10 พ.ย. 2019 เวลา 03:00 • หนังสือ
ก้าวหน้าถ้าคิดเป็น
เพราะคนเรา...แพ้ชนะได้ด้วยวิธีคิด
"ความเจ็บปวดของชีวิต" อาจต้องแลกกับความเจ็บปวด เสียใจ หวั่นไหว ล้วนเป็นสิ่งที่เราต้องก้าวผ่านในวันนี้ เพื่อว่าพรุ่งนี้จะใช้มันเป็นแผนที่ให้กับชีวิต เราจะรู้ว่าตรงไหนทางดี และตรงไหนที่ไม่ควรเดินผ่านไปอีก
"ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายและการใช้ชีวิตให้ดียิ่งเป็นเรื่องที่ยากกว่า"
นั่นเป็นเพราะ...
โลกทุกวันนี้หมุนไว ใจเราจึงถูกเหวี่ยง เมื่อใจถูกเหวี่ยงเราย่อมแกว่ง ไม่นิ่งพอที่จะมองเห็นชีวิตตัวเอง
ในมุมที่ชัดเจนเราเลยคิดว่าชีวิตมันยาก และอยากทำให้ง่าย การที่จะทำให้ตัวตนเราชัดเจนขึ้นท่ามกลางแรงเหวี่ยงของโลก คือ การกล้าใช้ชีวิต กล้าผิดกล้าถูกและคิดให้ชนะตัวเอง
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะมีความสุขกับมัน
"เพราะคนเราแพ้ชนะได้ด้วยความคิด"
เมื่อได้ผ่านรอยขีดฆ่าหลาย ๆ ครั้ง เราจะเริ่มรู้สึกว่า ชีวิตมันง่ายขึ้น เพราะตัวตนของเราเริ่มชัดเจนขึ้น เมื่อตัวตนเริ่มชัดเจนขึ้น ไม่ว่าโลกจะหมุนเร็วอย่างไร ใจเราจะไม่แกว่งตาม
"ต่อให้เมล็ดพันธุ์ดีแค่ไหนก็ไม่สามารถเติบโตในผืนดินที่แห้งแล้งได้ เช่นเดียวกันกับตัวเราเองก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงองค์กรได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราทำได้ คือการเปลี่ยนแปลงตัวเอง"
การเปลี่ยนเปลือกแต่ละครั้ง
ในช่วงแรก เราอาจหนาวบ้าง กว่าเปลือกใหม่จะแข็งแรงพอ แต่ก็คุ้มค่า เราจะได้หายใจสบายขึ้น อย่างน้อยก็ได้เปลือกใหม่ แม้ไม่ดีหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ อาจจะหนาวบ้าง ร้อนบ้าง แต่ที่ดีขึ้นแน่ ๆ คือ
"มันจะพอดีกับตัวเรามากขึ้น"
สังคมยุคนี้ คือ "สังคมแห่งความรู้" ใครรู้มากได้เปรียบ ได้อ้าปากพูด ได้ต่อรอง ตลอดจนได้รับโอกาสที่ดีก่อนคนอื่นอยู่เสมอ ความรู้จะเป็นทุนรอนใช้แลกข้าวปลาอาหารได้อย่างไม่มีวันหมด
ทุกวันนี้แต่ละวันที่ผ่านไป ค่าของเงินลดน้อยลงทุกวัน สิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้นทุกวัน มีโทรศัพท์รุ่นใหม่มีคอมพิวเตอร์ใหม่ ๆ มีรถยนต์รุ่นใหม่มีสิ่งใหม่ออกมาตลอด จะเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนพัฒนาเพื่อเพิ่มพูนมูลค่าให้ตัวเองทั้งนั้น
แล้วเราเป็นคนเราจะอยู่เฉย ๆ โดยไม่พัฒนาตัวเองได้อย่างไร
"สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตการทำงาน" คือ การได้ร่วมงานกับคนเก่ง และในขณะเดียวกันมันอาจจะเป็นสิ่งที่แย่ที่สุดเหมือนกัน ถ้าไม่รู้จักจัดการกับอัตตาของตัวเอง
อัตตาที่เต็มล้นจะต้านปัญญา ต่อให้เก่งยังไงปัญญาก็จะไม่เกิด และบางทีความที่เราคิดว่าตัวเองเก่งอยู่ตลอดเวลา นั่นทำให้ยิ่งเวลาผ่านไปนาน ยิ่งประสบการณ์มากขึ้น เรากลับโง่ลงเรื่อย ๆ
คนเราจะงอกงามได้ด้วยปัญญา แต่บางครั้งตัวอัตตามันขวางอยู่ อัตตาเป็นที่มาของความโกรธ ความเกลียดและความอิจฉา ริษยา
ถ้าเราวางได้ปัญญาจะเกิด
"ความชัดเจน" อาจต้องแลกกับความเจ็บปวดเสียใจล้วนเป็นสิ่งที่ต้องก้าวผ่าน วันหนึ่งจะได้ใช้มันเป็นแผนที่ให้กับชีวิตจะถูกจะผิดก็เขียนมันให้ชัด ต่อไปจะได้รู้ว่า ตรงไหนทางไม่ดีและตรงไหนไม่ควรที่ผ่านไปอีก
ถ้าเราเลือกใช้ชีวิตแบบปากกา
ต้องรับได้กับความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้น เพราะปากกาเวลาผิดลบไม่ได้หรือต่อให้ลบได้ ลบยังไงก็ยังเหลือร่องรอยเป็นหลักฐานให้เห็นว่า ครั้งนี้เราทำผิดมันจะตราตรึงอยู่ในรอยขีดฆ่า เมื่อมองผ่านก็มองเห็นรอยนั้น มันอาจจะสะกิดใจให้เจ็บในวันที่ไม่แข็งแรงพอ
คนเราจึงอยากหายเจ็บทางลัด คือ "เลือกที่จะลบมันทิ้งไปไม่รู้ไม่เห็นไม่จดจำซะ"
ไม่ใช่มีแค่ "จังหวะของชีวิต" เท่านั้นที่ต้องใส่ใจ มีอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามนั่นคือ "จังหวะของความคิด" ทำให้สองสิ่งเติบโตสัมพันธ์กัน แล้วคุณจะมีที่ยืนเป็นของตัวเองอย่างมั่นคง
ช่วงแรก : เราขายแรงขายพลัง
เดินมาสักพัก : เราขายความคิด
สุดท้ายเมื่อเดินมาได้เกินครึ่งทาง : ขายความรู้
ร่างกายเราอาจจะเริ่มอ่อนแอ : ขายพลังชีวิตแทน
"การขายพลังชีวิต คือ การกัดกินชีวิตตัวเอง"
ในวันที่คลื่นลูกใหม่เติบโตเข้ามาแทนที่ แล้วคุณไม่มีอะไรไปรับมือกับเขานั่นแหละ เมื่อถึงวันนั้นคุณต้องบริหารและจัดการกับความคิดของคนอื่นให้ได้
และถ้าคุณทำได้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ไม่ว่าคุณจะอยู่ท่ามกลางความรุนแรงของคลื่นลูกใหม่อย่างไรก็ตาม คุณก็จะมีที่ยืนที่มั่นคงเป็นของตัวเองอยู่เสมอ
ถ้าชีวิตไม่เคยขึ้นสูง เราจะไม่รู้จักความหนาว
ถ้าชีวิตไม่เคยลงต่ำ เราจะไม่รู้จักความเบียดเสียดร้อนรน
ถ้าไม่เคยรู้ร้อนรู้หนาว เราจะไม่รู้เลยว่าความอบอุ่นอยู่ที่ไหน
ที่จริง "ชีวิตขาลง" เป็นกำไรอย่างหนึ่ง เหมือนเป็นช่วงสำคัญให้เราเดินออกมาจากตัวเอง นั่งมองความเป็นไปที่ผ่านมาแล้วอยู่กับตัวเอง โดยไม่มีภาพมายาอะไรมารบกวน
เมื่อชีวิตถึงขาลงมันเป็นบทพิสูจน์ใจว่า เมื่อปัญหามาปัญญาเราจะเกิดมั้ย??
ถ้าปัญญาเกิด... แสดงว่าเราจะเดินได้อีกยาวนาน
ถ้าปัญญาไม่เกิด... เราก็จะไม่รู้ว่าเราบกพร่องตรงไหน
ถ้าไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้นมา เราจะไม่รู้ตัวเลย
เดี๋ยวนี้ความเป็นมืออาชีพ อาจไม่ได้วัดที่ความสามารถ หรือผลงานเสมอไป บางครั้งมืออาชีพ จะถูกวัดด้วยคุณค่าที่ว่า "ใครสร้างปัญหาหรือลดปัญหาให้เพื่อนร่วมงานแค่ไหน"
"เลือกใช้ชีวิตแบบศิลปินแต่ทำงานด้วยศิลปะ"
รู้จักบริหารอารมณ์ให้อยู่ถูกที่ถูกทาง คุณจะได้เป็นคนเก่งและเป็นคนนิสัยดีที่ใคร ๆ ก็อยากร่วมงานด้วย
เด็กไทยมักโตช้าเป็นผู้ใหญ่ช้า ทำให้ทุกวันนี้ มีเด็กในร่างผู้ใหญ่เต็มไปหมด เพราะกว่าจะข้ามกำแพงความรักได้ครบทุกชั้นก็ปาเข้าไปครึ่งคนแล้ว
บางทีเราต้องใจแข็งมาก ๆ กับการทลายกำแพงความรัก แล้วปล่อยให้สิ่งที่เราแสนรักโบยบิน โดยไม่รู้ว่าเขาจะออกไปเจออะไรบ้าง แต่เราก็ต้องทำ เพื่อให้เขาเติบโตด้วยตัวเอง
"ความสำเร็จเมื่อผ่านมาแล้วจะผ่านไป และมีสิ่งใหม่ ๆ มาให้ทักทาย แท้จริงความสำเร็จกับความล้มเหลวมีค่าเท่ากัน คือ ช่วยให้เรามองเห็นมิตรแท้ ที่ปะปนอยู่ในหมู่มิตรเทียมกลุ่มใหญ่"
ค่าที่เท่ากันของความสำเร็จกับความล้มเหลว คือ คุณจะได้เห็นคนที่เป็นเพื่อน ในแบบเดิมมุมเดิมเด๊ะแต่ต่างสถานการณ์ จงใช้โอกาสนั้นอย่างรู้คุณค่า คุณจะได้สัมผัสกับสัจธรรมของคำว่า "มิตร"
"ความโกรธและความเกลียด"
ทำให้คนเราทิ่มแทงกันและทุกครั้งที่เราทิ่มแทงเขา เราก็ทิ่มแทงตัวเองด้วย เหมือนกับช่วยกันหารความเจ็บคนละครึ่ง การให้อภัยใครสักคน แม้จะทำได้ยากที่สุด
แต่ถ้าทำได้ก็เท่ากับว่า เราได้ปลดปล่อยตัวเองด้วย
เมื่อได้ระบายพลังในแง่ลบออกไปบางส่วน ตัวเราจะเบา ใจเราก็เบาด้วย เหลือที่ว่างให้หัวใจมากพอที่จะมองเห็นเหตุผลในการกระทำของแต่ละบุคคล
เราจะไม่มองว่าความผิดพลาดที่เขาทำเป็นเรื่องปกติที่ใครก็ทำได้ เพราะมันคิดง่ายเกินไป
การเอาเปรียบคนอื่น ไม่ใช่กำไรชีวิตแต่มันคือ "ตราบาป" ที่จะติดอยู่ในใจของเรา
เหมือนเวลาที่เขาเอาเปรียบเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า วันหนึ่งมันจะเป็นตราบาปในใจเขา แล้วความรู้สึกเขาก็จะทำร้ายตัวเขาเอง
ที่สำคัญ...
เมื่อทุกครั้งที่เราถูกใครทำร้าย ด้วยวิธีไหนก็ตาม อย่าทำกับคนอื่นแม้ว่าจะมีโอกาสก็ตาม อย่าหากำไรชีวิตด้วยการเอาเปรียบคนอื่น ความสุขจากการได้เปรียบคนอื่นอยู่บนความเหนื่อยความทุกข์ของคนอื่นเป็นความสุขที่ไม่เต็มร้อย เพราะมันจะเป็นความสุขที่แบกรับความรู้สึกผิดเอาไว้ด้วย แม้จะหัวใจด้านชาอย่างไร เมื่อถึงวันดีคืนดี มันจะออกมารบกวนจิตใจเรา
ทุกครั้งที่ทำงานหนัก เหนื่อยและท้อเหลือเกิน ขอให้มองลึกลงไปข้างใน เราจะเห็นเพชรที่อยู่ในตัวเอง กำลังเพิ่มเหลี่ยมเพิ่มมุมมากขึ้นทุกวัน แล้ววันหนึ่งเพชรนั้นมันจะสะท้อนคุณค่าแวววาวจนใคร ๆ ก็อยากเป็นเจ้าของ
ลองมองเข้าไปในตัวคุณสิ !!
"เพชรที่ซ่อนอยู่ในนั้น" กำลังเพิ่มเหลี่ยมเพิ่มมุมมากขึ้นทุกวัน แล้วสักวันหนึ่งเมื่อเหลี่ยมมุมนั้นมีมากขึ้นมันจะรวมตัวกันเปล่งแสงแวววาว ทุกเหลี่ยมทุกมุมที่ได้มา มันแลกกับความเหนื่อย ความท้อ ที่เราเอาชนะมาได้ ต่อไปเราจะเป็นเพชรเม็ดงามที่ราคาแพง นั่นเป็นคุณค่าที่แท้จริงที่จะติดตัวเราตลอดไป
การเดินทางไปถึงความสำเร็จ เราอาจต้องเขียนเครื่องหมายลบอยู่ครึ่งค่อนชีวิตกว่าจะได้เครื่องหมายบวกมาสักหนึ่งข้อ เพราะความจริงแล้ว "ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายและการใช้ชีวิตให้ดียิ่งขึ้นเป็นเรื่องที่ยากกว่า"
หลายครั้งที่ต้องสู้กับใจของตัวเอง ต้องหนักแน่น เมื่อเจอทางแยก หากเรามีรากฐานของความรักและความเสียสละค้ำอยู่เบื้องล่าง เราจะเดินตรงไปทางข้างหน้า แต่ถ้าเสียสละไม่มากพอ เราก็จะเดินออกตรงทางแยก
เส้นไหม อ่อนโยนและบอบบาง แต่สามารถจับเสือผูกได้แน่นจนดิ้นไม่หลุด คนที่แกร่งจริงก็จะเป็นได้แบบเส้นไหม คือ "อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ"
โลกทุกวันนี้ มีคนมากมายเป็นประเภทแข็งนอกแต่ในกลวง คนหลายคนจึงทำชีวิตหักกลาง เพราะความแข็งที่ไม่แกร่งจริงของตัวเอง ถ้าเมื่อไหร่ที่เริ่มก้าวร้าวกับคนรอบข้าง นั่นแปลว่าขณะนั้นเรากำลังกลัว
แม้ชีวิตไม่ควรยอมแพ้อะไรง่าย ๆ แต่ชีวิตก็ไม่ควรจะดันทุรัง ทุกครั้งที่ต้องถอยหลัง อาจหมายถึงความล้มเหลวเต็ม ๆ สิ่งนี้ไม่ได้มาเพื่อสอนให้เรารู้จัก แค่ล้มกับลุกเท่านั้น แต่มันมาเพื่อให้เราเข้าใจมันด้วย
เพราะความสำคัญของการถอยนั้นไม่ได้อยู่ที่ว่า เราจะลุกขึ้นมาอีกครั้งได้เมื่อไร หรือต้องลุกให้เร็วแค่ไหน แต่ความสำคัญนั้นอยู่ที่ทุกครั้งที่เราต้องถอยหลัง เราเข้าใจมันแค่ไหนมากกว่า เพราะถ้าไม่เข้าใจมันไม่ว่าชีวิตจะล้มจะลุกสักกี่ครั้ง สิ่งนั้นจะไม่มีความหมายกับชีวิตเราเลย
ถ้าแยกคำว่ากดดันออกจากกันเราจะได้คำสองคำ คือ "กดและดัน" เราอาจจะถูกกดดันจนจม หรือ ถูกดันให้ลอยก็ได้
แรงกดดันก็เป็นสองด้านของโลก ที่มีทั้งแรงกดและแรงดันอยู่ในที่เดียวกัน เพียงแต่อยู่คนละมุมและต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเอง คือ ด้านหนึ่งกดด้านหนึ่งดัน
หน้าที่ของเรา คือ "หันไปมองทั้งสองด้านอย่างเข้าใจ" ความเข้าใจจะช่วยให้เรามองเห็นโอกาสในทุก ๆ วิกฤติของชีวิต
เส้นทางการเติบโตของคนทุกคน จะมีสายสัมพันธ์กับคนอื่นเกี่ยวพันด้วยเสมอ ไม่มีใครเกิดและเติบโตได้เพียงลำพัง จงหามิตรไว้สร้างสายสัมพันธ์ที่แข็งแรง เอาไว้เกี่ยวพันซึ่งกันและกันเพื่อเติบโตไปพร้อมกันอย่างมั่นคง
ขอให้รู้จักเลือกคบคนรู้จัก เป็นฝ่ายรับและฝ่ายให้ แม้กว่าจะได้มิตรแท้มาสักคน เราอาจต้องวัดใจ ใช้ใจแลกใจและต้องเสียใจซ้ำแล้วซ้ำอีก หากเมื่อเราได้ใจใครสักคน เราจะได้ภูมิใจในสายตาและภูมิใจในหัวใจตัวเอง
มิตรที่ดีที่สุดและศัตรูที่ร้ายที่สุด "จะทำให้เราเกิดการเปลี่ยนแปลง"
คนบางคนผ่านมาเพื่อให้บทเรียน เขาอาจมาทำให้ชีวิตเราดีขึ้นหรือทำให้แย่ลงจนติดลบ แต่ไม่ว่าจะเจอกับคนประเภทไหน ขอให้ขอบคุณเขา
หากระหว่างทางในวันนี้ อาจต้องเจอกับสถานการณ์ที่ดีหรือแย่ ไม่ว่าต้องเดินไปเจอ "มิตร" หรือ "ศัตรู" อย่างไรก็ตาม จงขอบคุณสิ่งเหล่านั้นและกล้าที่จะใช้ชีวิตต่อไป เพราะบทสรุปที่สำคัญที่แท้จริงแล้ว สิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะแง่ดีหรือแง่ร้ายนั่นคือ "ตัวเราเท่านั้นเอง"
หากทุกคนอ่านแต่ละบทแต่ละย่อหน้าตามที่ผมสรุปหนังสือเล่มนี้แล้ว ลองมองในมุมของคุณดูว่าเห็นด้วยหรือไม่ แล้วเป็นอย่างไรกันบ้าง แล้วมาแชร์ไอเดีย ความคิดเห็นดี ๆ ซึ่งกันและกันได้ที่ใต้คอมเม้นนะครับ
>>> อ่านหนังสือพัฒนาตนเอง <<<
10.11.2019

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา