับใจกับอ้วนเสี้ยว และอ้วนเสี้ยวก็ชอบคนแบบนี้ อ้วนเสี้ยวชอบฟังในสิ่งอยากฟังเท่านั้น ส่วนสิ่งไหนไม่เหมือนที่ตัวคิด เขาก็จะว่ามันผิดไปหมด
มาถึงตอนนี้ชีสิ้ว จึงกล่าวต่อว่า “หากสยบความปั่นป่วน สังหารพวกโหดร้าย เรียกได้ว่า คือทัพธรรม แต่หากใช้กำลังเข้ากำราบ ใช้สงครามเข้ารังแก เรียกได้ว่า คือทัพมาร ทัพธรรมรบชนะโดยตลอด ส่วนทัพมารนั้นก็เป็นฝ่ายแพ้ตลอดเช่นกัน” ในตอนนี้ฮ่องเต้อยู่ที่ ฮูโต๋ หากเราเคลื่อนทัพโดยไร้ซึ่งที่มาของเหตุผล ในทางการเมืองนั้น ถือว่าแพ้ไปก่อนยกนึง ใช้แข็งตีอ่อน ใช้สงครามเข้ารังแก ในทางศิลธรรม ก็แพ้ไปอีกยก และหากรีบยกพลเข้าตี รีบเร่งชิงลงมือก่อน คิดทำสงครามรวดเดียวจบ ในทางยุทธศาสตร์ ก็จะแพ้อีกเช่นกัน ดังนั้นสงครามครั้งนี้จึงไม่มีทางชนะแน่”
อ.อี้จงเทียน อธิบายตรงนี้ว่า คำพูดของชีสิ้วนั้น พูดได้ถึงรากถึงแก่นมาก เพราะ สงครามนั้น คือภาคต่อของการเมือง ดังนั้น การทำสงครามต้องถามว่า ในทางการเมืองมีประโยชน์หรือไม่ และในด้านศิลธรรมนั้นมีเหตุผลมากน้อยแค่ไหน จึงพูดได้ว่า อ้วนเสี้ยวนั้น ในทางการเมืองไร้ซึ่งประโยชน์ ในด้านศีลธรรมไร้ซึ่งเหตุผลและในทางยุทธศาสตร์ ไร้ซึ่งแผนการณ์ และนั้นคือเหตุผลสำคัญแห่งความพ่ายแพ้ของอ้วนเสี้ยว นอกจากนี้ การบัญชาการทัพของอ้วนเสี้ยวยังผิดพลาดอีกด้วย การไม่รักษาป๋ายหม่ากลับไปช่วยเหยียนจิน หลงกลแผนของซุนฮิว คือพลาดครั้งแรก
เมื่อโจโฉถอยเพื่อโต้กลับ ยึดเส้นทางลำเลียงของอ้วนเสี้ยว อ้วนเสี้ยวกลับรุกคืบเข้ากัวต๋อ คือพลาดครั้งที่สอง
ช่วงตรึงกำลัง เขาฮิวแนะนำอ้วนเสี้ยวให้ใช้ทางเล็ก เคลื่อนทัพเข้าตีฮูโต๋ ชิงตัวฮ่องเต้ อ้วนเสี้ยวไม่ทำตาม คือ พลาดครั้งที่สาม
เมื่อโจโฉโจมตีอัวเจ๋า อ้วนเสี้ยวไม่ส่งทหารไปช่วย หูเบาฟังคำกัวเต๋าเข้าตีกัวต๋อ สูญเสียอัวเจ๋า คือ พลาดครั้งที่สี่
ในสงครามครั้งนี้เรียกได้ว่า อ้วนเสี้ยวนั้น “พลาดแล้วพลาดอีก” บทสรุปของสงครามกัวต๋อ แทนที่จะบอกว่า “โจโฉนั้นบัญชาทหารดุจดั่งเทพ แต่ควรเปลี่ยนเป็น อ้วนเสี้ยวนั้นโง่เขลาสุดจะทน” ถึงจะถูกต้องมากกว่า
อ้วนเสี้ยวนั้นขาดความเป็นผู้นำ นอกจากบัญชากองทัพที่ผิดพลาดแล้ว อีกเหตุผลนึงก็คือ อ้วนเสี้ยวใช้คนไม่เป็น ซุนฮกเคยกล่าวไว้ว่า แม้อ้วนเสี้ยวจะมีคนเก่งอยู่มาก แต่คนเก่งพวกนั้นต่างก็มีปัญหากันหมด
เตียนห้องนั้น แข็งขืนฝืนคนอื่น
ส่วนเขาฮิว เห็นแก่ได้ ควบคุมได้ยาก
อีกสิมโพย ก็ไร้ซึ่งแผนตรึกตรอง
และฮ่องกี๋ ถือเอาแต่ตนเป็นใหญ่
เตียนห้อง แม้ว่าจะคิดวิเคราะห์ตัดสินปัญหาได้ถูกต้อง แต่ด้วยนิสัยนั้นแข็งขืนเกินไป ไม่มีเจ้านายคนไหนชอบคนแบบนี้ ดังนั้นคำแนะของเตียนห้อง แม้จะถูกต้อง แต่อ้วนเสี้ยวก็ไม่คิดจะใช้
เขาฮิว คนๆนี้เห็นแก่ได้ ดังนั้นต่อไปต้องมีปัญหาเกี่ยวเรื่องความซื่อสัตย์ แน่นอน
สิมโพยและฮ่องกี๋ แม้จะซื่อสัตย์ แต่สิมโพยเป็นคนที่คิดอะไรคับแคบ ไม่รอบด้าน
ส่วนฮ่องกี๋ ก็เอาแต่ตนเองเป็นใหญ่ และมีนิสัยเป็นอันตพาล
งันเหลียงและบุนทิว ก็มุทะลุ ไร้ซึ่งแผนการณ์ จัดการได้ไม่ยาก
อ.อี้จงเทียนแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า คนทุกคนย่อมมีจุดอ่อนกันทั้งนั้น ดังนั้นจุดอ่อนของทุกคนจึงไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาที่แท้จริงนั้น อยู่ที่ตัวของผู้นำ ว่าใช้คนให้เป็น ผู้นำต้องรู้จักใช้คน ต้องรู้ว่า แต่ล่ะคนนั้นมีจุดแข็ง จุดอ่อนอย่างไร ข้อดีข้อเสียตรงไหน หลังจากนั้นจึงต้องเสริมจุดแข็ง ป้องกันจุดอ่อนแล้วเอามาใช้ อย่างนี้จึงจะเรียกได้ว่า รู้จักใช้คนที่แท้จริง
แต่อ้วนเสี้ยวไม่ได้เป็นแบบนี้ หลักการการใช้คนของอ้วนเสี้ยวนั้นง่ายมาก ก็คือ อ้วนเสี้ยวใช้หลักตามความพอใจของตัวเอง และในหลักการตามความพอใจนี้ ก็ง่ายนิดเดียว คือใครประจบเขา เขาก็พอใจคนนั้น ใครเห็นขัดแย้ง เขารังเกียจ ดังนั้นสิมโพยเสนอความเห็นขัดแย้งจึงติดคุก ส่วนชิวสิ้วเสนอความเห็นอยู่เรื่อยๆ ก็ถูกเมินเฉยไม่ให้ความสำคัญ แต่กลับชอบแบบกัวเต๋า ที่คอยพูด แต่ในสิ่งที่ อ้วนเสี้ยวอยากฟังเท่านั้น ดังนั้นสภาพกลุ่มของอ้วนเสี้ยว จึงเป็นลักษณะที่ผู้ตามนั้นมีจุดอ่อนและผู้นำก็ไร้ซึ่งเหตุผล และยังมีที่แย่กว่านั้นก็คือ คนเหล่านี้ก็คอยแต่ขัดแข้งขัดขากันเอง
นอกจากที่ปรึกษา ที่ไม่มีความสามัคคีแล้ว ครอบครัวของอ้วนเสี้ยว ก็ยังทะเลาะกันเองอีกด้วย โดยอ้วนเสี้ยวนั้นมีบุตรชาย สามคน คนโตอ้วนถำ คนกลางอ้วนฮี คนเล็กอ้วนซง อ้วนเสี้ยวนั้นชอบคนเล็กมากที่สุด ด้วยอ้วนซงนั้นรูปร่างหน้าตาดี จึงแต่งตั้งให้สืบทอดอำนาจต่อ ใช้หลักการจากรูปลักษณ์ภาพนอกมาใช้แต่งตั้ง อ.อี้จงเทียนบอกว่า อ้วนเสี้ยวใช้หลักการนี้ช่างเหลวไหลและไร้สาระสิ้นดี และอ้วนเสี้ยวก็ยังแบ่งเขตปกครองให้กับลูกทั้งสามคน และมีหลานอีกคน ดูแลกันคนละเขต ชีสิ้วจึงคัดค้าน และกล่าวว่า “หากท่านทำเช่นนี้ ก็เหมือนกับการที่เอากระต่ายไว้กลางทางแยก แล้วให้ต่างคน ต่างแย่งกันไล่จับกระต่าย ทำแบบนี้ต่อไปภายหน้าจะไม่เกิดการแตกแยกภายในหรือ” อ้วนเสี้ยวไม่ฟัง หลังจากอ้วนเสี้ยวตาย อ้วนถำบุตรชายคนโต กับอ้วนซงบุตรชายคนเล็กตีกันเอง เหล่าที่ปรึกษาก็แยกกันเป็นสองฝ่าย และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งของความพ่ายแพ้ ที่เรียกได้ว่า การจัดการไม่ดี ทำให้เกิดเสียความสามัคคี
อ.อี้จงเทียน อธิบายในตอนท้ายนี้ว่า อ้วนเสี้ยวที่จริงแล้วก็ใช่ว่าจะไร้ซึ่งความสามารถ โดยอ้วนเสี้ยวนั้นสามารถใช้ประโยชน์จากความเป็นตระกูล “สี่รุ่นสามเสนาบดี” เป็นต้นทุน อ้วนเสี้ยวสามารถทำให้ตระกูลอ้วนไปถึงจุดสูงสุดได้ โดยเขาใช้พื้นฐานจากบรรพบุรุษที่ทำมาขยายกำลังให้ใหญ่โตมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ผลงาน ชื่อเสียง ตำแหน่ง อ้วนเสี้ยวทำได้สูงกว่า รุ่นพ่อและรุ่นก่อนหน้านั้นทั้งสิ้น นี่คือความเก่งกาจของอ้วนเสี้ยว
แต่อ้วนเสี้ยวมีนิสัยเป็นพวกจิตแปลกแยก ตามบันทึกจดหมายเหตุสามก๊ก กล่าวว่า อ้วนเสี้ยว ภายนอก สง่าใจกว้าง มีน้ำใจสูงส่ง วิตกหรือยินดี ไม่แสดงออกทางสีหน้า แต่ภายในนั้นอาฆาต อ้วนเสี้ยวนั้น แสดงออกดูเหมือนจริงใจดี สง่างาม ท่าทีมีความรู้ สนิทสนมเหมือนญาติ ปฏิบัติกับคนอื่นดี แต่ภายในก้นบึ้งของจิตใจนั้น เป็นพวกหวาดระแวง ริษยาคนอื่น เป็นคนใจดำอำมหิต จิตใจคับแคบ ไม่ยอมให้ใครฉลาดกว่าตนเอง และรับไม่ได้กับคนที่มีความถูกต้องมากว่า
ทำไมต้องโจมตีโจโฉ เพราะ โจโฉโดดเด่นมากกว่า
ทำไมต้องดูถูกชีสิ้ว เพราะ ชีสิ้วฉลาดมากกว่า
ทำไมต้องฆ่าเตียนห้อง เพราะ เตียนห้อง มีความถูกต้องมากกว่า
ในตอนหน้าเราจะพูดกันถึงการจัดการต่างๆของโจโฉ ที่เหนือกว่าอ้วนเสี้ยว กับ EP 11 ร้อยสายสู่ทะเล
โฆษณา