17 ก.ย. 2019 เวลา 03:16
EP 12 ใต้หล่าสวามิภักดิ์ (นายอย่างโจโฉ)
เนื้อหายาวไป มีลิ้งคลิปเสียงเล่าให้ฟังครับ
ในตอนที่แล้วเราพูดถึงการใช้คนของโจโฉว่าใช้แบบไหน ในตอนนี้เราจะพูดถึงว่าโจโฉนั้นใช้คนอย่างไร โดยเริ่มต้นที่กุยแก ๆ คือหนึ่งในห้าที่ปรึกษาคนสำคัญของโจโฉโดยกุยแกนั้นแต่เดิมที่รับราชการกับอ้วนเสี้ยวแต่มองแล้วว่าอ้วนเสี้ยวนั้น ไม่เหมาะจะเป็นนายที่ดีจึงมาเข้าร่วมกับโจโฉ ตามคำเชื้อเชิญของ ซุนฮก
อ.อี้จงเทียน อธิบายถึงเหตุของการตีจากอ้วนเสี้ยวและมาอยู่กับโจโฉไว้ 3 ประการ คือ
ประการแรก คือ กุยแกนั้นมีความคิดและให้ความสำคัญกับการเรื่องนาย เพราะหากเลือกผิดแล้ว แผนการณ์ ความรู้ ยุทธวิธีต่างๆ ที่อยู่ในหัว ก็คงไม่มีโอกาสได้ใช้ แต่หากเลือกนายได้ถูกต้อง ก็จะมีโอกาสได้แสดงความสามารถและสร้างชื่อเสียงให้ยิ่งใหญ่ได้
ประการที่สอง กุยแกมองว่าอ้วนเสี้ยวนั้น ไม่ใช่นายที่ดี อ้วนเสี้ยวเลียนแบบ วิธีการต่างๆ ในต้อนรับผู้รู้ ผู้มีความสามารถ ของคนสำคัญในอดีต แต่ไม่มีความเข้าใจถึงแก่นแท้ และอ้วนเสี้ยวก็ไม่ได้มีความจริงใจในการต้อนรับจริงๆ จึงนับได้ว่าการกระทำของอ้วนเสี้ยวที่แสดงออกมานั้นไม่เชื่อถือได้ และอ้วนเสี้ยวก็มีปัญหาด้านอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้นอ้วนเสี้ยวจึงไม่ใช่นายที่ดี
ประการที่สาม สั้นๆ ก็คือ กุยแกว่าโจโฉนั้น คือนายที่ดี
ดังนั้น นายที่ดี อย่างโจโฉนั้น เป็นอย่างไร อ.อี้จงเทียน วิเคราะห์ เพิ่มเติมว่า
ข้อแรก โจโฉ “รู้จักใช้คนและใช้ตามความสามารถ” แต่ก่อนอื่น การรู้จักใช้คนนั้น ต้องแยกออกเป็นสามอย่างก่อน คือ
หนึ่ง รู้ว่าคนไหนนั้น ที่มีความสามารถ
สอง รู้ว่าคนที่มีความสามารถนั้น มีความสามารถด้านไหน
สาม รู้ว่าจะใช้คนนั้น ใช้อย่างไร ในตำแหน่งใด จึงจะเหมาะสม
ตัวอย่างเช่น มอกาย กับยุทธศาสตร์ “ถุนเถียน” โจโฉนั้นมอบหมายให้มอกายดูแลในเรื่องนี้ และความสำเร็จในการเลือกใช้คนในครั้งนี้ของโจโฉ มอกายสามารถเพิ่มพูนเสบียงแก่กองทัพของโจโฉ ให้เพียบพร้อมและสมบูรณ์ อีกทั้งทำให้เศษฐกิจมีมั่นคงและมั่งคั่ง จึงทำสามารถสร้างความเข็มแข็งให้กับกองทัพจนประกาศตัว และใ้ช่นโยบายเชิดชูฮ่องเต้ได้ และนี่คือหนึ่งในความสำเร็จจากการ รู้จักใช้คน ใช้ตามความสามารถ ของโจโฉ
ข้อสอง “จริงใจ เชื่อใจ ใช้คนไม่ระแวง” โดยเรื่องนี้เป็นหลักการณ์ทั่วๆไป แต่กับโจโฉนั้น จะมีความเฉพาะตัวแตกต่างจากคนอื่นอยู่นิดหน่อย
ก็คือโจโฉนั้นอยู่ในช่วงกลียุค ช่วงนี้มีลักษณะพิเศษ ตรงที่ใจคนนั้นว้าวุ่น ไม่มั่นคง คนแต่ละคนขาดความเชื่อใจจริงใจต่อกัน และคนใต้บังคับบัญชาของโจโฉนั้นมีหลากหลาย มีทั้งที่สวามิภักดิ์ ยอมจำนน คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ เป็นกลุ่มคนที่ เดิมทีเคยเป็นศัตรูกับโจโฉมาทั้งนั้น ดังนั้นในบรรดากลุ่มคนเหล่านี้ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความระแวงซึ่งกันและกัน และเมื่อสภาพการณ์เป็นแบบนี้ ในฐานะการเป็นผู้นำของโจโฉจึงจำเป็นต้องแสดงถึงความจริงใจ และเชื่อใจออกมาให้เห็นเป็นที่ประจักษ์
ตัวอย่างเช่นเรื่องของ “ความจริงใจ เชื่อใจ” ก็คือเตียวสิ้ว แม้ว่าเตียวสิ้วจะหักหลังโจโฉมาก่อน แต่เมื่อกลับมาสวามิภักดิ์ต่อโจโฉอีกครั้ง โจโฉ กลับแสดงความนอบน้อมจริงใจ ไม่ถือสาเอาโทษ ไม่คิดเล็กคิดน้อย เลยซักนิด เพื่อแลกกับความภักดีของเตียวสิ้ว
และ “การใช้คนไม่ระแวง” ตัวอย่างก็คือ อิกิ๋ม เมื่อครั้งพ่ายแพ้ต่อเตียวสิ้ว ตอนนั้นกองทัพต่างๆ ของโจโฉนั้น ต่างสับสนวุ่นวาย มีเพียงกองทัพของ อิกิ๋ม เท่านั้นที่ตั้งมั่นเป็นปกติ ในระหว่างถอยทัพอยู่นั้น ทัพชิงโจว ที่เดิมที เป็นกลุ่มโจรโพกผ้าเหลือง ที่ยอมจำนนมาเข้าร่วมกับโจโฉ เห็นถึงความพ่ายแพ้ของโจโฉในครั้งนั้น จึงฉวยโอกาส ซ้ำเติมเข้าปล้นกองทัพอื่นๆของโจโฉ อิกิ๋มเห็นอย่างนั้นทนไม่ได้ จึงเอากองทัพของตนเองเข้าปราบปราม แล้วจึงถอยล่นอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ตามคำสั่ง
ต่อมาทัพชิงโจวที่พ่ายแพ้ต่ออิกิ๋ม จึงไปฟ้องให้ร้ายอิกิ๋มต่อโจโฉ ว่าอิกิ๋มนั้นไม่ถอยทัพตามคำสั่ง และเมื่อมีทหารมารายงานเรื่องการให้ร้ายต่ออิกิ๋ม อิกิ๋มกลับตอบว่า “ส่วนรวมนั้นต้องมาก่อน ต้องจัดทัพตั้งรับศัตรู หากไม่ตระเตรียม จะรับศึกได้อย่างไร ส่วนเรื่องการให้ร้ายข้านั้น ท่านโจโฉปรีชาสามารถมาก ข้าไม่คิดว่าจะเชื่อคำให้ร้ายนี้หรอก” ต่อมาเมือ่อิกิ๋มเข้าพบโจโฉ โจโฉชื่นชมอิกิ๋มเป็นอย่างมาก และนี่ก็คือความเชื่อใจที่
แลกกับความภักดี ของโจโฉ
ข้อสาม “คำสั่งกฏเกณฑ์ คุณโทษชัดเจน” โจโฉนั้นเข้มงวดมาก ซึ่งโจโฉรู้ดีว่า กองทัพที่ไร้วินัยนั้น ไม่สามารถเอาชนะ ศัตรูได้ และโจโฉก็ยังทำเป็นตัวอย่างอีกด้วย ครั้งนึง ในการเคลื่อนทัพ โจโฉ ออกคำสั่งห้ามเหยียบย่ำท้องนาของชาวบ้าน หากทำผิดโทษถึงตัดหัว แต่ปรากฏว่า ม้าของโจโฉตื่น เกิดพยศ เหยียบย่ำนาข้าวซะเอง ดังนั้นโจโฉ จึงแจ้งให้นายทัพลงโทษตัดหัวตัวเอง แต่นายทัพปฏิเสธ โจโฉเลยเลือกตัดผมแทน
ซึ่งเรื่องนี้มีบันทึกไว้ใน บันทึกประวัติเฉาหม่าน (โจโฉ) ซึ่งในบันทึกนั้นมองว่า โจโฉนั่นหลอกลวง แกมโกง ว่าหากคนอื่นเหยียบย่ำนาข้าวแล้วให้ตัดหัว แต่พอตัวเองกลับตัดผมแทน
อ.อี้จงเทียน อธิบายตอนนี้ว่า ที่จริงแล้วไม่ใช่ ในตอนนั้นถือว่าเป็นการลงโทษโจโฉแล้ว การลงโทษครั้งนี้ เรียกว่า “คุ่น” คนโบราณถือว่า ร่างกาย ผิว ผม สิ่งเหล่านี้นั้น ได้มาจากพ่อแม่ จะเอาทิ้งไม่ได้ ดังนั้นวิธี “คุ่น” นี้ จึงถือได้ว่าเป็นการประจานโจโฉและเป็นการรับโทษของโจโฉแล้ว
ข้อสี่ “จิตใจเปิดกว้าง ยกคนเก่งเหนือกว่าตน” โจโฉนั้น ไม่เคยแย่งความดีความชอบจากลูกน้อง แต่ถ้าหากเป็นความผิดพลาดแล้ว โจโฉนั้นจะพิจารณาตัวเอง
ครั้งนึงเมื่อโจโฉรบกับซุนกวน เจียงจี้ แนะนำว่า “การที่โจโฉสั่งให้ชาวบ้านที่ไหวหนาน ให้อพยบขึ้นเหนือมาด้วยนั้นไม่ได้ โดยครั้งนี้ ไม่เหมือน เมื่อครั้งที่ กัวต๋อ ที่ให้ชาวบ้านจาก ป๋ายหม่า มาที่เหยียนจิน เพราะชาวบ้านไหวหนานเหล่านี้ต่างห่วงบ้าน จึงไม่คิดจะย้ายตามมาแน่” แต่โจโฉไม่ฟัง ผลที่ได้คือ แทนที่ชาวบ้านไหวหนานจะย้ายขึ้นเหนือ กลับหนีไปอยู่กับซุนกวนแทน
ดังนั้นต่อมา เมื่อ เจี่ยงจี้ เข้าพบโจโฉ โจโฉรีบออกไปต้อนรับ และกล่าวกับ เจี่ยงจี้ว่า เดิมทีอยากให้ชาวบ้าน หนีจากไอ้โจรซุนกวน ไปๆมาๆ ชาวบ้านกลับไปอยู่กับมันซะนี่ ดูสิไม่รู้ ข้าทำอะไรลงไป พูดไปก็หัวเราะไป ดังนั้นการพิจารณาตัวเองนั้น จึงไม่จำเป็นจะต้องร้องไห้อย่างเดียว การสำนึกผิดนั้น ทำได้หลายแบบ หลากหลายอารมณ์ โจโฉใช้วิธีหัวเราะกลบเกลื่อนแทน
อีกตัวอย่างในการแสดงจริงใจ ที่เปิดกว้างของโจโฉ ก็คือ เหตุการณ์หลังจากชนะอ้วนเสี้ยวที่กัวต๋อ พบจดหมายลับยอมจำนนเป็นจำนวนมาก แต่โจโฉกลับไม่แม้แต่จะแลดู และยังสั่งให้เผาทำลายทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่า
“แม้แต่ข้าเองก็ยังไม่คิดว่าจะเอาชนะอ้วนเสี้ยวได้ แล้วจะเอาอะไรกับคนอื่น”
โจโฉนั้นทำเรื่องนี้ได้ฉลาดมาก เมื่อสถานการณ์เป็นรองอย่างนี้ ต้องมีคนจำนวนไม่น้อยที่ติดต่อกับอ้วนเสี้ยว จึงไม่สามารถจัดคนเหล่านั้นได้ทั้งหมด ดังนั้นเมื่อจัดการทั้งหมดไม่ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องจัดการเลยดีกว่า ไม่ใช่แค่ไม่จัดการเท่านั้น ไม่ขอดู ไม่ขอจำ และไม่ต้องมีใครรู้ จึงสั่งเผาต่อหน้าต่อตาทุกคน ให้ทุกคนไม่ต้องระแวงอีกต่อไป ขอแค่ภายหน้าซื่อสัตย์ภักดี ที่แล้วมาไม่รู้ ไม่ใส่ใจทั้งนั้น นี่คือการแสดงถึงความจริงใจที่เปิดกว้างที่สุดแล้ว
โจโฉนั้น เรียกได้ว่า มองทะลุจิตใจและสันดานคน โจโฉรู้ดีว่า ท่ามกลางการสู้รบทางการเมืองอันแสนวุ่นวายนี้ บางครั้งจำเป็นต้องแกล้งโง่บ้าง ดังนั้น
“แกล้งโง่เป็น ถึงได้ใจกว้างกับคนอื่น ใจกว้างกับคนอื่น จึงจะได้ใจคน ได้ใจคน จึงได้แผ่นดิน” ในตอนหน้า แม้ว่าอ้วนเสี้ยวจะวางมาดโอหังและอ้วนสุดจะหยิ่งผยองพองขนขนาดไหน ต่างก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของโจโฉทั้งสิ้น แต่คนที่อยู่ในสายตาของโจโฉนั้น กลับเป็นคนที่เคยขายรองเท้าฟางมาก่อน จนโจโฉถึงขนาดเอ่ยปากว่า “จอมคนในแผ่นดินตอนนี้ มีเพียงท่านกับข้าเท่านั้น” กับ EP 13 ​“อุ่นสุราเหมยเขียว”
โฆษณา