Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Movie Trivia
•
ติดตาม
26 ต.ค. 2019 เวลา 12:40 • บันเทิง
[Review] Mission: Impossible – Fallout (2018) – ภารกิจท้าตายสไตล์ทอมครูซ
“ จบแล้วก็คือจบ เมื่อเราบอกว่าจบ “
หากถามว่าการเป็นแฟรนไชส์ที่ดีคืออะไร มองทางธุรกิจคงเป็นการที่แฟรนไชส์นั่นสามารถสร้างเม็ดเงินได้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว การมีภาคต่อตามออกมามักจะเกิดจากการหนังเรื่องนั้นมีฐานคนดูจำนวนนึงที่พร้อมจะรอดูภาคต่อไปจนทำให้เกิดเป็นแฟรนไชส์หนัง หลายเรื่องเป็นแบบนั้น เด่น ๆ คงเป็นป๋าเจมส์บอนด์ที่ออกมาจะ 25 ภาคแล้วและก็มีฐานแฟนจำนวนมากที่รอติดตามภาคต่อไป
แต่การเป็นแฟรนไชส์ที่ดีก็คงหนีไม่พ้นการที่ทำให้หนังแต่ละเรื่องให้ดีพอจะมีคนชอบและตีตั๋วเข้าไปดูเพื่อเรียกร้องขอมีภาคต่อไป (แม้ยุคนี้จะสวนทางกันก็ตามทีเถอะ) และหนึ่งในแฟรนไชส์แอ็คชั่นเรื่องหนึ่งที่มีคนติดตามมากเรื่องนึงไม่แพ้ Jason Bourne นั่นคือ Mission Impossible ที่เข้ามาถึงภาคที่ 6 ในแฟรนไชส์เป็นไปไม่ได้ของ ทอม ครูซ อย่าง Mission: Impossible – Fallout ที่ได้ คริสโตเฟอร์ แม็คควอรี่ กลับมากุมบังเหียนอีกซึ่งถือเป็นครั้งแรกในแฟรนไชส์ที่มีผู้กำกับ ฯ คนเดิมกลับมาทำหน้าที่เดิม
youtube.com
Mission: Impossible - Fallout (2018) - Official Trailer - Paramount Pictures
Watch the official trailer for Mission: Impossible - Fallout starring Tom Cruise. In theatres 7.27.18. #MissionImpossible #MissionImpossibleMovie Facebook: h...
Mission: Impossible – Fallout สานต่อเรื่องราวจากภาคที่แล้ว ในภารกิจของต่อไปของอีธาน ฮันท์ที่ควรจะต้องสกัดกั้นการซื้อส่วนประกอบนิวเคลียร์กลับล้มเหลวจนทำให้ CIA ต้องส่งเจ้าหน้าที่อย่าง ออกัส วอล์คเกอร์ เข้ามาร่วมด้วยเพื่อคุมภารกิจ การสืบสวนเรื่องราวทำให้ฮันท์ทราบว่า ตัวบงการสำคัญอย่าง จอห์น ลาร์ค มีความตั้งใจจะเปิดสงครามนิวเคลียร์ เรื่องราวโกลาหลจนเมื่อ ฮันท์ ต้องจัดการกับ “ผลที่ตามมา” ทั้ง โซโลมอน เลน หัวหน้าองค์กรอาชญากรซินดิเคท ที่ถูกดึงมาเครื่องมือในครั้งนี้ กับ อิลซ่า ฟอส สายลับสองหน้าของเอ็มไอซิกส์ที่เข้ามาขัดขวางภารกิจตลอดเวลา
อีธาน ฮันท์ และลูกทีม ในการปฏิบัติภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ ครั้งที่ 6
มองดูความยาวของหนังก็ตกใจว่า ทำไมหนังสายลับแอ็คชั่นที่ขายความเว่อร์วังใหญ่โตถึงมีความยาวร่วม สองชั่วโมงครึ่ง นั่นเพราะหนังเต็มไปด้วยเรื่องราวยิบย่อยมากมาย หากมีคนเล่าให้ฟังยังไม่มันส์เท่าไปดูเอง หนังมีการตัดสลับฉากเดินเรื่องกับฉากแอ็คชั่นระทึกในทุกองค์ของหนัง ไม่ว่าจะเป็นฉากไล่ล่ากลางกรุงปารีสที่ออกแบบมาได้สนุกและตื่นเต้น ฉากเฮลิคอปเตอร์ขับไล่ที่ทำออกมาได้ยิ่งใหญ่และบ้าบิ่นสมกับเป็น Mission Impossible หรือแม้กระทั่งฉากสตันท์เล็ก ๆ ก็ยังทำออกมาได้สนุกมือ โดยเฉพาะฉากดิ่งพสุธาที่ถ่ายทำจริง (บ้าไปแล้ว) กระนั้นหนังก็ยังมีความซับซ้อนของบทที่คาดเดาไม่ได้และน่าติดตามได้ตลอดทั้งเรื่องราวที่ดำเนินไป
สตันท์ไม่ต้องมี เพราะพี่โหนเอง
ส่วนที่ดีของ Fallout นั่นก็คือ ความที่แทบจะสมบูรณ์แบบของมัน หากเราทราบกันดี แฟรนไชส์นี้ก็ไม่ได้ต่างจากแฟรนไชส์เจมส์บอนด์ที่มีการเปลี่ยนชุดตัวละคร ความบาดหมาง และเป้าหมายไปแทบทุกภาค ต่างกันตรงที่พระเอกหรือตัวละครยังคงเป็น อีธาน ฮันท์ ที่รับบทโดย ทอม ครูซ อยู่ทุกภาค มาภาคนี้หนังได้สานต่อเรื่องราวของฮันท์ในภาคก่อนได้อย่างน่าประทับใจมาก อีกทั้งการสร้างสรรค์ฉากแอ็คชั่นที่มีความเล่นใหญ่และบ้าบิ่นแทบทุกฉากแต่แต่ละฉากก็มีเหตุผลและความสนุกในแบบของมัน ทั้งฉากเฮโลดิ่งพสุธา ฉากไล่ล่ากลางกรุง หรือแม้แต่ฉากสู้กันในห้องน้ำก็ยังทำออกมาได้ดิบเถื่อนและสมจริงสมจัง สวนทางความเว่อร์วังของฉากแอ็คชั่นที่แสนจะใหญ่โตไปอีก
ฉากสู้ประชิดตัวในห้องน้ำที่เป็นหนึ่งในฉากเด็ดของหนังภาคนี้
บทที่ออกแบบมาให้มีการพลิกผันสับขาหลอกได้อย่างน่าสนใจ ตัวละครที่ประดังประเดเข้ามาจนทำให้ฮันท์ต้องรับศึกรอบด้านก็ทำได้น่าติดตามจนเราเอาใจช่วยได้ โดยเฉพาะเมื่อเรื่องราวถูกขมวดเข้ามาในช่วงองค์สุดท้าย มันทำให้ไคลแมกซ์ ณ เวลาทำงานได้ดีมากจนเราลุ้นจิกเก้าอี้เลย ส่วนอื่น ๆ ทั้งนักแสดงที่ยังคงทำหน้าที่ได้ดี ทั้งในรายของ เฮนรี่ คาวิลล์ (และหนวดของเขา) แองเจล่า บาสเสตต์ และ วาเนสซ่า เคอร์บี้ ในบทแม่ม่ายขาว ก็ต่างมีวาระจดจำแทบทั้งสิ้น งานสร้าง-ดนตรีประกอบ คือส่วนสำคัญที่ขับเร้าให้เราตื่นเต้นไปกับฉากแอ็คชั่นได้อย่างดีเยี่ยม
หาจุดติแทบไม่ได้ เพราะเอาจริง ๆ มันคือเวลาสองชั่วโมงครึ่งที่รวดเร็วมาก ในฐานะที่เป็นคนติดตามมาตั้งแต่ภาคแรกการเห็นแฟรนไชส์เติบโตไปในหลายทิศทาง ทั้งสายลับหักเหลี่ยม สายลับโชว์หล่อ สายลับเถื่อนดิบ สายลับโดดตึก (?) หรือ สายลับซับซ้อน จนมาเป็นภาค Fallout ทำให้เราอดประทับใจไปกับมันไม่ได้ เพราะมันเป็นยิ่งกว่าหนังที่มีฉากขายเป็นฉากเสี่ยงตายของ ทอม ครูซ แล้ว
ทอม ครูซ กับท่าวิ่งอันเป็นเอ
สรุปแล้ว Mission: Impossible – Fallout คือภาคต่อที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งเป็นภาคที่เชื่อมโยงถึงภาคก่อนในแฟรนไชส์ได้อย่างกลมกลืน อีกทั้งในแง่การสร้างสรรค์ฉากแอ็คชั่นลุ้นชวนเสียวและการดำเนินเนื้อเรื่องที่น่าติดตามมีความพลิกผันได้ตลอดทั้งเรื่อง แถมยังได้ไต่ระดับความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อย ๆ อีก เป็นเวลาสองชั่วโมงครึ่งที่ไม่รู้สึกเบื่อและไม่อยากให้จบเลย
4.5 / 5
Mission: Impossible - Fallout (2018)
Directed by Christopher McQuarrie
Screenplay by Christopher McQuarrie
Story by Christopher McQuarrie and Drew Pearce
Based on “Mission: Impossible” by Bruce Geller
บันทึก
5
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
Movie Trivia | Review
5
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย