Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ธรรม STORY
•
ติดตาม
16 ก.ย. 2019 เวลา 05:07 • ประวัติศาสตร์
พุทธประวัติ ตอนที่ 12
ทอดพระเนตรเห็นนิมิตทั้ง 4 ประการ หรือบางนัยยะเรียกว่า เทวทูตทั้ง 4
เมื่อกาลเวลาได้ล่วงลุผ่านเลยมา ณ ปัจจุบัน...
เจ้าชายสิทธัตถราชกุมาร
พระองค์ได้ทรงเสวยสุขในการครองฆราวาสสมบัติตั้งแต่ทรงพระเยาว์ตราบเท่าพระชนมายุได้ 29 พรรษา
พระองค์นั้นมิได้ประสบกับสิ่งที่จักทำให้พระองค์นั้นมีพระทัยที่ขุ่นมัวเลย
# แม้แต่รูปทั้งหลาย คือเหล่าสตรีที่เห็นก็งดงาม
# แม้แต่เสียงดนตรีที่ได้สดับก็ไพเราะ
# แม้แต่กลิ่นที่เข้าถึงพระองค์ ก็ยังคงหอมหวนด้วยดอกไม้และเครื่องหอมนานาชนิด
# แม้แต่รสอาหารก็วิเศษประณีต
# แม้แต่สัมผัสก็มีแต่สิ่งอันละเอียดอ่อนนุ่ม
อันเป็นเหตุที่จะให้ขัดเคืองพระทัยแม้แต่น้อยก็มิมีเลย จวบจนเวลาต่อมา พระองค์นั้นปรารถนาจะเสด็จประพาสราชอุทยาน
ลำดับนั้น...
เจ้าชายสิทธัตถะจึงดำริในพระทัยว่า : ตัวเรานี้ก็เสวยสุข ในมหาปราสาทมาหลายปีแล้ว เห็นแต่ของสวยๆงามๆที่พนักงานทั้งหลายต่างจัดหามาให้นั้น บัดนี้ตัวเราก็เริ่มชินชาเสียแล้ว...
จะเป็นการดีกว่านี้ หากตัวเรานั้นจักออกไปชมทัศนียภาพภายนอก
มหาปราสาทเสียบ้าง...
เมื่อพระองค์ทรงคิดได้เช่นนั้น
จึงมีรับสั่งว่า :
"เราปรารถนาอยากที่จะเสด็จประพาสราชอุทยาน ขอท่านทั้งหลายช่วยจัดเตรียมราชรถให้เรียบร้อยด้วยเถิด ซึ่งผู้เป็นนายสารถีขับราชรถ ก็คือ นายฉันนะ ผู้เป็น 1 ใน 7 สหชาติของเจ้าชายสิทถัตถะไปด้วย"
เมื่อเหล่าพนักงานได้จัดเตรียมราชรถเรียบร้อยแล้ว พระองค์นั้นก็ได้เสด็จประพาสตามพระอัธยาศัย และในการเสด็จประพาสราชอุทยานนี้ก็เป็นเหตุ
ทำให้พระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรพบเห็นในสิ่งที่พระองค์มิเคยเห็น มิเคยทราบมาก่อน 4 ประการ...
เพราะเนื่องจากพระเจ้าสุทโธทนะ
พระราชบิดานั้น ได้เคยรับสั่งให้ข้าราชบริพารไว้ว่า ห้ามมิให้พระราชโอรสทรงรู้หรือพบเห็นเกี่ยวกับ
นิมิตทั้ง 4 ประการเป็นอันขาดนั้นเอง
แต่ทว่า...
นิมิตทั้ง 4 ประการ ก็ยังปรากฏขึ้นให้พระมหาบุรุษได้ทรงทอดพระเนตรเห็น และสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ก็เกิดจากเทพยดาได้ตั้งใจบันดาลนิมิตนี้ขึ้นมาให้ปรากฏแก่พระองค์นั้นเอง...
***ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวนี้เรียกว่า
"เทวทูตทั้ง 4 หรือ นิมิต 4 ประการ"***
โดยลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดมีดังนี้
#ในวาระเสด็จประพาสครั้งแรก
ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นคนชรา
มีเกษา(ผม) หงอกขาว มีผิวกายเหี่ยวย่น หลังค่อมงอ เดินถือไม้เท้า ตัวสั่นงันงก เดินอยู่ในระหว่างข้างทาง พระองค์จึงตรัสถามนายฉันนะสารถีว่า
เจ้าชายสิทธัตถะตรัสถาม :
"บุรุษผู้นี้มีรูปกายแปลกประหลาดกว่าชนทั้งหลายนี้ เรียกว่าอะไรกันเล่า ?"
นายฉันนะสารถีทูลตอบ :
"ข้าแต่พระลูกเจ้า บุรุษผู้นี้เรียกว่า
คนชรา พระเจ้าข้า"
เจ้าชายสิทธัตถะตรัสถาม :
"แล้วคนชรานั้น เป็นอย่างไร ?
ขอท่านอธิบายโดยละเอียดเถิด"
นายฉันนะสารถีทูลตอบ :
"อันคนชรานี้ เขามีชีวิตอยู่ได้ไม่นานก็จักต้องถึงแก่มรณกรรม พระเจ้าข้า"
เจ้าชายสิทธัตถะตรัสถาม :
"แม้แต่ตัวเราก็จักเป็นเช่นนี้หรือ"
นายฉันนะสารถีทูลตอบ :
"ข้าแต่พระลูกเจ้า มนุษย์ทั้งหลายที่เกิดมาในโลกนี้ทุกคน จักต้องพบกับสภาพเช่นนี้เหมือนกันหมดทั้งบุรุษและสตรีเพศ มิมีใครเลยจักหลีกเลี่ยงไปได้ แม้แต่พระองค์เองก็จักต้องตกอยู่ในสภาพอย่างนี้เหมือนกัน พระเจ้าข้า"
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะได้ทรงสดับรับฟังเช่นนั้นแล้ว จึงรู้สึกสลดสังเวชพระทัยนิ่งนัก และทรงรับสั่งให้นายฉันนะสารถี หันราชรถให้เสด็จกลับสู่พระราชนิเวศน์ ด้วยการที่พระองค์นั้นยังคงทรงมีพระทัยที่สับสนและขุ่นมัวอยู่
#ในวาระเสด็จประพาสครั้งสอง
พระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นคนเจ็บ
#ในวาระเสด็จประพาสครั้งสาม
พระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นคนตาย
ซึ่งในเหตุการณ์ครั้งที่ 2 และ 3 พระองค์ก็ทรงทราบเนื้อความจากนายฉันนะสารถีเช่นเดียวกับครั้งแรก
สาเหตุที่แท้จริงแล้วเนื่องจาก...
เพราะว่ามีเทพยดาเข้ามาดลใจให้นายฉันนะสารถีได้กราบทูลไปเช่นนั้น ก็เพื่อที่จะให้เจ้าชายสิทธัตถะได้เกิดความสลดสังเวชพระทัยนั่นเอง
ในขณะนั้น...
เจ้าชายสิทธัตถะจึงทรงดำริแก่พระองค์เองว่า :
***อันแม้แต่ตัวเราเองนั้น ก็ต้องประสบพบเจอกับสภาพ เช่นคนทั้งสามนี้เหมือนกัน มิสามารถจักหลีกหนีพ้นไปได้ ในสภาพทั้ง 3 ประการนี้เป็นความทุกข์อย่างยิ่ง สิ่งนี้ได้ครอบงำมหาชนทุกคนมิมีใครล่วงพ้นไปได้...
แล้วเหตุใดกันเล่า มหาชนทั้งหลายจึงต่างพากันลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในวัย ในความไม่มีโรค และชีวิตอยู่เช่นนี้...
เหมือนกับคิดว่า ตนเองนั้นจักไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย นอกจากนี้ยังขวนขวายพยายามแสวงหาสิ่งที่ทำให้เกิดสภาพเช่นนี้อยู่เป็นนิตย์...
มิมีผู้ใดเลยหนอ จักคิดหาอุบายวิธีอันเป็นเครื่องหลุดพ้นจากทั้งสามสิ่งนี้กันบ้างเลย...
อันแม้ตัวเราเองก็ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้เหมือนกัน การกระทำอันประมาทอย่างนี้มิสมควรแก่เราเลย***
เมื่อพระองค์ทรงดำริอย่างนี้แล้วก็ทรงบรรเทาความมัวเมาทั้ง 3 ประการได้ คือ
1. ไม่มัวเมาในวัย เพราะได้เห็นคนแก่
2. ไม่มัวเมาในโรค เพราะได้เห็นคนเจ็บ
3. ไม่มัวเมาในชีวิต เพราะได้เห็นคนตาย
อีกทั้งไม่เพลิดเพลินหลงใหลในกามสมบัติที่พระองค์ทรงเสวยอยู่
# ในการเสด็จประพาสครั้งที่สี่
ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นสมณะ
นุ่งห่มผ้ากาสาวาพัสตร์ ประกอบด้วยกิริยาที่สำรวมน่าเลื่อมใส และเมื่อได้ทรงสดับรับฟังจากนายฉันนะสารถีที่กราบทูล สรรเสริญคุณแห่ง การบรรพชาด้วยเทวานุภาพบันดาล ให้กราบทูลเช่นนั้นแล้ว...
เจ้าชายสิทธัตถะจึงทรงพระดำริว่า :
"การประพฤติในสมณเพศนี้ เป็นบุญพิธีกุศลธรรมอันประเสิรฐสุนทรสถาพรโดยยิ่ง ควรแล้วที่เราจักยึดถือเอาอุดมเพศนี้"
ดังนี้แล้วพระองค์จึงเกิดศรัทธาเลื่อมใสมีพระทัยน้อมไปในการบรรพชา และพลางทรงดำริต่อไป
อีกว่า :
"อันธรรมดาสภาวะทั้งปวง ย่อมมีสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่กัน เช่น
มีร้อนก็มีเย็นแก้ มีมืดก็มีสว่างแก้
เป็นต้น บางทีแล้ว อุบายวิธีแก้ทุกข์ทั้ง 3 ประการนี้คงจะมีเป็นแน่แท้
แต่การที่จะแสวงหาอุบายแก้ทุกข์เหล่านี้นั้นยากยิ่งนัก สำหรับผู้อยู่ในฆราวาสวิสัย เพราะเพศฆราวาสนั้นคับแคบยิ่งนัก เป็นที่ตั้งแห่งอารมณ์ต่างๆ อันทำให้ใจเศร้าหมอง เพราะด้วยเหตุแห่งความรัก ความชัง ความหลง และความกลัวต่างๆ
แต่ทว่า...
การบรรพชานั้นเป็นช่องทางเดียว
ที่พอจักแสวงหาอุบายวิธีให้หลุดพ้นจากทุกข์เหล่านั้นได้"
***เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงพระดำริอย่างนี้แล้ว ก็เกิดปีติโสมนัสขึ้นในพระทัย และมีพระทัยน้อมไปในการบรรพชามากยิ่งขึ้น***
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
ถึงแม้ตอนนี้เนื้อเรื่องยาวอีกแล้วแต่ก็อัดแน่ไปด้วยเนื้อหาสาระธรรม หวังว่าท่านผู้อ่านจะอ่านกันจนจบนะครับ ^0^
หากท่านผู้ใดชอบ ก็ขอฝากติดตามอ่านตอนต่อไปด้วยนะขอรับ ^-^
ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านผู้อ่านขอธรรมของพระพุทธองค์จงมีแด่ ท่าน สาธุครับ (ต้นธรรม)
เอกสารอ้างอิง
- หนังสือ.ปฐมสมโพธิกถา
- หนังสือพุทธประวัติตามแนวปฐมสมโพธิ (พระครูกัลยาณสิทธิวัฒน์) หน้า 48-50
- เพิ่มเติมเนื้อหาใหม่/ภาพประกอบ.ต้นธรรม
4 บันทึก
34
12
6
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
พุทธประวัติ (ฉบับสมบูรณ์) *ยังไม่จบ
4
34
12
6
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย