15 ต.ค. 2019 เวลา 15:02 • ไลฟ์สไตล์
ผมได้เงินไปโรงเรียนวันละสิบบาทตอนอยู่ ม.ต้น
ถ่ายตอนเช้าเตรียมโพสต์
มันคงไม่ได้แปลกหรือแตกต่างกับคนอื่นในสมัยนั้นมาก แต่บางวันผมก็ได้ไม่ถึง ขึ้นอยู่กับรายรับของแม่จากการขายน้ำแข็ง (ไอ้เครื่องบดน้ำแข็งนี้เกือบทำผมนิ้วขาดมาแล้ว)
ผมจะมาเล่าถึงการใช้เงินของผมในแต่ละวัน ว่าเอาไปใช้ยังไงบ้าง ซึ่งก็อาจเหมือนหรือไม่เหมือนกับคนอื่น เพราะผมยังโชคดีกว่าอีกหลายคนที่ไม่มีเงินไปโรงเรียนเลย
ตอนเข้า ม.1 ผมเลือกเรียนโรงเรียนที่มีชื่อประจำจังหวัดและอยู่ใกล้บ้านมากกว่า คือห่างไปประมาณสองกิโลเท่านั้น
แม่เอาเงินเก็บบางส่วนซื้อจักรยานมือสองให้ผม ส่วนพี่สาวได้ใช้จักรยานมือหนึ่งของแม่ ตอนนั้นรู้สึกอิจฉาพี่สาวจริงๆ
คันของผมเป็นยี่ห้อ Raleigh ซึ่งสมัยนั้นก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะเด็กส่วนใหญ่จะใช้ยี่ห้อทั่วๆไป แต่ผมกลับให้ราคา Raleigh ต่ำมาก เพราะมันดูเชยๆ แปลกกว่าคนอื่น (ผมอายสาวๆน่ะครับ)
สมัยนั้นมันต้อง BMX เท่านั้น (ประมาณปี 2526 ได้มั้ง) เพื่อนบางคนมีฐานะก็ใช้กันหลายคน ยืมเค้าขี่บ้างแต่ก็ได้ไม่นาน เพราะช่วงเวลาหลังเลิกเรียนที่เราได้เล่นกับเพื่อนๆนั้น ผมคิดว่าไม่มีช่วงเวลาไหนจะสนุกกับเพื่อนเหมือนช่วงเวลานี้อีกแล้ว
ไม่ว่าช่วง ปวช หรือหลังจากจบ ปวช. ที่ผมกับเพื่อนๆแยกย้ายกันไปตามเส้นทางและโชคชะตาชีวิตของแต่ละคน
บางคน ไม่สิส่วนใหญ่ได้เรียนต่อกันหมด บ้างก็ไปเรียนต่อจังหวัดใหญ่ใกล้บ้าน บ้างก็เข้ากรุงเทพ ส่วนน้อยที่ยังอยู่ที่เดิม ผมเป็นส่วนน้อยที่สุดเพราะไม่ได้เรียนต่อหลังจากจบ ปวช
เอาล่ะ ตัดภาพกลับมา ม.ต้น
ผมจะได้รับเงินจากแม่ตอนเช้าก่อนไปโรงเรียน จริงๆแม่ไม่ได้อยู่ให้กับมือเพราะต้องออกไปตลาดแต่เช้าทุกวัน บางวันก็กลับมาไม่ทัน จะทิ้งเงินไว้ในตะกร้าพลาสติกเก่าๆที่ใช้ใส่เงินทอนเวลาขายน้ำแข็ง
แม่แค่บอกว่าให้กี่บาทแล้วผมก็จะไปหยิบมาตามจำนวนนั้น อย่างที่บอกตอนแรกผมจะได้ไม่เท่ากันทุกวัน
ตอนเช้าแม่จะกลับมาส่งข้าวห่อให้ก่อน แล้วออกไปอีกครั้ง แต่ก่อนห่อข้าวจะใช้ใบตองกลัดไม้กลัดทางมะพร้าวทุกร้าน เดี๋ยวนี้ไม่มีให้เห็นแล้วเลย
แม่ตะโกนถามทุกเช้าว่าอยากกินอะไร บอกตรงๆตอนนั้นรำคาญมาก ทำไมต้องถามทุกวัน แต่พอมีลูกเองก็รู้ซึ้งเลย บาปมากเลยเราที่คิดแบบนั้น
ข้าวเช้าจบไป ส่วนข้าวเที่ยงผมต้องเลือกว่าจะกินอะไร เพราะขึ้นอยู่กับปริมาณเงินที่ได้ ส่วนใหญ่ผมมีตัวเลือกไม่มาก ว่าจะกินข้าวหรือกินขนม เพราะจ่ายได้แค่อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
บางส่วนอีกสองสามบาทต้องเก็บไว้เล่นบอลพลาสติกกับเพื่อนหลังเลิกเรียน
วันไหนชนะวันรุ่งขึ้นอิ่ม วันไหนแพ้ค่อยแก้ตัวใหม่ ไอ้บอลพลาสติกที่ว่านี้ปั่นไซค์โค้งมันมาก หวังว่าจะเคยเตะเล่นกันบ้างนะครับ
หากวันไหนผมอยากกินขนม ผมก็จะมีตัวเลือกน้อยมาก ซึ่งเมนูที่ว่านี้ก็คือกล้วยทอด เวลาซื้อก็ต้องบอกแม่ค้าว่าขอกากเยอะๆ บางครั้งก็เป็นข้าวต้มมัด
สาเหตุที่เลือกกล้วยทอดหรือข้าวต้มมัดคือ นอกจากอร่อยแล้วมันอิ่มท้องที่สุดในบรรดาขนมที่มีนั่นเอง
วันไหนผมซื้อกล้วยทอด ต้องรีบไปต่อแถวแล้วหาที่กินคนเดียว ส่วนใหญ่คือในห้องเรียนเพราะไม่ค่อยมีใครอยู่
เวลาซื้อมาก็เอามาแอบในเก๊ะใต้โต๊ะ ท่านคงจำโต๊ะนักเรียนได้นะครับ โต๊ะไหนไม่มีรอยแกะสลักด้วยมีดพับเล่มละบาท จะเป็นโต๊ะของเด็กเรียนเท่านั้น
ผมต้องแอบเพราะเพื่อนมันจะมาขอกินด้วย แล้วมันก็ไม่รู้ว่าผมไม่ได้กินข้าวเที่ยง แต่ปีถัดมาก็จะเป็นที่รู้กันในหมู่เพื่อนที่สนิท
ถึงแม้เราจะรีบวิ่งไปต่อแถวซื้อข้าวเร็วแค่ไหนหลังจากเสียงออดดัง มันต้องมีคนเร็วกว่าเราเสมอ ไม่รู้ว่าโรงเรียนอื่นเป็นกันหรือเปล่านะครับ
มันไม่ได้เป็นเฉพาะพักเที่ยง แต่เป็นทุกพักเลย
ผมคิดว่าแต่ละคนอยากใช้เวลาในการเล่นกันมาก ทุกเวลาที่ว่างว่างั้นเหอะ ส่วนเกมก็สรรหากันมา สลับกันไปในแต่ละวัน
เกมที่สนุกที่สุดคือการล้อเพื่อนนั่นเอง รูปแบบก็ต่างกันไป ไม่อยากยกตัวอย่างเดี๋ยวเกิดมันเล่น Blockdit ขึ้นมา แล้วมาอ่านเข้าคงไม่ดีแน่
ช่วงเวลาสนุกหรรษานี้จะขอนึกแล้วเรียบเรียงก่อนครับ ค่อยเอามาเล่าเพราะมันก็นานมาแล้ว
ก็ไม่รู้ว่ามันติดเป็นนิสัยมาหรือเปล่านะครับ ปัจจุบันผมไม่กินข้าวเที่ยงมาหลายปีแล้ว กินอย่างอื่นแทนแต่หลังๆจะหลีกเลี่ยงพวกขนมปัง
เอาแค่พอแก้แสบท้องเท่านั้น มื้อเช้าและมื้อเย็นของผมจะห่างกัน 12 ชั่วโมงพอดี ฟัง podcast หลายเดือนก่อนเค้าเรียกกันว่า Intermittent fasting แต่ผมก็ไม่ได้เคร่งครัดขนาดนั้น เอาแค่พอสะดวกในการดำรงชีวิตประจำวันก็พอ
เขียนไปเขียนมาชักจะยาว เรื่องราวก็เป็นไปตามที่ได้เล่ามา
อยากให้ comment กันเยอะๆนะครับ ขอบคุณครับ
อย่าลืมกด like กด share กดติดตาม เป็นกำลังใจให้นักเขียนหน้าใหม่คนนี้ด้วยครับ
รักเสมอ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา