26 พ.ย. 2019 เวลา 14:12 • ไลฟ์สไตล์
#ชีวิต101 ภาค 2 ตอนที่ 10
วันที่ 13 ธันวาคม 2561
เช้าวันนี้ผมเก็บของเดินทางออกจากโรงแรม เพื่อเข้าไปคุยสรุปงานที่ศาลายา นครปฐม โดยผมเลือกเดินทางเส้นทางถนนเลียบอ่าวไทย
ออกเดินทาง
จริงๆทางเส้นนี้ผมก็ไม่เคยวิ่ง แต่ก็อยากจะลองดู พอเลี้ยวเข้าไปปรากฏว่า ถนนเส้นนี้กำลังก่อสร้างขยายทางใหม่ รถวิ่งค่อนข้างช้า ถนนฝุ่นคละคลุ้ง ส่วนใหญ่มีแต่รถบรรทุกกับรถยนต์ มีมอเตอร์ไซคันเล็กๆของผมวิ่งแทรกตามเค้าไป
อ่าวไทย
ผมขับตามถนนไปเรื่อยๆ มองข้างทาง เป็นวิวถนนที่ไม่ค่อยคุ้นตาสักเท่าไหร่
มีลักษณะเป็นหนองน้ำผสมป่าชายเลน มีบ้านผู้คนกระจายตามข้างทางเป็นระยะๆค่อนข้างเบาบาง จนผมขับรถไปได้ระยะหนึ่งผมมองเห็นยอดเจดีย์สีทองไกลๆอยู่ฝั่งซ้ายมือ ผมก็ไม่รู้ว่าวัดอะไร แต่ผมก็ตัดสินใจแวะเข้าไปดู
ปรากฏว่าพอขับเข้าไปได้ไม่ไกล ก็เจอถนนน้ำท่วมขวางอยู่ ผมก็สงสัยว่านี่เดือนธันวาคม ยังมีน้ำท่วมอีกเหรอ หรือเป็นเพราะสภาพภูมิประเทศเฉพาะที่แห่งในของอ่าวไทย ผมก็คิดว่าจะไปต่อหรือถอยหลังกลับ เพราะบรรยากาศเราไม่คุ้นเคยเอาซะเลย แถมตามข้างทางก็มีป้ายติดประกาศรับจ้างเรือไปลอยอังคาร(การลอยเถ้ากระดูกคนตาย) บรรยากาศมันเริ่มไม่ชินเท่าไหร่
ถนนน้ำท่วม
พอผมขับไปสักระยะ ปรากฎว่าเจอน้ำท่วมสูงขวางอยู่ ผมก็เลยชะลอรถผมไว้ มีลุงคนหนึ่งบอกว่า เส้นนี้น้ำท่วมสูง ถ้าจะไปให้เลี้ยวไปอีกเส้นหนึ่ง
ผมก็ย้อนรถกลับมาแล้วไปตามทางที่เค้าบอก จนไปถึงบริเวณทางเข้าวัด ก็พอจะทราบว่า วัดแห่งนี้เป็นวัดที่คนนิยมเอาเถ้ากระดูกมาลอยอังคารกันนั้นเอง ชื่อวัดหงษ์ทอง
สะพานทอดยาวไป
ผมขับรถเข้าไปแบบงงๆแต่ก็ขับเข้าไปด้านในสุดที่รถเข้าไปได้ จะมีลักษณะเป็นสะพานคอนกรีตทอดออกไปในทะเลอ่าวไทย ผมจอดรถไว้และเดินเข้าไปข้างในต่อ เริ่มได้ยินเสียงกุ้งกิ้งของท่อนเล็กห้อยตกแต่ง ที่คนชอบเอามาประดับตกแต่งเวลามีลมพัดมา มันก็จะกระทบกันมีเสียงกรุ้งกริ้งๆ
พอเดินตามเสียงไป ผมก็ไปเจอโบสถ์ที่อยู่ในทะเล ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เจอโบสถ์ที่อยู่ในทะเล ผมก็รู้สึกแปลกใจพอสมควร แต่สิ่งหนึ่งที่ผมพอจะรู้สึกได้ คือบรรยากาศความสงบ และลมเย็นๆของอ่าวไทย มันเป็นบรรยากาศของการปล่อยวางจากเรื่องเศร้า
วัดหงษ์ทอง โบสถ์กลางทะเล
ไม่รู้ผมรู้สึกไปเองหรือป่าว แต่นั้นก็ทำให้ผมเริ่มเข้าใจว่า ทำไมคนจึงนิยมมาลอยอังคารเถ้ากระดูกกันที่นี่
ผมคือความรู้สึกของการได้ปล่อยวางทั้งสำหรับการจากไปของใครบางคน ที่เหมือนได้ส่งเค้าไปดี และปล่อยวางในความรู้สึกของคนที่มีชีวิตอยู่ต่อไป ให้เข้าใจถึงความเป็นธรรมดาของชีวิต ที่มีสายลม คลื่นทะเล เสียงท่อนเหล็กกระทบกัน ที่มีเสียงไพรเราะได้คอยปล่อยใจและให้กำลังใจ ให้สามารถก้าวเดินต่อไปได้
ทางเดิน
ผมก็เดินตรงเข้าไปไหว้พระทั้งที่โบสถ์และเจดีย์
ไหว้พระ
จากนั้นผมเดินอ้อมไปด้านหลัง ก็ไปพบมุมที่เค้าทำไว้ เป็นพื้นที่ๆดูไม่เหมือนวัดเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะเค้าคงอยากให้คนที่มารู็สึกสดใสขึ้น
มุมสดใส
แล้วที่นี่ก็มีศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์และเรือพร้อมรูปปั้นทหารอยู่ พระองค์ทรงได้รับสมัญญานามว่า "องค์บิดาของทหารเรือไทย"โดยรูปปั้นท่านจะหันหน้าออกสู่ทะเลในฝั่งอ่าวไทย เหมือนกับว่าเป็นผู้ดูแลปกป้องน่านน้ำทะเลอ่าวไทยแห่งนี้
ศาลกรมหลวงชุมพร
ผมนั่งพักอยู่ตรงนั้นและมองออกไปที่ทะเล ที่ไกลสุดลูกตา ผมไม่เคยได้มองในมุมนี้และความรู้สึกนี้มาก่อน การที่ได้มองออกไปในฝั่งอ่าวไทยแบบนี้เป็นอะไรที่บรรยายความรู้สึกได้ยากมาก
จากนั้นผมก็ออกเดินทางต่อไปจนถึงศาลายา นครปฐม เพื่อเข้าไปที่ มทร.รัตนโกสินทร์ เพื่อคุยงานและเตรียมแผนเดินทางต่อ ซึ่งทางอาจารย์ก็แจ้งว่าให้พักได้ก่อน และให้ระบุวันที่จะเดินทางต่อไป ซึ่งจุดมุ่งหมายต่อไปก็คือภาคใต้ ซึ่งผมบอกกับอาจารย์ว่าผมจะขับมอเตอร์ไซไป แต่อาจารย์ก็บอกว่าเดี๋ยวจะอันตรายและมันจะต้องใช้เวลาเยอะ อาจารย์คิดว่าไม่เหมาะ อาจารย์บอกว่าจะให้นั่งเครื่องบินไปแทนจะดีกว่า ผมก็ไม่ได้ขัดอะไร แต่ใจจริงๆก็อยากขับมอเตอร์ไซไปเอง เพราะเป็นเหมือนกึ่งไปเที่ยวเองด้วย แต่ก็เพื่อความสบายใจของอาจารย์ซึ่งผมก็เข้าใจ เพราะงานนี้เป็นโครงการที่อาจารย์ดูแล ถ้าผมเดินทางแล้วเกิดอุบัติเหุตอะไรก็คงจะไม่ดี
พอคุยเสร็จผมก็ขอตัวออกมา เพราะผมคิดว่าจะเดินทางไปหาเพื่อนที่สมุทรสาคร ซึ่งเป็นเพื่อสมัยเรียน ไหนๆก็มีโอกาศมาแถวนี้ แวะไปหาหน่อย จะได้คุยกัน ผมก็เดินทางไป ซึ่งจุดที่ผมไปประจำเวลามาสมุทรสาครก็คือท่าน้ำ ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร ซึ่งเวลาผมได้มา ผมก็จะแวะมาไหว้ตลอด ซึ่งผมก็มาถึงเย็นๆซึ่งเป็นจังหวะดีที่ดวงอาทิตย์กำลังตก
และอีกฝั่งหนึ่งก็เป็น ท่าฉลอม ซึ่งภาพที่ผมเห็นสวยงามมาก
ดวงอาทิตย์ตก
เป็นภาพที่ดวงอาทิตย์อยู่ตรงยอดเศียรพระฝั่งท่าฉลอม และมีเงาสะท้อนน้ำอยู่ในแนวเดียวกันกับที่ผมกำลังมอง เป็นอะไรที่ผมรู้สึกประทับใจมาก ผมก็นัดเพื่อมาเจอกันที่นี่
พอตกกลางคืน ผมกับเพื่อนอีกสองคนก็ไปหาอะไรกินที่ร้าน และนั่งคุยกันไปตามประสาเพื่อนที่ไม่ค่อยได้เจอกัน
ชนแก้วน้ำเปล่า
มีเพียงผมที่ไม่ได้ดื่มแอลกอฮอ เพราะได้ห่างมาพักใหญ่แล้ว เพื่อนๆก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเราก็คุยกันปกติไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรแตกต่าง การดื่มหรือไม่ดื่มไม่ได้เกี่ยวกับการเป็นเพื่อน เรายังคุยสนุกสนานเฮฮากันได้เหมือนเดิม

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา