16 ธ.ค. 2019 เวลา 15:04 • ความคิดเห็น
มหาสงครามโลกครั้งที่2เปิดฉากขึ้น เยอรมันนีเป็นหัวโจกท์ฝ่ายอักษะ มีอเมริกาเป็นผู้นำฝ่ายสัมพันธมิตร ประเทศไทยตกที่นั่งลำบาก เมื่อญี่ปุ่นยาตราทัพเข้ามา รบ.ไทยต้องเซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น เพื่อเตรียมวางแผนถล่มกองทัพญี่ปุ่นในเวลาที่เหมาะสม
สินค้าทุกชนิดหายไปจากร้านค้า แล้วผุดขึ้นในตลาดมืดเพื่อให้เหล่าพ่อค้าหน้าเลือด ทำกำไรอย่างสนุกสนาน ชาวกทม.อพยพออกไปตจว. เพราะกทม.ถูกโจมตีทางอากาศอย่างรุนแรง
กำลังของตร.ที่มีจำกัด จึงทำให้ปฏิบัติงานไม่ได้ทั่วถึง จนท.บางคนก็ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม ในช่วงสงครามโลก อาวุธสงครามนาๆชนิดทะลักเข้าตลาดมืด เหล่าโจรผู้ร้ายจึงหามาครอบครองอย่างง่ายดาย แถมเหนือชั้นกว่าอาวุธที่ตร.ครอบครองด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คอยเป็นสายให้โจรเพื่อแลกกับความปลอดภัยของตนเอง&ครอบครัว
พ.ศ 2488
ฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มได้เปรียบ ฝ่ายอักษะอ่อนกำลังลงทุกขณะ เช่นเดียวกับกองทัพญี่ปุ่น เป็นช่วงเวลาที่โจรร้ายออกปล้นฆ่าอย่างสนุกมือ มีการเรียกเก็บค่าคุ้มครอง จากคหบดีเจ้าของโรงสี เจ้าของเรือเมล์รับส่งผู้โดยสาร ตลอดจนจับคนไปเรียกค่าไถ่
พื้นที่หากินของเหล่าโจรร้าย กินอาณาเขตตั้งแต่ สุพรรณบุรี ชัยนาท อุทัยธานี อ่างทอง สิงห์บุรี นครสวรรค์ พ.ต.ตขุนพันธรักษ์ราชเดช ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งผ.ก.ก.ตร.ภูธร จ.พิจิตร ได้รับคำสั่งย้ายไปดำรงตำแหน่ง ผ.ก.ก.ตร.ภูธร จ.ชัยนาท วันที่ 23 มิ.ย 2488
จ.ชัยนาท อ.สรรคบุรี มีชุมโจรอยู่6กลุ่ม
1.เสือครึ้ม มีสมุนเอกคือ เสือเห้ย เสือหนุ่น เสือไหว พร้อมบริวารอีก45คน ตั้งชุมโจรอยู่บ้านวัดนก
2.เสือย่อม มีสมุนเอกคือ เสือนับ เสือช่วย เสือหวล เสือละออง เสือพวง เสือสวง เสือแนบ เสือยิ่ง เสือใบ เสือยัง เสือไล้ มีบริวาร35คน ตั้งชุมโจรอยู่วัดดอนชงโค
3.เสือเห้ย มีบริวาร25คน ตั้งชุมโจรอยู่อ.สรรคบุรี
4.เสืออ้วน มีสมุนเอกคือเสือเกลี่ย มีบริวาร15คน ตั้งชุมโจรอยู่บ้านห้วยกรด
5.เสือสม-เสือศักดิ์ มีบริวาร7คน ตั้งชุมโจรอยู่ที่บ้านวัดกำแพง
6.เสือปลั่ง มีบริวาร25คน ตั้งชุมโจรอยู่บ้านห้วยยาง
จ.สุพรรณบุรีมีโจรอยู่4ชุมใหญ่
1.เสือฝ้าย ตั้งชุมโจรอยู่ที่เดิมบางนางบวช มีเสือใบ เสือพัว เสือมเหศวรเป็นสมุนเอก มีบริวาร100คน
2.เสือเกลี่ย ตั้งชุมโจรอยู่บ้านสามเอก มีบริวาร65คน
3.เสือดอย มีบริวาร35คน ตั้งชุมโจรอยู่บ้านปากน้ำ เป็นลูกน้องเก่าเสือฝ้าย และยังรับคำสั่งเสือฝ้ายอยู่
4.เสือดำ ตั้งชุมโจรอยู่บ้านสะแกไร่อ้อย มีสมุนเอกคือ เสือมุ่ย เสือเมฆ เสือเย็น เสือโสณี บริวารไม่ปรากฏแน่ชัด
เสือดำเป็นผู้เดียวที่ไม่ยอมเป็นพันธมิตรกับเสือฝ้าย จนได้ฉายาว่า"พ่อเสือ"
เสือร้ายทั้ง2จังหวัดออกปล้นฆ่าไม่เว้นแต่ละวัน ฆ่าเจ้าทรัพย์ที่ฮึดสู้อย่างไม่ปราณี หญิงสาวที่ถูกจับตัวไปเรียกค่าไถ่จะถูกรุมโทรม และฆ่าทิ้งในกรณีที่ไม่ได้ค่าไถ่ตามที่ตกลง ระยะหลังๆถึงกับปิดหมู่บ้าน ตลาดปล้น ปล้นเรือโยง ไปจนถึงล้อมโรงพัก
ราษฎรไม่เป็นอันทำมาหากิน วัวควายถูกปล้นจนทำนาไม่ได้ ราษฎรที่มีฐานะอพยพไปอยู่กับญาติที่จ.อื่น บ้าน-วัดร้าง รร.ต้องหยุดการสอนชั่วคราวเพราะกลัวภัยโจร
เมื่อพ.ต.ตขุนพันธรักษ์ราชเดช เข้ามาก็หนักใจอย่างยิ่ง เพราะโจรเป็นคนพื้นที่ มีญาติพี่น้องคอยเป็นสายให้ กำนันผู้ใหญ่บ้าน ขรก. ตร.ยังร่วมมือกับโจร
เสือฝ้ายแจ้งข่าวผ่าน ร.ต.ทวัน ศรีหทัย ผบ.เขตหันคา ให้มาแจ้งแก่ขุนพันธ์ว่า อย่าเข้าเขตเมืองสุพรรณ ขุนพันธ์รับปาก
ประวัติเสือฝ้าย
มีชื่อจริงว่า ฝ้าย เพ็ชนะ เกิดต.ท่าใหญ่ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ครอบครัวเป็นชาวนา ในวัยหนุ่มมีเพื่อนมาก เป็นนักเลงลูกทุ่ง คนจริง สู้คน อายุ25ปีบวชที่วัดพระนอน จ.สิงห์บุรี เรียนพระธรรมวินัย พร้อมคาถา ของขลัง แต่มักจะลืมบทสวดเสมอเวลารับกิจนิมนต์ ทนอับอายในเพศบรรชิตได้ไม่นานก็ลาสิกขา
ฝ้ายกลับมาที่บ้านท่าใหญ่ อ.เดิมบางนางบวช ทำมาหากินปกติ มีเพื่อนนักเลงอยู่ทุกตำบล ปีต่อมา ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านต.ท่าใหญ่ ปีถัดมาจึงแต่งงานกับน.สทองใบ
จนกระทั่งไอ้เบี้ยลูกบ้านท่าใหญ่ หลงรักส้มลิ้มลูกสาวน้องชายผู้ใหญ่ฝ้าย แล้วแต่งงานปลูกเรือนหอใกล้บ้านผู้ใหญ่ฝ้าย แต่ไอ้เบี้ยมีจิตริษยาอยากวัดรอยตีนผู้ใหญ่ฝ้าย จึงคิดจะกำจัดทิ้ง โดยเข้าเป็นสายให้แก่ตร.อย่างลับๆ แล้วใส่ความว่าผู้ใหญ่ฝ้ายเป็นโจรปล้นบ้านนางเลี้ยง&นางจีบ ตร.จับผู้ใหญ่ฝ้ายฟ้องศาลๆสั่งจำคุก12ปี ก่อนเข้าคุกผู้ใหญ่ฝ้ายฝากเงิน ทอง ทรัพย์สินไปให้นางทองใบแต่ไอ้เบี้ยอมเรียบ ต่อมาไอ้เบี้ยได้บำเหน็จความชอบจากราชการ ให้เป็นผู้ใหญ่บ้านแทนผู้ใหญ่ฝ้าย
ฝ้ายอยู่ในคุก8ปี4เดือน22วัน จึงได้รับอิสรภาพ ผู้ใหญ่เบี้ยกลัวฝ้ายรู้ว่าตนใส่ร้าย จึงกุเรื่องแจ้งทางการว่าฝ้ายเป็นเสือปล้น จนถูกตร.ล้อมยิงจนบาดเจ็บสาหัส เมื่อแผลหายดีเขาจึงกลับมายิงผู้ใหญ่เบี้ยทิ้ง แล้วจึงกลายเป็นเสือฝ้าย อาชญากรผู้ยิ่งใหญ่แห่งภาคกลาง
เสือฝ้ายมีบริวารนับ100 มีอาวุธปืนประสิทธิภาพสูงมากมาย กบดานอยู่ในเขตจ.สุพรรณบุรี มีชาวบ้านคอยเป็นสายให้ ไม่เคยปล้นในเขตตัวเอง&ไม่มีเสือหน้าไหนกล้าเข้าปล้นในเขตเสือฝ้าย
ตร.ไม่สามารถปราบเสือฝ้ายได้ลงเพราะด้อยกว่าเรื่องกำลัง&อาวุธ แต่เสือฝ้ายต่อสู้ป้องกันตัวเอง ไม่มีเจตนาสังหารจนท.จึงเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้าน บารมีเสือฝ้ายยืนยงมาตลอด จนถูกเรียกว่าพ่อเสือ/จอมพลฝ้าย พวกโจรจะเรียกว่า ครูฝ้าย ต่อมาได้เสือใบ เสือมเหศวรเข้าเสริมทัพทำให้ก๊กเสือฝ้าย แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
เสือฝ้ายออกปล้นตั้งแต่อายุ35ปี จนอายุ50ปีไม่เคยพลาดท่าให้ตร.แม้แต่หนเดียว ชุมโจรเสือฝ้ายเปิดรับสมัครโจรแต่ต้องมีคุณสมบัติคือ
1.เป็นหนุ่มฉกรรจ์อายุไม่เกิน35ปี
2.ต้องไม่เคยบวชมาก่อน
3.ต้องมีคนรับรองหากทำผิดกฏต้องถูกประหารทั้งคนสมัคร&คนรับรอง
4.ต้องเสียค่าธรรมเนียมคนละ20บ.หลังผ่านการพิจารณาแล้ว
บริวารหากลากลับบ้านต้องขออนุญาติ คืนปืนที่แผนกคลังอาวุธ และต้องกลับมาคนเดียวในเวลากลางวันเท่านั้น
ออกปล้นทุกครั้งเสือฝ้ายจะเป็นคนวางแผน ทรัพย์สินที่ได้มาเสือฝ้ายเอาไป1ส่วนอีก2ส่วนแบ่งให้ทีมที่ออกปล้น ในคลังแสงของเสือฝ้ายมีอาวุธปืนทุกชนิดตั้งแต่ปืนกลหนักถึงระเบิดมือ มียามเฝ้า24ชม. มีจนท.ควบคุมแจกจ่ายอาวุธเวลาออกปล้น เมื่อปล้นเสร็จต้องนำอาวุธมาคืนคลังแสงให้ครบ
ทุกคนในก๊กเสือฝ้ายต้องปฎิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด ห้ามดื่มเหล้า&สูบฝิ่นจนเมามาย ใครเป็นขี้ยาต้องถูกไล่จากชุมโจร ใครฝ่าฝืนกฎต้องถูกยิงเป้าสถานเดียว
ชุมโจรเสือฝ้ายมั่งคั่งมาก นอกจากรับส่วนแบ่งจากการออกปล้นแล้ว ยังมีค่าคุ้มครองจากโรงสีใหญ่ในจ.สุพรรณบุรีทั้งหมด โดยเรียกเก็บเป็นรายเดือน ใครไม่จ่าย&แจ้งตร.จะถูกปล้น ฆ่า เผาโรงสีทิ้ง
เรือเมล์โดยสารต้องจ่ายค่าคุ้มครองทุกเที่ยว เรือโยงที่แล่นผ่านหน้าบ้านเสือฝ้าย ต้องจ่าย500/เที่ยว เสือฝ้ายส่งนางทองใบกลับบ้านโดยส่งเสียให้ตามสมควร และเสือฝ้ายยังมีเมียเด็กๆห้อมล้อมมากมาย
เสือฝ้ายชอบทำตัวเป็นพุทธมามกะโดยจัดงานบุญบ่อยครั้ง ทอดกฐินเป็นประจำ บวชนาค-อุปสมบทพระอีกหลายองค์ บริวารคนไหนถูกสงสัยว่าเป็นสายจะถูกยิงทิ้งทันที
ในระยะหลังชาวบ้านคนใดไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็จะให้เสือฝ่ายตัดสินความ มีการเรียกค่าฤชาตามความพอใจ ต้องถูกค้นตัว พร้อมคลานเข่าไปหมอบตรงหน้าเสือฝ้าย แล้วแจ้งเรื่องใครมีคารมคมคาย เหตุผลหนักแน่นกว่าก็ชนะความไป
ในกรณีที่ถูกสงสัยว่าเป็นสาย เสือฝ้ายจะให้บริวารคุมนักโทษไปลานประหาร แล้วโยนจอบให้ขุดหลุมฝังตัวเอง เหล่าบริวารก็จะกินเหล้าร้องรำทำเพลง เมื่อหลุมลึกดีแล้ว ก็จะจับนักโทษมัดกับหลักแล้วยิงทิ้ง แล้วให้คนหามศพลงหลุมแล้วกลบ เสือฝ้ายจะให้รางวัลคนละ20.เป็นค่าหามหัวหามท้าย
5 ส.ค พ.ศ 2488
หลวงสฤษดิ์สารลักษณ์ ท่านข้าหลวงชัยนาท ได้ชวนขุนพันธ์ไปเที่ยว สุพรรณบุรี ต้องเดินทางโดยเรือเมล์โดยมี จ.ส.ต ถนอม นพรัตน์ เสมียนตราจังหวัด พล.ตร.ดีไปด้วย
คณะของขุนพันธ์เข้าพักที่จวนข้าหลวงจ.สุพรรณบุรีคือ หลวงจรูญคชภูมิ 2คืน ขากลับ ท่านข้าหลวง เสมียนตราจังหวัดกลับทางอ.สองพี่น้อง โดยนั่งรถไฟที่งิ้วรายเข้ากทม. ส่วนพ.ต.ตขุนพันธรักษ์ราชเดช จ.ส.ตถนอม พล.ตร.ดีกลับทางเรือเมล์
เมื่อเรือเมล์แล่นผ่านหน้าบ้านเสือฝ้าย ตรงฝั่งขวามือมีบริวารโจรประทับปืนยาวเล็งมาที่เรือเมล์เป็นจุดเดียว พร้อมตะโกนให้เทียบท่า นายท้ายสั่งช่างเครื่องลดความเร็ว เบนหัวเรือเทียบตลิ่ง ขุนพันธ์เห็นดังนั้นสั่งไม่ให้นายท้ายเอาเรือเทียบตลิ่งเพราะจะถูกปล้นทั้งลำเรือ และจะยิงนายท้ายทิ้งถ้าขัดคำสั่ง
นายท้ายจึงเบนหัวเรือให้ลอยอยู่กลางน้ำ&เบาเครื่องยนต์ ผู้โดยสารตื่นกลัวเอาเงินทอง ของมีค่าซุกซ่อนไว้ เตรียมโดดน้ำหนี จ.ส.ตถนอม&พล.ตร.ดีถูกขุนพันธ์สั่ง ให้ดูแลผู้โดยสารไม่ให้โดดน้ำหนี
เรือเมล์แล่นเอื่อยมาจนถึงหัวคุ้งซึ่งมีต้นไม้หนาแน่นบังสายตาโจร ระหว่างทางพวกโจรไม่ยิงแม้แต่นัดเดียวเพราะไม่ได้รับคำสั่ง ขุนพันธ์ จ.ส.ตถนอม พล.ตร.ดีขึ้นฝั่งซุ่มตรงคุ้งซ้ายตรงข้ามบ้านเสือฝ้าย กลุ่มโจรลัดเลาะทางดงไม้ตรงมาทางกลุ่มของขุนพันธ์ ขุนพันธ์กระหน่ำลูกซองberaningสวนไป จ.ส.ตถนอมกระหน่ำปืนกลblackmonใส่หมดmagโจรคว่ำไป2คนที่เหลือวิ่งหนีแตกกระเจิง พ.ต.ตขุนพันธ์&จ.ส.ตถนอมวิ่งกลับไปที่เรือเมล์ สั่งเร่งเครื่องสู่กลางแม่น้ำบ่ายหน้าเข้าอ.หันคาทันที
9 ส.ค พ.ศ 2488
พ.ต.ตขุนพันธ์นำกำลังตร.เข้าจ.สุพรรณบุรี จับกุมนายซ่งเฮง&นายเทียบ(ลูกน้องเสือฝ้าย) ผู้ใหญ่ช่วง(ผู้ใหญ่บ้านบ้านปากน้ำ)นายคล้าย(พี่ชายเสือฝ้าย)ในข้อหาร่วมปล้นทรัพย์ในเขตอ.หันคา
นายคล้ายปฏิเสธ นายซ่งเฮง&นายเทียบรับสารภาพ จนท.ตร.ชัยนาทพา2คนไปชี้จุดเกิดเหตุ แต่ถูกเสือฝ่ายปิดปาก นายคล้ายพ้นผิดไปได้
เสือฝ้ายมีจม.มาต่อว่าขุนพันธ์ว่าไม่รักษาสัญญา ว่าจะไม่ข้ามเขตเมืองสุพรรณ ทั้งๆที่เสือฝ้ายฝากสินบนกับ ร.ต.ทวัน ศรีหทัยไปให้20,000บ. ขุนพันธ์จึงเรียก ร.ต.ทวันมาถามแต่ร.ต.ทวันปฎิเสธ ขุนพันธ์จึงไม่สนใจเรื่องเงินอีก
โฆษณา