14 ก.ย. 2019 เวลา 05:10 • ประวัติศาสตร์
พุทธประวัติ​ ตอนที่​ 11
พระ​นางยโสธรา (พิมพา) เทวีแก้วคู่บารมี
เมื่อมหาปราสาทได้ถูกสร้างสำเร็จทั้ง 3 องค์แล้ว...
พระเจ้า​สุทโธ​ท​นะ​ราชาจึงทรงดำริว่า : เวลานี้โอรสของเราเจริญวัยแล้ว เหมาะสมแก่กาลแล้ว ตัวเราจักให้ยกเศวตฉัตรขึ้นเพื่อเขา แล้วจักคอยดูสิริราชสมบัติของสิทถัตถกุมาร
พระองค์จึงทรงส่งพระราชสาส์นไปถึงเจ้าศากยะทั้งหลายว่า โอรสของหม่อมฉันบัดนี้เจริญวัยแล้ว หม่อมฉันจักสถาปนาเขาไว้ในราชสมบัติ ขอเจ้าศากยะทั้งปวงโปรดส่งเจ้าหญิงพระธิดาผู้เจริญวัยในวังของตน มายังราชมณเฑียรของเจ้าชายสิทธัตถราชกุมารเรานี้เถิด
เมื่อเจ้าศากยะเหล่านั้นได้รับพระราชสาส์นแล้ว ต่างทรงดำริปรึกษากันว่า
"อันพระกุมารสมบูรณ์ด้วยพระรูปน่าทัศนาเท่านั้น แต่ว่าไม่ทรงรู้ศิลปะอะไรๆ เลย จักมิสามารถเลี้ยงดู
พระวรชายาได้หรอก"
เช่นนั้น พวกเราจักไม่ยอมยกลูกสาวของเราทั้งหลายให้เป็นแน่แท้
เมื่อข่าวการพูดคุยของเหล่าศากยะ
ทั้งหลายได้แพร่มาถึง...
พระเจ้า​สุทโธ​ท​นะ​องค์ราชา
***ทำให้ท่านรีบเสด็จไปยังสำนักพระราชโอรสแล้วจึงตรัสบอกเล่ากล่าวเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด***
พระเจ้า​สุทโธ​ท​นะตรัสบอก :
"สิทธัตถะลูกรัก พ่อนั้นได้แจ้งข่าวเรื่องการที่จะขอเหล่าพระราชธิดา
เพื่อให้มาเป็นพระเทวีให้แก่ลูกนั้น
บรรดา​เหล่าศากยะทั้งหลาย ต่างพากันเห็นเพียงแค่ว่า ลูกนั้นมีแต่รูปที่งดงามเท่านั้น หาได้มีความสามารถใดๆเลย ในแบบที่กษัตริย์พึงมี เช่นนี้แล้วจักปกป้องเหล่าพระธิดาของเขาได้อย่างไร เพราะแบบนี้เอง จึงมิมีศากยะท่านไหนเลยที่จักยกพระราชธิดาให้แก่ลูก"
เจ้าชายสิทธัตถะกราบทูลว่าตอบว่า :
"ข้าแต่พระบิดา เช่นนั้นหม่อมฉันควรจะแสดงศิลปะอย่างไรเล่าจึงจักเป็นที่สมควรแก่เหล่ากษัตริย์ ?"
พระเจ้า​สุทโธ​ท​นะตรัสบอก :
สิทถัตธะลูกรัก...
ลูกควรแสดงศิลปวิชาในการยก
*สหัสสถามธนู* ขึ้นนะลูก
(*ธนูที่หนักมากและต้องใช้แรงคนถึง 1,000 คนจึงจะยกได้)
เจ้าชายสิทธัตถะกราบทูลว่าตอบว่า :
"ข้าแต่พระบิดาหากเป็นเช่นนั้นแล้ว ขอพระองค์จงประกาศไปให้ทราบโดยทั่วกันว่า "ในอีก 7 วัน สิทธัตถราชกุมารจักแสดงศิลปวิทยา​ให้เหล่าศากยะพระประยูรญาติทั้งหลายได้ชม"
และแล้วเวลาก็ผ่านล่วงเลยมาจนครบกำหนด 7 วัน
พระเจ้า​สุทโธ​ท​นะ​ทรงรับสั่งให้จัดเตรียมสถานที่การแสดงขึ้นภายในพระนคร ครั้นเมื่อถึงวันเวลาที่กำหนดแล้ว จึงเริ่มพิธีการแสดงศิลปของเจ้าชายสิทธัตถะขึ้น!!!
พระเจ้า​สุทโธ​ท​นะ...
จึงรับสั่งให้นำสหัสสถามธนู มาให้พระราชโอรสในบริเวณลานพิธี
สหัสสถามธนูนั้น ต้องใช้กำลังคน 1,000 คนยกขึ้น และใช้กำลังคน 1,000 คนยกลง
เมื่อ​ทหาร​ได้อันเชิญธนูนั้นมาถวายแก่พระราชโอรสแล้ว
***เจ้าชายสิทธัตถจึงทรงนำธนูมาถือไว้แล้ว ก็ทรงประทับนั่งบนบัลลังก์***
จากนั้น...
พระ​องค์​ทรงเกี่ยวสายไว้ที่พระปาทังคุฏฐะ (นิ้วโป้งพระบาท) แล้วดึงมา ทรงเอาพระปาทังคุฏฐะ (นิ้วโป้งพระบาท) นั่นเองนำธนูมาแล้ว จับคันธนูด้วยพระหัตถ์ซ้าย (มือซ้าย)
จากนั้น...
ทรงเหนี่ยวสายมาด้วยพระหัตถ์ขวา (มือขวา) ทำให้เกิดเสียงสนั่นดังขึ้นทั่วทั้งพระนคร ถึงกับทำให้ชาวเมืองในกรุงกบิลพัสดุ์​ เกิดอาการตกตะลึงถึงเสียงที่ดังสนั่นนั้น และเมื่อมีใครถามว่า นั่นคือเสียงอะไรกันเล่า ?
เจ้าศากยะทั้งหลายก็ตอบกันว่า :
"คงจักเป็นเสียงของฟ้าฝนคำรามเสียกระมัง"
ใน​ทันใดนั้น​เอง เหล่าคนอีกพวกหนึ่งก็พากันตอบว่า :
"พวกท่านไม่รู้หรือ นี้ไม่ใช่เสียงฟ้าฝนคำรามหรอก แต่นั่นเป็นเสียงปล่อยสายธนูของพระราชกุมาร เผ่าอังคีรสผู้ทรงยกธนูที่ต้องใช้แรงคนถึง 1,000 คน แล้วทรงขึ้นสายต่างหากท่าน"
เจ้าศากยะทั้งหลายเมื่อได้เข้าใจเหตุที่มาของเสียงแล้ว ต่างก็มีพระทัยชื่นชมด้วยการแสดงศิลปของเจ้าชายสิทถัตถะ
ในลำดับนั้น...
เจ้าชายสิทถัตถะ จึงกราบทูลพระราชบิดาว่า :
"ข้าแต่พระบิดา หม่อมฉันควรจักทำอะไรอย่างอื่นอีกไหม ?"
พระเจ้า​สุทโธ​ท​นะ​ตรัสตอบ :
"ลูกควรเอาลูกศรยิงแผ่นเหล็กหนาประมาณ 8 นิ้วให้ทะลุเถิด"
>>> พระมหาบุรุษก็ทรงยิงทะลุแผ่นเหล็กนั้น แล้วกราบทูลว่า หม่อมฉันควรจะทำอะไรอย่างอื่นอีกไหม ?
พระเจ้า​สุทโธ​ท​นะ​ตรัสตอบ :
ลูกควรยิงแผ่นกระดานไม้ประดู่หนา 4 นิ้วให้ทะลุเถิด
>>> พระมหาบุรุษก็ทรงยิงทะลุแผ่นกระดานนั้น แล้วกราบทูลว่า หม่อมฉันควรจะทำอย่างไรอย่างอื่นอีกไหม?
พระเจ้า​สุทโธ​ท​นะ​ตรัสตอบ :
ลูกควรยิงแผ่นกระดานไม้มะเดื่อหนา 1 คีบให้ทะลุ​เถิด​
>>> พระมหาบุรุษก็ทรงยิงทะลุแผ่นกระดานไม้มะเดื่อนั้นแล้ว กราบทูลว่า หม่อมฉันควรจะทำอย่างอื่นอีกไหม?
พระเจ้า​สุทโธ​ท​นะ​ตรัสตอบ :
ลูกควรยิงแผ่นกระดานที่ผูกติดไว้ที่เครื่องยนต์ 100 แผ่นให้ทะลุ​เถิด​
>>> พระมหาบุรุษก็ทรงยิงทะลุแผ่นกระดาน 100 แผ่นนั้น
แล้วกราบทูลว่า หม่อมฉันควรจะทำอะไรอย่างอื่นอีกไหม?
พระเจ้า​สุทโธ​ท​นะ​ตรัสตอบ :
ลูกควรยิงหนังกระบือแห้งหนา 60 ชั้นให้ทะลุ​เถิด​
>>> พระมหาบุรุษก็ทรงยิงทะลุหนังกระบือแห้งแม้นั้น แล้วกราบทูลว่า หม่อมฉันควรทำอะไรอย่างอื่นอีกไหม?
ในลำดับนั้นเอง...
เจ้าศากยะทั้งหลายก็บอกให้พระองค์ ทรงยิงเกวียนบรรทุกทรายเถิด
>>> พระ​มหาบุรุษ​ก็ทรงยิงทะลุทั้งเกวียนบรรทุกทรายทั้งเกวียนบรรทุกฟางแล้ว ยิงลูกศรลงไปในน้ำลึกประมาณ 1 อุสภะ (25 วา หรือ 50 เมตร) และ ยิงขึ้นไปบนบกไกลประมาณ 8 อุสภะ (400 เมตร)
จากนั้น เจ้าศากยะทั้งหลายก็กราบทูลพระ​มหาบุรุษ​นั้นว่า บัดนี้ พระองค์ควรยิงขนทรายให้ทะลุ โดยมีมะเขือเป็นเครื่องหมาย
เจ้าชายสิทธัตถะ​จึงตรัสว่า :
ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายจงผูกผ้าถุงที่ใส่ทรายไว้ด้านใน
เจ้าศากยะทั้งหลายก็สั่งว่า พ่อทั้งหลาย พวกพ่อจงมาช่วยกันให้
ผูกผ้าถุงทราย
แล้วให้พนักงานนำไปมัดผูกไว้เป็นระยะต่างๆ ดังนี้
1. พวกหนึ่งจงผูกไว้ในระยะทางระหว่างเสียงกึกก้อง
2. พวกหนึ่งจงเดินทางล่วงหน้าไปผูกไว้ ในระยะทางคาวุตหนึ่ง (4 กม.)
3. พวกหนึ่งจงเดินทางล่วงหน้าไป ผูกไว้ในระยะทางกึ่งประโยชน์ (8 กม.)
4.พวกหนึ่งจงเดินทางล่วงหน้าไปผูกไว้ ในระยะทาง 1 โยชน์ (16 กม.)
และสุดท้ายพระ​มหาบุรุษ​ ทรงให้ผูกถุงทรายในระยะทางไกลประมาณ 1 โยชน์ โดยมีมะเขือเป็นเครื่องหมาย แล้วยิงลูกศรไปในทิศทั้งหลาย ซึ่งหนาแน่นด้วยแผ่นเมฆ ในยามราตรีที่มืดสนิท
ลูกศรที่พระองค์ทรงยิงนั้น ได้วิ่งไปผ่าถุงทรายในระยะทางไกลประมาณ 1 โยชน์ แล้วตกลงแทงทะลุแผ่นดินไป และไม่ใช่ว่ามีแต่การแสดงยิงลูกศรเพียงเท่านี้ อย่างเดียวเท่านั้น นี่เป็น​เพียงตัวอย่างในการแสดงศิลปวิทยาบางส่วนของพระ​มหาบุรุษ​นั้นเองครับ
และก็ในวันนั้นเอง...
พระ​มหาบุรุษ​ได้ทรงแสดงศิลปะที่มีอยู่ในโลกจนครบทุกประการ
จึงทำให้...
บรรดาเหล่าเจ้าศากยะทั้งหลายต่างพากันตกตลึงถึงพระปรีชาสามารถของเจ้าชายสิทถัตถะ และพร้อมใจ กันตกแต่งพระราชธิดาของตนไว้อย่างงดงาม แล้วแห่ขบวนส่งไปถวายแก่เจ้าชายสิทถัตถะ ซึ่งนับจำนวนพระราชธิดาได้ทั้งหมดคือ 40,000 พระองค์​
และพระราชธิดา หนึ่งใน 40,000 องค์​นั้น มีธิดาผู้หนึ่งมีซึ่งมีความงดงามเป็นเอกเป็นเลิศมากที่สุด นั่นก็คือ พระนาง​ยโสธรา หรือที่ประชาชนทั่วไปนิยมเรียกกันว่า พระนางพิมพา ผู้เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธ กับพระนางอมิตาแห่ง กรุงเทวทหะ
ด้วยความ​งดงาม​บริบูรณ์​เช่นนี้
พระเจ้า​สุทโธ​ท​นะ​ พระองค์​จึงทรงขอพระนางยโสธรา เพื่อให้มาอภิเษกเป็นพระชายาของเจ้าชายสิทธัตถะนั่นเอง...
ครั้นต่อมา...
เจ้าชายสิทธัตถะ​และพระนางพิมพาราชเทวี ก็ได้เสวยสุขสโมสรอยู่ใน มหา​ปราสาท​ทั้ง 3 หลังตามฤดูกาล
มีพนักงานคอยรับใช้บำรุงบำเรอล้วนแต่เป็นสตรีมิมีบุรุษเจือปนเลยแม้แต่ผู้เดียว...
พนักงานต่างก็คอยขับกล่อมประโคมดนตรีตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน
เปรียบดังว่า...
พระมหาบุรุษนั้นทรงประทับอยู่ใน​ทิพยสมบัติดุจดังเทพบุตร
สิริรวมเวลาทั้งหมดที่พระองค์ทรงประทับอยู่ในมหาปราสาทนั้น คือตั้งแต่พระชนมายุ 16 -​ 29 พรรษานั่นเอง
เอวัง​ก็มี​ด้วยประการฉะนี้​
ตอนนี้​อาจจะยาวไปสักหน่อยแต่ก็คงไม่มีปัญหาสำหรับหนอนหนังสือแน่นอน อิอิ ^0^
หากท่านผู้ใดชอบ ก็ขอฝากติดตามอ่านตอนต่อไปด้วยนะขอรับ ^-^
ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน​ผู้อ่าน​ขอธรรมของพระพุทธองค์จงมีแด่ ท่าน​ สาธุครับ​ (ต้นธรรม)
เอกสารอ้างอิง
- หนังสือ.ปฐมสมโพธิกถา
- หนังสือพุทธประวัติ​ตามแนวปฐมสมโพธิ (พระครูกัลยาณสิทธิวัฒน์)
- อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ปฐมปัณณาสก์ เทวทูตวรรคที่ ๔
- เพิ่มเติมเนื้อหาใหม่/ภาพประกอบ.ต้นธรรม
โฆษณา