8 ก.ย. 2019 เวลา 02:27
EP 11 ร้อยสายสู่ทะเล (การใช้คน การจัดการความสัมพันธ์)(เนื้อหายาวไป มีคลิปเสียงเล่าให้ฟังนะครับ)
1
ในสงครามกัวต๋อ ถือเป็นความสำเร็จของโจโฉและความล้มเหลวของอ้วนเสี้ยว องค์ประกอบอย่างนึงที่สำคัญ คือ การใช้คน ดังนั้นในตอนนี้เราจึงจะคุยกันถึงเนื้อแท้ที่สำคัญในการใช้คนของโจโฉ เฉินโซ่ว ได้บันทึกตอนหนึ่งไว้ในประวัติโจโฉ ว่า การที่โจโฉรบชนะอ้วนเสี้ยวในยุทธการกัวต๋อนั้น เป็นความสำเร็จที่สำคัญที่สุดในชีวิตของโจโฉ และที่โจโฉชนะอ้วนเสี้ยวได้นั้นมี สองประการ ประการแรก เพราะโจโฉฉลาดในการวางแผน ประการที่สอง เพราะโจโฉเก่งกาจในการใช้คน
ดังนั้นการใช้คน จึงมีความสำคัญมากมายนัก และหลักการใช้คนนี้ก็มีอยู่ หลักการที่ว่า ใช้คนแบบไหน และ ใช้อย่างไร โดยในตอนนี้เราจะพูดถึง การใช้คนแบบไหนก่อน
หากเปรียบเทียบการใช้คนของอ้วนเสี้ยวกับโจโฉแล้ว แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าอ้วนเสี้ยวคนนี้จะเข้าใจในหลักการว่า การจะสำเร็จภาระกิจผู้นำได้นั้น ต้องรู้จักใช้คนให้เป็นเสียก่อน และอันที่จริงอ้วนเสี้ยวตั้งแต่เล็ก ๆ ก็ชอบคบหาคนมีความสามารถอยู่แล้ว โดยอ้วนเสี้ยวนั้น อาศัยที่ครอบครัวตัวเองเป็น “สี่รุ่นสามเสนาบดี” ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงในวงสังคม จึงไม่แปลกที่อ้วนเสี้ยวที่เปรียบเหมือนกับคุณชายที่มีชื่อเสียงและผู้คนต่างก็อยากคบหาสมาคมด้วย ดังนั้นผู้คนต่างๆ มากหน้าหลายตาก็อยากจะเข้าหาอ้วนเสี้ยว เรียกได้ว่าแบบหัวกระไดไม่ทันได้แห้ง
ซึ่งวิธีการของอ้วนเสี้ยวนี้ อ.อี้จงเทียนแสดงความคิดเห็นว่า อ้วนเสี้ยวนั้น เลียนแบบ บรรดาคุณชายผู้มีชื่อในยุคจ้านกว๋อ โดยยุคจ้านกว๋อ มีคุณชายผู้ยิ่งใหญ่สี่คน
แคว้นฉี มี เมิ่งฉางจวิน
แคว้นเว่ย ซิ่นหลิงจวิน
แคว้นจ้าว ผิงหยวนจวิน
แคว้นฉู่ ชุนเซินจวิน
ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่ ก็เป็นแบบนี้ เป็นแบบที่อ้วนเสี้ยวทำ คือการ ดูแลแขกเหรื่อ มากมาย พบปะสังสรรพูดคุยกับผู้รู้ ผู้มีความสามารถ แต่ที่อ้วนเสี้ยวลอกเลียนนั้น เป็นการเรียนรู้แค่เปลือก ไม่ได้เข้าถึงแก่น โดยซุนฮก ที่ปรึกษาใหญ่ของโจโฉ มีคำอธิบายในตอนนี้ ว่า “อ้วนเสี้ยวใช้ชื่อตระกูล ปั้นแต่งว่าทรงภูมิ รวบรวมชื่อเสียง จึงดึงดูดพวกแสวงหาชื่อ เข้าหา” คือ อ้วนเสี้ยว ใช้ข้อได้เปรียบที่เป็น สี่รุ่นสามเสนาฯ ซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ในสังคม คบหาผู้คนมากมาย ทำตัวเป็นผู้ที่ชื่นชอบคนเก่ง เพื่อมาสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง และอ้วนเสี้ยวก็เลือกคบหาคนเฉพาะแต่ที่มีชื่อเสียง ไม่มีชื่อเสียงอ้วนเสี้ยวไม่คบ ไม่ต้อนรับ ทำแบบนี้เพื่อให้ดูสง่างาม ทำไปเพื่อเอาหน้า
จุดประสงค์ของอ้วนเสี้ยวนี้ เพื่อเสริมชื่อสร้างหน้าตา ยกระดับชื่อเสียงตัวเอง แต่ไม่ได้จริงใจในการหาสมัครพรรคพวก มาช่วยเหลือ ด้วยอ้วนเสี้ยวใจคอคับแคบอยู่แล้ว และเขาเชื่อว่า ในโลกนี้ไม่ใครฉลาดเกินกว่าเขา เขาจึงไม่จำเป็นต้องคบหาคนมากมาย มาช่วยเหลือ ขอแค่ให้โลกได้รับรู้ว่า ข้าอ้วนเสี้ยว ห้อมล้อมไปด้วยคนเก่งก็พอ และนี่คือการคบหาพรรคพวกของอ้วนเสี้ยว
ส่วนวิธีการของ โจโฉ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เรียกได้ว่า โจโฉนั้น มีความจริงใจ คาดหวังให้คนเก่ง มาช่วยงานเขา มากกว่าและวิธีการของโจโฉ เรียกว่า การจัดการความสัมพันธ์ทั้งห้า ได้อย่างเหมาะสม
ความสัมพันธ์แรก ชื่อเสียง กับ เนื้อแท้
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า คนมีชื่อเสียง กับ คนมีความสามารถ นั้นแตกต่างกัน มีชื่อเสียงอาจไม่มีความสามารถ และคนมีความสามารถใช่ว่าจะมีชื่อเสียง เขาอาจรักสันโดษ ใช้ชีวิตเงียบๆเรียบง่าย ดังนั้นในการรวบรวมคนมาช่วย จึงต้องแยกคนว่ามีชื่อเสียงหรือคนมีความสามารถ
โจโฉจึงใช้ยุทธวิธี ที่เรียกว่า ทั้งชื่อเสียงและความสามารถ เน้นย้ำที่เนื้องาน โดยแม้ว่าโจโฉจะรู้ดีว่าในยุคนี้ชื่อเสียงนั้นสำคัญมาก จะสำเร็จการใหญ่ได้จำเป็นต้องให้คนมากมายมาช่วย แต่เงื่อนไขของโจโฉนั้น นับได้ว่าต้นทุนทางการเมืองน้อยกว่าคนอื่น ด้วยว่าตัวเองเป็นหลานของขันที ชื่อเสียงในสังคมนั้นไม่ดี และเมื่อเทียบกับครอบครัวของอ้วนเสี้ยว ที่เป็น สี่รุ่นสามเสนาบดีแล้วนับว่าต่างกันอยู่มาก
ดังนั้นโจโฉก็อยากจะได้คนที่มีเกียรติ มีคุณธรรมในสังคมมาสนับสนุน แต่หากคนเหล่านี้ไม่มีความสามารถล่ะ โจโฉจึงจัดการเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องง่าย คนมีเกียรติ มีคุณธรรมเหล่านี้ หากช่วยงานได้ก็เป็นเรื่องดี แต่หากช่วยงานไม่ได้ ช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ งั้นก็แค่มาช่วยสร้างชื่อ หรือแค่ช่วยประดับบารมีก็พอ กับกลุ่มคนเหล่านี้โจโฉไม่ได้หวัง ที่จะให้มาช่วยงานนั้นงานนี้ได้จริงๆ และไม่ได้คาดหวังว่าจะซื่อสัตย์ภักดี ขอแค่สามารถช่วยส่งเสริมหน้าตาและไม่ประกาศตัวต่อต้าน ก็พอแล้ว
ดังนั้นโจโฉไม่ได้หลงไหลเชื่อใจคนมีชื่อเสียง และไม่นับถือชื่อเสียงจอมปลอม การจัดการกับคนเก่งของโจโฉ คือ “ไม่ใส่ใจชื่อจอมปลอม เน้นย้ำความเป็นจริง” ให้สำคัญกับ เนื้อแท้จริงๆ ของคน ไม่จำเป็นต้องมาจากตระกูลมีชื่อ ขอเพียงมีความสามารถ ยินดีเลี้ยงดู โจโฉจึงมองที่เนื้อแท้ความสามารถของคนมากกว่าชื่อเสียงจอมปลอม
แม้แต่เรื่องภายในครอบครัว โจโฉก็ไม่ได้เห็นถึงชื่อเสียงภายนอกมาก่อน เช่น เรื่องของ เปี้ยนฮูหยิน โดยหลังจาก ติงฮูหยิน ภรรยา หนีโจโฉไป โจโฉจึงให้อนุขึ้นเป็นฮูหยินแทน มีชื่อว่า “เปี้ยนซือ” ต่อมาจึงเรียกว่า “เปี้ยนฮูหยิน” ซึ่งเปี้ยนฮูหยินคนนี้ ชาติกำเนิดไม่ดี โตมาในตระกูลเต้นกินรำกิน
ในสมัยนั้นชาติกำเนิดแบบนี้ ฐานะในทางสังคมถือว่าอยู่ในชนชั้นที่ต่ำต้อยมาก ไม่มีหน้าตาในสังคมเท่าไร ซึ่งการที่จะเอาคนที่มีชาติกำเนิดในลักษณะนี้มาเป็นฮูหยินนั้นไม่ได้ ไม่เหมาะสม แต่โจโฉนั้นไม่สน ด้วยนางเปี้ยนซือนั้น แม้ชาติกำเนิดต่ำต้อย แต่นิสัยน้ำใจงดงามมาก อ่อนน้อมถ่อมตน ให้กำเนิดบุตรชาย สองคน คือ โจผีและโจสิด ต่อมาเมื่อโจผี ได้เป็นผู้สืบทอดต่อจากโจโฉ บรรดาผู้คนต่างๆ ยินดีต่อการรับตำแหน่งนี้ แต่เปี้ยนฮูหยินกลับกล่าวอย่างถ่อมตนว่า “ข้าสอนลูกแล้วเขาไม่กลายเป็นคนเลว นั้นถือเป็นบุญของเขา จะอ้างว่าข้ามีความดีความชอบได้อย่างไร”
และในการทำสงครามต่างๆ หลังจากโจโฉชนะศึกมาแล้ว หลายครั้งจะได้สินสงคราม ของมีค่ามากมาย จึงเป็นธรรมดาที่นำส่ิงของเหล่านี้มาให้ เปี้ยนฮูหยิน แต่โจโฉก็แปลกใจว่า ในทุกครั้งนางเปี้ยนฮูหยินกลับไม่เลือกของที่มีค่า มีราคาที่สุด จึงได้ไต่ถาม นางเปี้ยนฮูหยินตอบว่า “หากเลือกสิ่งที่ดีที่สุด คือ โลภมาก แต่หากเลือกสิ่งที่แย่ที่สุด คือ เสแสร้งจอมปลอม จึงได้เลือกแบบนี้” โจโฉจึงชื่นชมในตัวของเปี้ยนฮูหยินเป็นอย่างมาก ดังนั้นการจัดการคนความสัมพันธ์ข้อแรกของโจโฉนั้น จึงมุ่งเน้นไปที่เนื้อแท้ของคน ไม่เน้นชื่อเสียงจอมปลอม
ความสัมพันธ์ที่สอง คุณธรรม กับ ความสามารถ ในประวัติศาสตร์นั้น การจัดการความสัมพันธ์นี้ จะมีแนวคิดที่ว่า คุณธรรมต้องมาก่อนความสามารถเสมอ แต่โจโฉกลับใช้วิธีตรงกันข้าม แหวกแนว บุกเบิก ขัดแย้งกับธรรมเนียมเดิมที่เคยมีมา
ดังนั้นเพื่อรวบรวมคนมีความสามารถ โจโฉจึงออกประกาศว่า “ขอเพียงเป็นคนเก่ง ข้ายินดีอุ้มชู” ก็คือ ความสามารถมาก่อนคุณธรรม โดยเหตุผลของโจโฉนั้น มองว่า หากบ้านเมืองเป็นปกติสุขนั้น คุณธรรมต้องมาก่อนความสามารถเสมอ แต่ด้วยในตอนนี้เกิดกลียุค จึงไม่สามารถยึดตามแนวทางนี้ได้ “ยามสงบจึงถือคุณธรรม แต่ยามวุ่นวายนั้นให้ถือความสามารถ” ดังนั้น คุณธรรม และ ความสามารถ โจโฉใช้หลัก “ขอให้เก่ง ยินดีอุ้มชู”
ความสัมพันธ์ที่สาม ความซื่อสัตย์ กับ ละโมบ คือ เน้นใช้ขุนนางมือสะอาจ ไม่ใยดีกับความโลภเล็กน้อย เช่น ครั้งนึง คนงานชื่อ ติงเผย ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นเพื่อนบ้านของโจโฉ ซึ่งเป็นคนจำพวกเห็นแก่ประโยชน์เล็กๆน้อยๆ พอมาเข้ารับราชการกับโจโฉ ทำหน้าที่ดูแลปศุสัตว์ เลี้ยงวัว โดยติงเผย ได้เอาวัวที่ผอมแห้งมาสลับกับวัวของทางราชการ เพื่อหาประโยชน์ในกับตนเอง
ต่อมาถูกจับได้ จึงโดนไล่ออก โจโฉจึงถาม ติงเผย ว่า แล้วตราประจำตำแหน่งล่ะไปอยู่ที่ไหน ติงเผย กลับตอบว่า ขายแลกเอาเงินไปแล้ว มอกายที่ปรึกษาจึงเสนอให้ลงโทษ ติงเผย สถานหนัก แต่โจโฉบอกว่า ช่างเถอะ ติงเผยผู้นี้ เหมือนแมวจับหนูเก่ง แต่มักชอบขโมยของ ลงโทษไปก็เท่านั้น เก็บไว้ใช้ประโยชน์ในวันข้างหน้าจะดีกว่า ดังนั้นวิธีการของโจโฉ แม้จะเน้นใช้ขุนนางมือสะอาด แต่ก็ไม่สนใจกับความผิดเล็กๆน้อยๆ
ความสัมพันธ์ที่สี่ ภักดี กับ ทรยศ ภักดี คือ คนที่สวามิภักดิ์ด้วย ทรยศ คือ คนที่ทรยศหักหลัง ดังนั้นการดึงกลุ่มคนที่เตยเป็นศัตรูมาก่อนเข้าเป็นพวก โจโฉจะไม่พูดถึงเรื่องทรยศในความหลังในอดีตเลยแม้แต่น้อย อย่างเช่น เตียวสิ้ว แม้การพ่ายแพ้ต่อเตียวสิ้วครั้งนั้น จะสูญเสีย เตียนอุย องครักษ์คนสนิท โจอันบินผู้เป็นหลาน และโจงั่งบุตรชายคนโตก็ตาม โจโฉกลับต้อนรับเตียวสิ้วเป็นอย่างดี ไม่พูดถึงความหลังซักคำ แม้แต่คนอย่างลิโป้ โจโฉเองก็อยากจะได้ ด้วยที่ลิโป้นั้นในเชิงการรบ ถือได้ว่าหาใครเทียบได้ยาก แต่พอเล่าปี่กระซิบข้างหูว่า "ท่านไม่เห็นเตงหงวนกับตั๋งโต๊ะเหรอ" โจโฉถึงกับคิดได้เปลี่ยนใจประหารลิโป้แทน
ความสัมพันธ์ที่ห้า ใหญ่ กับ เล็ก คือ ยึดถือในเรื่องใหญ่ ไม่ใส่ใจกับเรื่องรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ตัวอย่างเช่น เรื่องของบุนเพ็ง เมื่อครั้งเล่าจ๋อง ยอมแพ้ต่อโจโฉ บุนเพ็งนั้นไม่ได้มารายงานตัวตามที่กำหนด เหมือนคนอื่น
ต่อมาเมื่อโจโฉได้พบกับบุนเพ็ง จึงสอบถามเหตุผล บุนเพ็ง กล่าวว่า “ท่านโจโฉ เดิมทีข้าน้อย ติดตามท่านหลิวจิงโจว (ก็คือเล่าเปียวแห่งเกงจิ๋ว) เดิมทีติดตามท่านเล่าเปียวมารับใช้ชาติ แต่สถานะการณ์มาถึงจุดนี้ ข้าละอายใจยิ่งนัก ดังนั้น ข้าทำได้แค่รักษาพื้นที่ ที่ตัวเองรับผิดชอบตรงนี้ไว้ เพื่อจะได้ไม่รู้สึกอับอายต่อผู้ที่อยู่ในยมโลก ก็คือท่านเล่าเปียว และไม่อับอายต่อผู้ที่ท่านฝากฝังข้าให้ดูแล ก็คือ เล่าจ๋อง ดังนั้นข้าจะมีหน้าพบใครได้อย่างไร” พูดจบ บุนเพ็งถึงกับร้องไห้ และโจโฉได้ยินอย่างนั้นก็อดที่จะร้องไห้ตามไม่ได้ โจโฉแต่งตั้งให้บุนเพ็ง เป็นเจ้าเมือง เจียงเซี่ย ซึ่งต่อมาเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ ให้กับโจโฉ โดยบุนเพ็งนั้นสามารถต้านทัพกวนอู และตีซุนกวนแตกพ่าย ดังนั้นด้วยโจโฉเลือกบุนเพ็งจากภาพรวม มองเห็นถึงความภักดี ไม่สนใจกับเรื่องความผิดเล็กๆน้อยๆ
อ.อี้จงเทียนสรุปตอนท้ายนี้ว่า โจโฉนั้นเข้าใจดีในหลักการที่ว่า คนเรานั้นย่อมแตกต่าง หลากหลาย มากมายสีสัน ไม่มีใครบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดังนั้นด้วยวิธีการเหล่านี้ โจโฉจึงสามารถรวบรวมคนมีความสามารถไว้ได้ ทำให้โจโฉนั้นยิ่งใหญ่เหนือทั่วไป ก็คือ คนดีข้าก็ต้องการ คนถ่อยข้าก็ใช้ โดยเลือกที่จะใช้จุดเด่นของแต่ละคน ขอแค่ไม่ผิดในหลักการ ไม่ผิดในพื้นฐาน ส่วนปัญหาต่างๆในชีวิต ปัญหาเรื่องพฤติกรรม ปัญหาบุคคลิกภาพ ปัญหาคำพูดคำจา ยินดีหลับตาข้างนึงให้ ยินดีมองข้ามไม่ใส่ใจ
ดังนั้น โจโฉคนนี้จึงเปรียบได้เหมือนดั่งกับทะเล ที่สามารถรับน้ำได้หลายร้อยสาย ทั่วทุกสาระทิศ ทั่วทั้งดินแดน รับทั้งน้ำเสียและน้ำดีบริสุทธิ์ หรือแม้แต่หินกรวดดินทราย ทั้งหมดทั้งหลายมารวมกันไว้ได้ในทะเล จึงกล่าวได้ว่า “ทะเลรับน้ำร้อยสาย เพราะรวมได้จึงยิ่งใหญ่” และนี่คือ โจโฉ ผู้ยิ่งใหญ่
ในตอนหน้า เราจะพูดถึงว่า เหตุใด โจโฉเก่งกาจฉลาดใช้คนจนทำให้ยิ่งใหญ่ได้อย่างนี้ กับ EP12 ใต้หล่าสวามิภักดิ์
โฆษณา