Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ชีวิต101
•
ติดตาม
5 พ.ย. 2019 เวลา 09:32 • ไลฟ์สไตล์
#ชีวิต101 ภาค 2 ตอนที่ 5
วันที่ 09 ธันวาคม 2561(ต่อ)
ผ่านไปพักใหญ่ เรือก็เข้าจอดเทียบท่าหน้าด่าน(เกาะเสม็ด)
เนื่องจากเวลานั้นมีเรือเข้าจอดเทียบท่าหลายลำ เรือที่เรานั่งไปจึงไม่สามารถเข้าจอดเทียบท่าได้โดยตรง จึงจอดเทียบเรือลำหนึ่งที่จอดเทียบท่าอยู่ แล้วให้ผู้โดยสารเดินผ่านเรืออีกลำเพื่อขึ้นฝั่ง
เข้าจอดเทียบท่า
ก็เป็นเวลาพักใหญ่ที่ผมไม่ได้มาเที่ยวที่นี่ ซึ่งแต่ก่อนผมก็เคยมาทำงานแถวระยอง ก็เลยมีโอกาสได้แวะมาเที่ยวที่นี่บ้าง โดยสัญลักษณ์ประจำท่าแห่งนี้ก็น่าจะเป็นรูปปั้นนางยักษ์ผีเสื้อสมุทรขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในทะเลหน้าท่าเรือแห่งนี้ ตามเรื่องราวในวรรณคดีของท่านสุนทรภู่ ซึ่งเราก็น่าจะได้ยินเรื่องราวมาบ่อยครั้ง เรื่องพระอภัยมณี ซึ่งชื่อเกาะเสม็ดในวรรณคดี ก็เป็น เกาะแก้วพิศดาร ซึ่งอาจจะมีที่มาจาก หาดทรายบนเกาะเสม็ด ที่มีสีขาวและเหมือนมีเกล็ดแก้วเป็นประกายผสมอยู่ที่หาดทราย
1
รูปปั้นนางยักษ์ผีเสื้อสมุทร
จากนั้นก็เดินต่อเข้าไปที่อาคารผู้โดยสาร ซึ่งก็มีผู้โดยสารจำนวนพอสมควรรอเข้าพื้นที่เกาะ ซึ่งจะมีการเก็บค่าธรรมเนียมการเข้าไปเที่ยวในเกาะอีกคนละ 20 บาท ซึ่งจะมีประตูไม้กั้นหมุนกั้นอยู่
อาคารผู้โดยสารท่าหน้าด่าน
ถึงว่าจะไม่ใช่หน้าเทศกาลท่องเที่ยว แต่ก็มีคนมาเยอะพอสมควร ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ ที่ผมดูก็น่าจะเป็นชาวจีน ซึ่งก็บ่งบอกว่าไทยเราก็เป็นที่หมายตาสำหรับการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติไม่น้อยเหมือนกัน
จุดชำระค่าธรรมเนียมเข้าเกาะ
จากนั้นผมกับอาจารย์ก็เดินไปให้ร้านเช่ามอเตอร์ไซเพื่อที่จะเข้าไปสำรวจดูในเกาะต่อ ซึ่งค่าเช่ามอเตอร์ไซก็ประมาณสามร้อย ซึ่งการขับมอเตอร์ไซชมในเกาะมันก็สะดวกดี หรือถ้าใครจะเดินไปเที่ยวหาดใกล้ๆก็สามารถเดินได้เหมือนกัน หรือจะขึ้นรถโดยสารก็มีให้บริการ แต่ถนนในเกาะค่อนข้างแคบ การขับขี่ก็ต้องระวัง จากนั้นพอได้รถก็ขับเข้าไปด้านในเกาะต่อ
ซึ่งก็จะเข้าเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด ซึ่งเค้าจะมีป้อมเก็บค่าบริการเข้าอุทยานอยู่ ซึ่งในมุมส่วนตัวผมเองนั้นก็แยกไม่ค่อยออกว่าไหนคือหาดอุทยาน ไหนคือรีสอร์ท เพราะก็อยู่ด้วยกันรวมๆกัน
ผมก็ขับรถต่อไปที่อ่าววงเดือน
อ่าววงเดือน
ก็ได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ ที่คอยดูแลนักท่องเที่ยวอยู่ ว่านี่เป็นพื้นที่ของอุทยานมั๊ย เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าเป็น ซึ่งอ่าวนี้ก็จะจำกัดจำนวนการเข้าออกของเรือ ซึ่งก็มีการประชุมกับผู้ประกอบการต่างๆเพื่อหาจุดที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้รบกวนธรรมชาติจนเกินไป ซึ่งตอนนี้ก็มีการเน้นเรื่องขยะและความสะอาด เพื่อพยายามฟื้นคืนธรรมชาติ ซึ่งเรื่องเรือเข้าออกจะมีสองส่วนที่ดูแลคือทางกรมเจ้าท่า กับทางอุทยาน
คุยกับเจ้าหน้าที่อุทยาน
ที่ท่าเรือชั่วคราวอ่าววงเดือนจะมีท่าเป็นโฟมลอยน้ำทอดเป็นสะพานยาวออกไป ซึ่งจะมีแค่เรือเล็กสปีดโบทเข้ามาเทียบเท่านั้น ซึ่งการจะเดินออกไปก็โคลงเคลงเหมือนกัน เพราะถ้าคลื่นมาแรงท่าเรือก็จะโยกตาม เด็กๆก็ควรมีผู้ปกครองดูแลในการเดินตรงนี้
ท่าเรือชั่วคราวอ่าววงเดือน
ซึ่งก็จะมีจุดให้นักท่องเที่ยวได้ลงเล่นน้ำได้ และจะมีทุ่นลอยน้ำกัั้นแบ่งโซนอยู่ว่าจะเล่นน้ำได้ถึงไหน
ท่าเรือชั่วคราวอ่าววงเดือน
ซึ่งสำหรับเรือโดยสารสองชั้นก็มีมารับส่งผู้โดยสารที่อ่าวนี้เหมือนกัน แต่จะไม่เข้าจอดเทียบท่า จะจอดอยู่ลึกไปในอ่าว เพราะเข้ามาจอดเทียบท่าไม่ได้เพราะน้ำตื่นเกินไป แต่จะใช้เรือเล็กลำเลียงผู้โดยสารขึ้นลงแทน
เรือขนผู้โดยสารไปขึ้นเรือโดยสาร
ส่วนเรือโดยสารจะจอดทิ้งสมออยู่ในอ่าว การขึ้นฝั่งก็ใช้เรือเล็กลำเลียงนั้นเอง
เรือโดยสาร
ซึ่งสำหรับผมหาดนี้ก็สวยไม่น้อย นี่ถ้าอากาศแจ่มใสมีแดดน้ำทะเลคงจะสดใสกว่านี้มาก เพราะนี่ขนาดฟ้าครึ้มๆแบบนี้ น้ำยังสีสวยอยู่เลย
พอได้เวลาเราก็ขับรถกลับไปที่ท่าเพื่อจะนั่งเรือกลับ ซึ่งการมาครั้งนี้ผมก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมาก เพียงแต่รู้สึกชอบสายลมเย็นๆเท่านั้นเอง ผมก็เริ่มจะเข้าใจความรู้สึกของคนที่ต้องทำงานในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆพอทำงานอยู่ที่นี่ความรู้สึกก็คงไม่ได้ตื่นเต้นอะไร ก็แค่ทำหน้าที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้เท่านั้น ส่วนตัวผมเองก็มาทำหน้าที่เหมือนกัน อารมณ์ของการท่องเที่ยวเลยไม่ค่อยจะมีมากเท่าไหร่ หรืออาจจะเป็นเพราะก่อนหน้าผมเที่ยวเป็นเดือนมาแล้วนั้นเอง ก็เลยอาจจะยังอิ่มในการเที่ยวอยู่ แต่อารมณ์ความรู้สึกขอคนก็คงเปลี่ยนไปมาขึ้นลงได้ตลอดนั้นละ ผมก็คิดแบบนั้น
ซึ่งตอนขึ้นเรือขากลับ ก็มีเรืออีกลำมาจอดเทียบเพื่อฝากผู้โดยสารขึ้นเรือกลับด้วย และบรรยากาศขามากับขากลับจะต่างกันมาก ขามานี่คนจะคึกคักเจี้ยวจ้าวกันน่าดู เจ้าหน้าที่ก็ขึงขัง แต่พอขากลับทุกคนก็จะอิดโรยและดูชิวๆกัน ขามานี่ใส่เสื้อชูชีพกันหมดเลย แต่ขากลับนี่ไม่ใส่กันเลย ผมก็เข้าใจความรู้สึกได้เพราะผมก็ไม่ใส่ อยากชิวๆสบายๆรับลมเย็นๆขากลับนั้นเอง
ฝากผู้โดยสาร
ขากลับเราเลือกกลับขึ้นท่าเรือเพ ซึ่งเป็นอีกท่าเรือหนึ่งฝั่งบ้านเพ
ซึ่งท่าเรือนี้จะเป็นท่าเรือคอนกรีต
ขึ้นฝั่ง
และมีรถมอเตอร์ไซพ่วงข้างมารับส่งนักท่องเที่ยวด้วย ซึ่งก็ดูเป็นแบบบ้านๆดี ชาวต่างชาติคงจะชอบ
มอเตอร์ไซพ่วงข้าง
ท่าเรือนี้รถก็จะวิ่งเข้าออกได้ มีพื้นที่พอวิ่งได้ เราก็เตรียมตัวกลับเหมือนกัน
เดินทางกลับ
ซึ่งวันนี้อาจารย์ก็ได้บอกและแนะนำการสำรวจกับผม ที่เหลือหลังจากนี้ก็จะเป็นผมลุยเดี่ยวทั้งหมด ซึ่งอาจารย์ก็กลับเย็นวันนี้เลย และผมก็ได้เริ่มเดินทางคนเดียวอีกครั้ง ในตอนเย็นผมก็ไปเดินเล่นที่ริมหาดมองดูดวงอาทิตย์ที่กำลังตก มันก็สวยดี ผมมองทะเลไปไกลเท่าที่สายตามผมจะมองไปถึง ซึ่งมันก็เจอแต่เส้นขอบฟ้าที่ตัดกับน้ำทะเล เรารู้ว่าโลกมันกว้างใหญ่มาก แต่สายตาของเราเองก็ยังมีจำกัดในการมองเห็นอยู่ มีหลายสิ่งที่เราไม่อาจตัดสินว่ามันจะเป็นแบบที่เราเห็น เราก็แค่รับรู้บางส่วนแค่นั้น เราคงต้องเรียนรู้ต่อไปอีกมาก เหมือนที่เราของน้ำกับฟ้าที่ตัดกัน ซึ่งเรารู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง และดวงอาทิตย์มันก็ไม่ได้ตกน้ำเช่นกัน
ดวงอาทิตย์ตก
2 บันทึก
37
11
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ชีวิต101 ภาค 2
2
37
11
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย