8 ก.ย. 2019 เวลา 14:15 • ไลฟ์สไตล์
#ชีวิต101 ตอนที่ 5
วันที่ 3 พฤศจิกายน 2561
วันนี้ผมตื่นเช้ามาดูดวงอาทิตย์ขึ้นพร้อมกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ
ดวงอาทิตย์ที่เคยขึ้นทุกวันในมุมที่แตกต่าง
ผมทำการต้มน้ำร้อนชงกาแฟทาน พร้อมขนมปังที่พกมาเป็นอาหารเช้า
ต้มน้ำร้อน
เป็นช่วงเวลาที่บอกไม่ถูก ผมนั่งเงียบๆจิบกาแฟ
ไม่มีคำพูดใดออกจากผม นั่งดูดวงอาทิตย์ไปเรื่อยๆ
ดูแดดที่มันกำลังสาดส่องยอดเขาแต่ละลูก
สักพักผมก็พยุงตัวเองที่ยังเจ็บข้อเท้าลุกยืนขึ้น
เพื่อที่จะไปหาที่ถ่ายรูปเพื่อเก็บบรรยากาศและความทรงจำไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
นักท่องเที่ยวทะยอยขึ้นมาชมวิวยามเช้า
วานพี่ๆแถวนั้นถ่ายรูปให้
มองเต๊นไกลๆ
ถ่ายรูปผู้มีพระคุณ
ความเจ็บยังไม่ทำเนา แต่ก็ด้วยความอยากถ่ายรูปเราก็เดินกะเพกๆไปเรื่อย ถ้าร่างกายมันด่าได้ มันคงด่าเรายับเลยละ ที่ไม่ทะนุทะนอมมันเลย
พอสายๆผมก็เก็บอุปกรณ์ เก็บเต๊น แล้วเดินทางไปต่อที่หมู่บ้านปิล๊อกด้านล่าง
จุดประสานสัมพันธ์ไมตรี ไทย-เมียนมาร์
ผมขับมาจนถึงจุดประสานสัมพันธ์ไมตรี ไทย-เมียนมาร์ ผมเห็นเนินเสาธงข้างบนก็เลยถามแม่ค้าแถวนั้นว่ามีทางรถขึ้นมั๊ย แม่ค้าบอกว่าไม่มี ผมก็เลยอดขึ้น เพราะมีแต่บันไดให้เดินขึ้นเท่านั้น ร่างกายผมไม่ไหวที่จะเดินขึ้น ผมก็เลยตัดใจและก็จะกลับ แต่ทีนี้ผมเห็นมีทางให้ขับรถไปข้างหน้าต่อได้
ผมก็เลยลองขี่มอเตอร์ไซไปตามทาง โดยไม่แน่ใจว่าเป็นฝั่งไทยหรือป่าว
ช่องทางมิตรภาพ สุดเขตประเทศไทย
จนผมมาเจอป้าย ช่องทางมิตรภาพ สุดเขตประเทศไทย ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมก็เลยหาพี่ๆ ตชด.ที่อยู่แถวนั้น แล้วสอบถามว่าเดินเข้าไปได้มั๊ย เจ้าหน้าที่บอกเข้าไปได้ ไปชมวิวฝั่งนู้น แต่ไม่ต้องเข้าไปไกลมาก
ทิวทัศน์ฝั่งเมีนมาร์
ผมก็เลยเดินเข้าไป จนเจอจุดทางลงเป็นถนนเล็กๆทอดยาวออกไปตามภูเขา มองเห็นเป็นเส้นยาวคดเคี้ยวเหมือนงู และเจอป้ายต่างๆมากมายที่ผมอ่านไม่ออก แต่ก็รู้ว่านี่คืออีกด้านของช่องเขาฝั่งพม่าแล้ว
จากนั้นผมก็เดินทางกลับไปที่รถแล้วขับกลับไปที่ ปิล๊อก
โดยขามาผมสังเกตว่ามี รพ.สต.ปิล๊อกอยู่ ผมก็เลยกะว่าจะเข้าไปให้หมอดูอาการซะหน่อย
รพ.สต.ปิล๊อก
พอมาถึงผมก็เดินเข้าไปแต่ไม่เห็นมีใครอยู่
ก็เลยถามพี่ที่ดูแลสวนว่าหมออยู่มั๊ยครับ
พี่เค้าบอกว่าอยู่ครับ เดี๋ยวไปตามให้
จากนั้นผมก็นั่งรอ สักพักหมอก็มา
เป็นหมอผู้หญิงคนหนึ่ง ดูน่ารักดีนะผมว่า
พอหมอมาผมก็พูดคุยบอกอาการไป
หมอเค้าเลยขอดูข้อเท้า ทีนี้หมอก็เตรียมยาทาและผ้าพันมา
ตอนแรกหมอจะทายาให้แต่ผมเกรงใจก็เลยขอทาเอง
จากนั้นหมอก็พันผ้าที่ข้อเท้าให้จนเรียบร้อย
ข้อเท้าที่บวมเป๋ง
พอเสร็จแล้วผมก็ขอบคุณหมอและถามว่าค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ครับ
หมอบอกแล้วแต่จะให้และชี้ไปที่กล่องบริจาค
เรียบร้อยทุกอย่างแล้วผมก็เดินออกมาระเบียงด้านหน้า
และนั่งลงที่ระเบียง เพื่อที่จะเตรียมใส่ถุงเท้ารองเท้า
แล้วก็นั่งมองขาตัวเอง คิดในใจว่าการเดินทางเราคงแย่ไม่น้อย
ถ้าต้องลากสังขารที่ไม่สู้ดีเดินทางต่อ เพราะมันเจ็บจริงๆ
1
สังสัยหมอจะมองออกมา เหมือนหมอจะอ่านสีหน้าผมออก
เลยทักมาว่า กังวลอะไรหรือป่าวคะ
ผมเลยตอบว่าพอดีผมต้องเดินทางขึ้นเหนือ ยังอีกไกล
หมอเลยบอกว่า ถ้างั้นต้องพักก่อนสองสามวัน(ที่รพ.เค้าเปิดลานให้กางเต๊นด้วย) ไม่ก็ค่อยๆขับไป พักเรื่อยๆไม่ลงน้ำหนักเท้าที่เจ็บ หลีกเลี่ยงการเดิน
ผมก็ได้แต่ตอบว่าครับ จากนั้นผมก็ขับรถลงไปที่หมู่บ้านปิล๊อกอีกครั้งเพื่อหากาแฟทาน ระหว่างทานกาแฟผมก็นั่งคิดว่าจะเอาไงดี
หรือจานอนพักกางเต๊นที่ รพ.ปิล๊อก พักก่อน และรู้สึกอยากจะเจอหมออีก ^__^ ผมก็ได้แต่คิดขำๆคนเดียว ตามประสาคนพเนจร
แต่ก็ด้วยได้บอกกับลุงจ่าที่ท่าแพไว้แล้วว่าจะกลับไปวันนี้
และก็ด้วยผมต้องเดินทางอีกไกล ยังมีอะไรอีกเยอะที่เราต้องไปเจอ
ผมก็เลยตัดสินใจขับรถกลับไปที่เพิงพักลุงจ่า ที่ผมได้ฝากของเอาไว้ที่ทองผาภูมิ พอกลับมาถึงที่ท่าแพ ผมก็คุยกับลุงจ่า
พอลุงจ่าแกรู้ว่าผมเจ็บขวา ลุงจ่าก็เลยบอกว่าพักต่อที่นี่
ขนของขึ้นไปอยู่บนแพได้เลย ขึ้นไปทำความสะอาดอยู่นานๆก็ได้
ผมรู้สึกขอบคุณลุงจ่ามากที่มีน้ำใจให้กับผมครั้งนี้
แพลุงจ่า
ผมก็ขนสัมภาระไป โดยใช้เรือพ่ายลำเลียงไปไว้ที่แพ
ผมก็คิดในใจพร้อมกับความรู้สึกที่อัศจรรย์ใจมาก
ที่เมื่อวานเราพึ่งคิดว่าตัวเองโชคร้ายแท้ๆ
แต่วันนี้กลับได้รับสิ่งดีๆขนาดนี้
ใครจะไปรู้ละว่าชีวิตคนเราจะเจออะไรบ้าง
เราก็แค่เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมเสมอ คงทำได้แค่นั้น
เก็บกวาดเตรียมพื้นที่นอนในแพ
วันนี้ผมได้ที่พักใหม่ ไม่ต้องกางเต๊น
มีที่อาบน้ำเป็นเขื่อน ผมก็อดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปเก็บไว้
โดยตั้งกล้องถ่ายรูป ก่อนที่จะกระโดดอาบน้ำคนเดียวอยู่ที่แพ
มีที่อ่างอาบน้ำเป็นเขื่อนทั้งใบ
การมีชีวิตอยู่เป็นสิ่งมหัศจรรย์จริงๆสำหรับผม

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา