6 ต.ค. 2019 เวลา 05:00 • ประวัติศาสตร์
“สงครามโลกครั้งที่ 1 (World War I) มหาสงครามพลิกโลก” ตอนที่ 2
สหราชอาณาจักรเข้าร่วมสงคราม
ผู้คนตามเมืองต่างๆ ทั่วยุโรปต่างออกมาโห่ร้อง ร้องเพลงปลุกใจกันทั่วทุกมุมถนน
พวกเขาคาดหวังว่าสงครามจะจบก่อนวันคริสมาสต์ และแน่นอน ชาติตนต้องเป็นผู้ชนะ
ในขณะเดียวกัน ผู้บัญชาการกองทัพเยอรมันได้วางแผนจะรุกรานฝรั่งเศสและยึดปารีส จากนั้นก็จะย้อนกลับไปสู้กับกองทัพรัสเซียก่อนที่รัสเซียจะบุกมาถึงชายแดนเยอรมนี และพวกเขาก็จะไม่ต้องสู้กับทั้งสองชาติในเวลาเดียวกัน
แผนนี้ดูเหมือนเป็นแผนที่กล้าหาญและน่าจะดี แต่ก็ยังมีจุดอ่อน
การจะเดินทัพไปถึงฝรั่งเศส กองทัพเยอรมันจะต้องเดินทัพผ่านเบลเยี่ยม ซึ่งเบลเยี่ยมนั้นก็อยู่ในความคุ้มครองของสหราชอาณาจักร เนื่องจากสหราชอาณาจักรได้เคยลงนามสนธิสัญญาว่าจะปกป้องเบลเยี่ยม
แต่ท้ายที่สุด กองทัพเยอรมันก็ตัดสินใจจะเสี่ยง พวกเขาคิดว่าสหราชอาณาจักรคงไม่เอาตัวเองมาเสี่ยงกับสนธิสัญญาแค่ฉบับเดียว
ทหารเยอรมันจำนวนมากได้เดินทางเข้าเบลเยี่ยมโดยรถไฟ พร้อมด้วยปืนใหญ่ที่หวังจะใช้ขยี้ศัตรูให้ราบ
2
แต่แล้วกองทัพเยอรมันก็ต้องพบกับสิ่งที่ไม่ได้คาดฝัน วันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ.1914 (พ.ศ.2457) สหราชอาณาจักรได้ยื่นคำขาด
“ออกไปจากเบลเยี่ยมภายในเที่ยงคืน หากไม่ทำตาม สหราชอาณาจักรจะประกาศสงครามกับเยอรมนี”
2
เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน ฝ่ายเยอรมนีไม่มีคำตอบให้สหราชอาณาจักร นี่คือคำตอบชัดเจน
วันรุ่งขึ้น ทหารสหราชอาณาจักรนับพันเตรียมตัวเดินทางข้ามทะเลไปรบกับเยอรมนี
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะเห็นด้วยกับการเข้าร่วมสงคราม เช่น “เซอร์ เอ็ดเวิร์ด เกรย์ (Sir Edward Grey)” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหราชอาณาจักรกล่าวว่า
“ไฟจากตะเกียงทุกดวงทั่วยุโรปได้ดับลงแล้ว และเราจะไม่เห็นแสงไฟสว่างอีกครั้งตลอดช่วงชีวิตของเรา”
1
เซอร์ เอ็ดเวิร์ด เกรย์ (Sir Edward Grey)
ในเวลานี้ เยอรมนีได้เป็นศัตรูกับสหราชอาณาจักรอย่างเปิดเผยแล้ว แต่แผนการเดินทัพผ่านเบลเยี่ยมก็เป็นไปได้ด้วยดี พวกเขาสามารถตีทัพฝรั่งเศสทางใต้แตกได้ และถึงแม้สหราชอาณาจักรจะส่งกองทัพมาช่วย แต่ก็ไม่สามารถต้านทานทัพเยอรมันได้
กองทัพเยอรมันเดินหน้าต่อและภายในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1914 (พ.ศ.2457) ชาวปารีสที่ได้ข่าวการเดินทัพของกองทัพเยอรมัน ต่างก็ทิ้งเมือง หนีออกจากปารีสไปกันหมด
ดูเหมือนว่าสงครามนี้จะไม่นานและคงจบภายในวันคริสมาสต์ ค.ศ.1914 (พ.ศ.2457)
แต่กองทัพเยอรมันก็ได้รับข่าวร้ายจากทางฝั่งตะวันออก กองทัพจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการียังคงติดพันสงครามกับเซอร์เบีย
ที่แย่กว่านั้นก็คือ กองทัพรัสเซียได้เดินทัพมาไวกว่าที่คิดไว้และกำลังจะถึงเยอรมนีอยู่แล้ว
กองทัพเยอรมันไม่มีทางเลือกนอกจากแบ่งทัพออกเป็นสองทัพ ทัพหนึ่งบุกปารีสต่อ ในขณะที่อีกทัพเดินทัพกลับเยอรมนีเพื่อไปรับมือกับรัสเซีย
1
ทัพที่เดินทัพกลับเยอรมนีนั้นสามารถล้อมและเอาชนะกองทัพรัสเซียได้ พร้อมทั้งจับกุมทหารรัสเซียได้กว่า 90,000 นาย
ถึงแม้กองทัพเยอรมันด้านนี้จะชนะ แต่ในขณะเดียวกัน ทัพเยอรมันที่กำลังเดินทัพบุกปารีสก็อ่อนแรงและกำลัง
ในขณะที่ทัพเยอรมันที่บุกปารีสนั้นอ่อนกำลังลงเนื่องจากต้องแบ่งทหารกลับไปป้องกันเยอรมนี ทัพสัมพันธมิตรในฝรั่งเศสก็เข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้ทัพอังกฤษได้เดินทัพมาถึงแล้ว ในขณะเดียวกัน กำลังเสริมของฝรั่งเศสก็ได้มาถึงเช่นกัน
กองทัพสัมพันธมิตรตั้งใจจะปกป้องปารีสให้ได้ พวกเขาจึงจัดทัพ โจมตีกองทัพเยอรมันที่ริมแม่น้ำมาร์นและสามารถเอาชนะกองทัพเยอรมันได้
แต่กองทัพเยอรมันก็ไม่ยอมแพ้ ผู้บัญชาการกองทัพเยอรมันได้ส่งทหารจำนวนหนึ่งขึ้นไปทางเหนือ หวังจะตีกองทัพสัมพันธมิตรจากด้านหลัง
แต่บังเอิญว่ากองทัพสัมพันธมิตรก็คิดอย่างเดียวกันและส่งทัพของตนไปทางเหนือเช่นกัน
ทั้งสองทัพได้ปะทะกันที่เมืองอีเปอร์ เกิดการสู้รบกันอย่างดุเดือด ในหนึ่งนาทีนั้น ต่างฝ่ายต่างสาดกระสุนใส่กันมากกว่า 100 นัด
1
ในยุคนั้น วิทยาการด้านอาวุธเพิ่งจะได้รับการพัฒนา ต่างฝ่ายจึงยังไม่รู้ถึงความเสียหายที่แท้จริง ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างเสียทหารนับหมื่น
แต่ถึงแม้จะสูญเสียทหารจำนวนมาก ก็ยังไม่มีฝ่ายไหนที่ชนะได้อย่างเด็ดขาด
ทหารที่เสียชีวิตในการปะทะครั้งนี้ส่วนมากเป็นวัยรุ่นที่อาสามารบ
ซึ่งเท่ากับว่าทหารที่ตายส่วนใหญ่ก็เป็นเยาวชนที่ยังมีอนาคตและเป็นความหวังของครอบครัว
1
เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ สงครามนั้นดำเนินไปอย่างเชื่องช้าและไม่มีทีท่าจะจบ ผู้บัญชาการกองทัพจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีและผู้บัญชาการกองทัพเยอรมันก็ได้ประชุม หารือถึงแผนการจะเอาชนะกองทัพรัสเซียซึ่งตั้งทัพในทุ่งกว้างและในป่าของยุโรปตะวันออก
ในขณะที่ฝั่งฝรั่งเศส กองทัพฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรก็ได้เผชิญหน้ากับกองทัพเยอรมันในแนวรบด้านตะวันตก ซึ่งมีระยะทางยาวกว่า 800 กิโลเมตร ไล่ยาวตั้งแต่สวิตเซอร์แลนด์ผ่านไปถึงช่องแคบอังกฤษ
1
เหล่าทหารต่างขึงรั้วลวดหนามและขุดสนามเพลาะเพื่อลงไปหลบในระหว่างฤดูหนาว
ทหารเหล่านี้ไม่รู้เลยว่าพวกเขาต้องติดอยู่ในสนามเพลาะนี้กว่าสี่ปี และต้องมีชีวิตเพื่อนทหารนับพันที่ต้องสูญเสียในวันข้างหน้า
การรบจะเป็นอย่างไรต่อไป เหตุการณ์จะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นหรือไม่ ติดตามต่อในตอนหน้านะครับ
โฆษณา